[CR] No.45 Indiana Jones 5 : and the Dial of Destiny : ทริปผจญภัยเที่ยวสุดท้ายในวัยเกษียณของคุณปู่อินดี้


- ไม่ขอเปรียบเทียบกับไตรภาคแรกล่ะกัน เพราะจำเนื้อเรื่องไม่ได้แล้ว ก็วางไว้บนหิ้งไปล่ะกัน แต่ขอมาเปรียบเทียบกับภาค 4 แทนดีกว่า ส่วนตัวผมชอบมากกว่าภาค 4 แม้ว่าการเดินเรื่องตลอดเวลา 2 ชั่วโมง 22 นาที จะเดินรอยสูตรที่วางไว้ตาม Pattern จากภาคก่อนเป็นเส้นตรงแทบทุกอย่าง มีการพูดถึงจากภาคก่อนเพื่อนำมาเชื่อมโยงในภาคนี้ประปรายแต่ก็เข้าใจได้อยู่ อาจจะงง ๆ บ้างเป็นธรรมดา เพราะหนังพาลุ้นกับฉากต่อสู้ ฉากผจญภัยไปในที่ต่าง ๆ เพื่อตามหาของลับที่เป็นจุดขายของเรื่องนี้เพื่อไม่ต้องให้เรานั่งปวดหัวกับการผูกเรื่องราวให้เสียเวลานานขนาดนั้น ที่ผมพอใจในภาคนี้ก็คือพวกมุกตลกมีน้อยกว่าที่คิด บางมุกขำบ้าง แป๊กบ้าง แต่ไม่เล่นใหญ่เรี่ยราดเหมือนกับภาค 4 ที่เสิร์ฟเข้ามาถี่ ๆ จนเกิดความรำคาญและรุงรังกับสติสตังของเหล่าตัวละครจนกลายเป็นตลก 3 ช่ากันอยู่แล้ว รวมถึงด้านความสดใหม่ของบทแน่นอนว่าไม่ได้คาดหวังอยู่แล้ว เพราะมันเป็นหนัง Period ที่สร้างขึ้นมาเพื่ออนุรักษ์ปูชณียสถานแต่ละยุคสมัย ดังนั้นระหว่างทางเราจะสัมผัสถึงกลิ่นอายของการเคารพต้นฉบับ บูชาความคลาสสิคที่คงเส้นคงวาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย แม้ว่าฉากหลังของภาคนี้อยู่ในช่วงปี 1969 ที่คนตื่นตัวกับการเหยียบดวงจันทร์ครั้งแรกของนักวิทยาศาสตร์แต่สำหรับคุณปู่อินดี้และตัวร้ายในภาคนี้อย่าง  Dr. Voller กลับถวิลหาในช่วงเวลาที่ผ่านมาของพวกเขามากกว่าความเปลี่ยนไปในปัจจุบัน จึงไม่แปลกที่สังขารของคุณปู่อินดี้ไม่เอื้ออำนวยเหมือนแต่ก่อนแต่ยังคงเก๋าเกมส์มากประสบการณ์ในการแก้ไขสถานการณ์แต่ละอย่างได้อย่างหวุดหวิด

-  ถึงแม้การเดินเรื่องจะเดินตามรอยภาคก่อนต้อย ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ ปฎิเสธไม่ได้ว่ายังทำได้สนุก ตื่นเต้น และน่าติดตามอยู่ มี Scene กิมมิคที่ขาดไปไม่ได้ประจำ Franchise ชุดนี้คือ Scene ขับรถไล่ล่าบนถนนระหว่างฝ่ายอินดี้กับฝ่าย Dr.Voller ที่มาพร้อมกับความสปีดจนตาลายดูแทบไม่ทัน และ Scene ต่อสู้บนรถไฟในตอนเปิดตัวก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน ผมไม่ได้ Surprise กับเทคนิคการลดอายุลบริ้วรอยของปู่อินดี้แต่อย่างใด แต่กลับทำให้ผมคิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ ของคุณปู่ Harrison Ford สมัยเล่นหนังดัง ๆ ยุค 80 – 90s อย่าง Star Wars Series , Blade Runner และ The Forgive ซะมากกว่า

-  นอกจากปู่ Harrison Ford กลับมารับบทเป็น อินเดียน่า โจนส์ ภาคสุดท้ายนี้แล้ว ยังได้นักแสดงคนใหม่ร่วมทริปผจญภัยอย่าง Phoebe Waller-Bridge มารับบทเป็น Helena Shaw ลูกบุญธรรมของอินดี้ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตระกูล Shaw ใน Fast แต่เหมือนจะมาเป็นตัวแทนรับช่วงต่อจากเขาก็ว่าได้ มีบทนำร่วมสำคัญไม่แพ้อินดี้ทีเดียว รู้สึกผมชอบเสน่ห์ในตัวละครนี้มากกว่าตัวลูกชายในภาค 4 ที่แสดงโดย Shia LaBeouf อีก เธอเป็นอินดี้เวอร์ชั่นผู้หญิงที่หัวสมัยใหม่ มีความเท่ห์ ขาลุย เวลาประกบคู่กับ Harrison กันดันมีเคมีของความคู่หูต่างวัยที่พบความกะล่อนแถมลื่นไหลทุกสถานการณ์จากฝีปากที่แพรวพราวประหนึ่งเซลส์ขายประกันและฝีไม้ลายมือที่ไม่ด้อยไปกว่ากัน ส่วนตัวร้ายของเรื่องอย่าง Mads Mikkelsen วายร้ายจอมฟาดงวงที่กลายเป็น Logo วายร้ายประจำหนังฟอร์มยักษ์ไปแล้วขณะนี้ เฮียยังแสดงความสุขม ความเกรงขามทางสีหน้าและแววตาอันเยือกเย็นชวนน่าขนลุกดี แต่น่าเสียดายที่บทมันนำเสนอแบบกั๊ก ๆ จะน่ากลัวก็ไม่สุดทาง หรือ อุดมการณ์ที่ปูทางมาก็ไม่สุดโต่งแถมไม่ส่งเสริมให้ตัวละครนี้กลายเป็น Last Boss ที่มาปิดจ๊อบหนังชุดนี้ได้สมศักดิ์ศรีและเป็นที่น่าจดจำ ทั้งที่จริงมันสามารถแสดงความน่ากลัว ความอำมหิตอะไรหลายอย่างได้อีกเยอะเหมือนกับตอนที่เฮียแสดง Casino Royale อย่างนั้นแหล่ะสุด ๆ แล้ว มันเลยกลายเป็นวายร้ายทางผ่านที่ทำหน้าที่เป็นคั่นบันไดส่งตัวให้ปู่อินดี้ไปสู่วันเกษียณอายุแค่นั้น รวมถึงนักแสดงท่านอื่น อาทิ Boyd Holbrook เป็น Kalber ลูกเบ๊ของ Dr.Voller , Toby Jones เป็น Dr.Basil Shaw เพื่อนของอินดี้และเป็นพ่อของ Helena , John Rhys-Davies เป็น Sallah สหายร่วมรบที่เคยปรากฎในภาค 1 กับ 3 , Karen Allen ในบท Marion ภรรยาของอินดี้ และ Antonio Banderas ในบท Renaldo กะลาสีเรือสหายของอินดี้อีกคน ที่ร่วมรับจ๊อบส่งท้ายด้วยกัน แสดงดีตามฝีมือ แต่เข้าใจได้ว่าบทของบางคนมันส่งเสริมได้เท่านี้ แต่ที่ไม่เข้าใจคือลุง Antonio จะมาทำไมครับเนี่ย 55

-  ในภาคนี้ได้ ผู้กำกับ James Mangold จาก Logan และ Ford v Ferrari มารับช่วงต่อจากพ่อปู่น้อยฮอลลีวู้ด Steven Spielberg ที่ขอเลื่อนขั้นมาเป็น Producer แทน ซึ่งทราบถึงกิตติมศัพท์ในงานกำกับของเขาที่สามารถฝากผีฝากไข้ได้เป็นอย่างดี จึงแอบหวังอยู่ว่าแกจะสามารถปิดตำนานไว้อย่างสง่างามได้หรือเปล่า พอหลังจากดูจบก็ทำได้ดีอยู่แต่รู้สึกว่าไม่ได้ว้าวหรือยอดเยี่ยมเท่าไหร่ ทั้งที่ใจจริงผมอยากให้มันฉีกออกไปจากเดิมเลยจะดีกว่าถึงมันเป็นที่คุ้นเคยดีย์ในละครบ้านเราแต่น่าจดจำมากกว่า มุมมองของผมคิดว่าคงจะเกรงว่าถ้าทำแบบนี้จะถูก FC ไม่พอใจ จะต่อต้านหรือเปล่า ซึ่งหนังชุดนี้ยังมีฐาน FC เดนตายที่มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน แต่การหาทาง Landing อย่างสะดวกโยธินก็ทำให้ปลอดภัย ไร้พิษสงแต่มันจำเจเกินไปแล้ว

-  สรุป ภาพรวมยังห่างไกลจากไตรภาคแรกในด้านการสร้างความประทับใจในบทที่ควรจะไปสู่จุดสูงสุดได้มากกว่านี้แต่ยืนยันว่าชอบมากกว่าภาค 4 แน่นอน เพราะ เป็นหนัง Action + Adventure ผสม Fantasy ที่สนุก ดูสบาย เข้าใจง่าย  สามารถ Enjoy ไปกับสถานที่มากหน้าหลายแห่งได้รวดเร็วไปตั้งแต่ต้นจนจบแถมได้ความรู้ทางประวัติศาสตร์เป็นเกร็ดความรู้บำรุงปัญญากันอย่างเพลิดเพลิน ไม่มีช่วงไหนน่าเบื่อถึงขั้นวูบหลับ มีหาวเป็นระยะกันบ้าง แต่จูนเครื่องติดได้เร็ว ขณะเดียวกันก็มีการกล่าวถึงเรื่องราวและตัวละครในภาคก่อน ๆ ให้หายคิดถึงเหมือนงานร่วมรุ่นวัยชราทักทายตามประสาเพื่อนเก่าที่ไม่เจอกันมานาน อัพเดทชีวิตว่าเป็นยังไงบ้างเม้ามอยหอยสังข์วันวานว่าครั้งหนึ่งเคยร่วมทุกร่วมสุขร่วมฝ่าดงกระสุนปืนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายไปด้วยกันก่อนจะเข้าสู่ช่วงเวลาของการพักผ่อนกันอย่างแท้จริงเสียที 

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
ชื่อสินค้า:   Review By EMCONCEPT
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่