ฝนหน้าหนาว
ในวันที่ท้องฟ้าสดใสของยามเช้า ถูกแทนที่ด้วยสีเทาอันมัวหม่น เม็ดฝนหยดแล้วหยดเล่าร่วงหล่นลงมาจากบนฟ้าอย่างไม่ขาดสาย มันจึงทำให้ห้องโดยสารที่แต่เดิมถูกปรับอุณหภูมิไว้จนพอเหมาะ กลับกลายเป็นเย็นเฉียบจนร่างกายแทบสั่นสะท้าน
ท่ามกลางบรรยากาศขมุกขมัว ละอองชื้นที่คร้านจะล่องลอยไปเรื่อยอย่างไร้จุดหมาย ต่างก็ทิ้งตัวลงหาที่ยึดเกาะ มันฉาบเป็นฝ้าบาง ๆ อยู่บนผิวกระจกที่ภายนอก ส่งผลให้ภาพตรงหน้าฟุ้งเบลอ มัวซัวลงไปถนัดตา
ผมนั่งนิ่งอยู่ข้างหลังพวงมาลัยรถยนต์ และมันเองก็จอดนิ่งอยู่หลังสัญญาณไฟแดง...
เสียงครางหึ่ง ๆ ที่ดังขึ้นเป็นจังหวะ ด้วยระยะเวลาที่ไม่แน่นอนจากเครื่องยนต์ ฟังดูเหมือนต้องการจะบอกว่า มันกระตือรือร้นและพร้อมอย่างเต็มที่ ที่จะควบทะยานออกไปให้พ้นจากสภาพอันน่าเบื่อหน่ายที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้
ในช่วงเวลาที่ทุกคนต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่านี่คือชั่วโมงเร่งด่วน แต่ดูเหมือนกับว่าทุกสิ่งจะกลับกลายเป็นตรงกันข้าม โดยเฉพาะยิ่งเป็นวันที่มีสภาพอากาศดังเช่นวันนี้ด้วยแล้ว คงมีแค่เพียงใจของผู้ที่กำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางเท่านั้นที่เร่งด่วนจริง ๆ
แต่สำหรับวันนี้ แค่เพียงวันนี้เท่านั้น ที่ผมกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น...
เสียง เปาะ แปะ เปาะ แปะ จากหยดน้ำเม็ดแล้วเม็ดเล่า ที่ร่วงหล่นลงสู่เบื้องล่าง ถึงแม้จะไม่ได้มีขนาดใหญ่หรือหนาเม็ดอะไร แต่ถ้าหากปราศจากโครงโลหะที่ห่อหุ้มตัวอยู่ในขณะนี้ ทั้งร่างก็คงไม่พ้นที่จะต้องเปียกปอน
เสียงตกกระทบไม่สม่ำเสมอ ดังบ้างค่อยบ้าง เบาบ้างหนักบ้าง ถี่บ้างห่างบ้าง ฟังคล้ายนักดนตรีที่กำลังบรรเลงบทเพลงไปตามใจ ไหลเลื่อนไปในอารมณ์ เคลื่อนไหวตามแต่ความรู้สึกจะพาไป
ปราศจากท่วงทำนอง ไร้ซึ่งหลักการ และตัวโน๊ตใด ๆ กำกับ แต่ก็สามารถทำให้ผู้ฟังได้เปิดโลกแห่งจินตนาการ พาจิตใจให้เพลิดเพลินและหลุดลอยไปจากความน่าเบื่อหน่ายตรงหน้าได้
ฝนในฤดูหนาวมักจะแตกต่างจากฝนในฤดูอื่น ๆ...
แทนที่จะเป็นฝนเม็ดใหญ่ ที่เทกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่งไม่ลืมหูลืมตา อย่างเช่นที่เป็นในฤดูร้อนหรือฤดูฝน มันกลับเลือกที่จะนำพาความหนาวเย็นแห่งฤดูกาล มาด้วยละอองละเอียดบางเบา
เม็ดกระจ้อยร่อยพร่างพรมลงมาดุจอัญมณีระยิบระยับไปทั่วฟ้า ถักทอม่านเมฆงดงามให้เกิดขึ้นบนผืนดิน เป็นความฟุ้งมัวที่สว่างไสว หม่นซึมแต่ก็ทำให้ผ่อนคลาย จนบางครั้ง ก็ทำให้รู้สึกไปเองว่า ตนเองได้หลุดเข้าไปอยู่อีกสถานที่หนึ่ง เป็นโลกแห่งฝันที่ไม่ได้มีอยู่จริงบนโลกใบนี้
ไม่แน่ว่าตอนนี้ผมเองก็อาจจะกำลังฝันอยู่
ใช่...ผมอยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้ทุกสิ่งเป็นเพียงแค่ฝันไป
สายฝนทิ้งช่วงไปนานพอควรแล้ว นับตั้งแต่ลมหนาวระลอกแรกพัดผ่านเข้ามา น่าแปลกที่มันเลือกจะกลับเยือนอีกครั้งในวันนี้ วันที่คน ๆ หนึ่งต้องเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง เพื่อรับรู้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเขาไม่อยากรับรู้ ไม่เคยรู้สึกยินดีที่จะได้รับรู้เลยสักนิด ในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้าที่กำลังจะมาถึงนี้
นี่ฟ้าต้องการจะแสดงความอาลัย ต้องการจะหยอกล้อกลั่นแกล้ง หรือเพียงแค่ต้องการจะเพิ่มทวีความหนาวเหน็บให้กับหัวใจของคนกันแน่
ท่วงทำนองอ้อยสร้อยอ้อยอิ่ง ที่ดังมาจากลำโพงทั้งสี่ตัว คลอเคลียคลุกเคล้าอยู่ภายในโสตประสาท แผ่วพลิ้วผสมกลมกลืนจนกลายเป็นหนึ่งเดียวกับบรรยากาศรอบกาย
แม้จะเคยฟังเพลงนี้ซ้ำไปซ้ำมาแล้วตั้งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทว่าในครั้งนี้มันกลับแตกต่างจากครั้งก่อน ๆ อย่างเทียบกันไม่ได้
เสียงจากบทเพลงเดิมในช่วงเวลานี้และวินาทีนี้ ทรงพลังมากพอขนาดที่จะฉุดดึงจิตใจ ให้จมดิ่งลงสู่หุบเหว ในส่วนที่ลึกที่สุดที่ไร้ซึ่งแม้กระทั่งแสงสว่างจะส่องลงไปถึงได้
นึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย ว่าทำไมผมถึงเลือกฟังเพลงแบบนี้ ในขณะที่จิตใจของตัวเองยังเป็นเช่นนี้...ทำไมคนเราถึงชอบฟังเพลงเศร้าในขณะที่รู้สึกเศร้า ทั้ง ๆ ที่รู้ทั้งรู้ว่าบทเพลงเศร้าเหล่านั้น มีแต่จะคอยเสียดแทงและบาดลึกในอารมณ์ ให้ต้องยิ่งรู้สึกเศร้ามากขึ้นไปเท่านั้น
และ...ฟ้ามัว ๆ รวมถึงสายฝนพรำ ๆ อย่างเช่นสภาพอากาศในตอนนี้ มันก็ยิ่งช่วยเพิ่มเติมความอ่อนไหว ขยายความห่วงหาอาดูรให้กับบทเพลงเศร้า ทบทวีอารมณ์จากภายในใจ ให้เพิ่มขึ้นไปอีกได้อย่างน่าใจหาย
จากความรู้สึกที่ในทีแรกเป็นเพียงแค่ความวูบไหวไม่มั่นคง มันก็กลับแปรเปลี่ยนเป็นความทุกข์ระทมขมขื่น และเมื่อนั้น หยาดน้ำใสจากห้วงอารมณ์ทั้งหมดทั้งปวง ก็จะกลั่นออกมาผ่านทางหน้าต่างของจิตใจ
แค่เพียงหยาดหยดเล็ก ๆ จำนวนน้อยนิดที่ก่อให้เกิดกระแสคลื่นใหญ่ในอก ปั่นป่วนรุนแรงพอที่จะพัดพาตะกอนขุ่นจากก้นบึ้งที่ลึกที่สุดให้ฟุ้งกระจายกลับขึ้นมาอีกครั้ง
บางที...คนเราอาจพัฒนาอารมณ์ความรู้สึกทั้งหลาย มาจากธรรมชาติรอบกาย เราจะรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า และดูเหมือนกับว่าจะมีพลังดำเนินชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม ในวันที่สภาพอากาศสดใส
ตรงกันข้ามที่เราจะรู้สึกหงอยเหงาเปล่าเปลี่ยวกว่าปกติ อะไร ๆ ก็ดูเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง ไม่ได้ดั่งใจและไม่เป็นใจไปเสียทุกอย่าง ไร้อารมณ์ หมดแรงที่จะทำหรือคิดอะไร ในวันที่ท้องฟ้าขุ่นมัวมืดหม่น
เม็ดฝนก็คล้ายหยาดน้ำตา มันไหลรินออกมาจากดวงตาของใครก็ตามที่อยู่สูงขึ้นไปบนนั้น โลกทั้งใบรับรู้และกำลังระทมทุกข์ เราเองก็ร่วมรู้สึก ร่วมแบ่งปันเอาความเศร้าโศกจากแผ่นดินแผ่นฟ้าเหล่านั้นมาด้วย
เราสามารถจับต้อง สามารถสัมผัสฝนทุกเม็ดที่ร่วงหล่นลงมาจากฟ้าได้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้พวกมันยังคงเป็นเพียงแค่เมฆหมอกไร้รูปทรงที่จับต้องไม่ได้เท่านั้น
เสกสิ่งที่เป็นรูปธรรมขึ้นจากนามธรรม หรือว่ามันคือการเล่นกล บางที...อาจจะเป็นมนตราอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติก็เป็นได้
แล้วความรักล่ะ...มันก็คงจะไม่แตกต่างกัน
แรกเริ่มเดิมทีนั้น ความรักก็เป็นเพียงแค่นามธรรมที่ล่องลอยอยู่ในอากาศว่างเปล่า ทั้งมองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ หากจะมีก็คงเป็นเพียงแค่ความรู้สึกที่รับรู้ได้ว่า เมฆหมอกสีชมพูบาง ๆ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น และอารมณ์ลึกซึ้งเหล่านั้นมีอยู่จริง
แต่เมื่อคนสองคนได้รับรู้ร่วมกัน ได้สัมผัสและเข้าถึงเข้าใจในสิ่งเดียวกัน
ไม่ต่างไปจากไอและละอองน้ำที่ก่อเกิดเมฆฝน ความรักในอากาศจะเริ่มก่อตัวขึ้น และเมื่อนั้น หยาดหยดแห่งความยินดีก็จะพร่างพรมลงมา ราดรดหัวใจซึ่งเคยร้อนรุ่มกระวนกระวาย ให้เย็นฉ่ำชื่นและสุขสดใสอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ผมและเธอเองก็เช่นเดียวกัน...
เราทั้งสองพบกันในวันที่ท้องฟ้าสีสด ดูปลอดโปร่ง สดใส และเจิดจ้าเป็นพิเศษ ในวันที่เมฆขาวน้อยใหญ่กระจัดกระจายล่องลอยไปอย่างอิสระวันนั้น ผมและเธอได้บังเอิญสบตากัน ได้ส่งยิ้มให้กัน เริ่มต้นทักทายซึ่งกันและกัน
แล้วหลังจากนั้นเราก็ได้รู้จักกัน สนิทสนมกัน พัฒนาความสัมพันธ์ให้ก้าวหน้าไปขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเกิดเป็นความรัก
สายฝนทำให้เนื้อตัวเปียกปอนหนาวเหน็บ ทว่าเมื่อเรามีความกล้ามากพอที่จะก้าวออกไปเพื่อสัมผัสกับมัน อีกความหมายหนึ่งในนั้นก็จะคลี่บานออกมาให้เราได้รู้สึก มันเป็นความสดชื่นชุ่มฉ่ำ ที่รินรดและเปิดหัวใจให้เบิกบานได้ยิ่งกว่าที่ผ่านมา
เป็นความไม่สบายตัวที่น่ายินดีและชวนให้ลิ้มลองได้อย่างน่าประหลาด
แต่น่าเสียดายเหลือเกิน...ที่สายฝนแห่งความน่ายินดีสำหรับผมนั้น กำลังจะหยุดลงแล้ว
ทำไมกันนะ...ทำไมเราถึงเลือกที่จะเดินออกไปสู่ท่ามกลางสายฝน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าถึงมันจะสดชื่น แต่ก็เปียนปอนหนาวเหน็บ และอาจทำให้เราเป็นไข้ไม่สบายได้ ทำไมเราถึงยินดีให้เป็นทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสักวันความรักจะทำให้เราต้องเจ็บปวด และทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส
ไม่วันใดก็วันหนึ่งความพลัดพรากจะผ่านมาเยี่ยมเยือน และฝากทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้ให้ติดลึกฝังแน่นอยู่ในใจ
ไม่วันใดก็วันหนึ่ง สายฝนก็จะนำพาอีกความหมายหนี่งของมันมา...
บางทีอาจจะเป็นเพียงเพราะเรื่องราวระหว่างทางต่างหาก เพราะมีสิ่งดี ๆ มากมายอยู่บนเส้นทางเส้นนั้น มีความทรงจำอันมีค่าจนนับไม่ถ้วนเกิดขึ้น ก่อนที่เราจะเดินทางมาจนถึงจุดหมายปลายทาง
ในความเจ็บปวดยังมีซอกมุมเล็ก ๆ เพื่อให้ได้สัมผัสกับความสุข ในความพลักพรากเอง ก็ยังมีสิ่งที่จะยังคงเป็นนิรันดร์
สัญญาณไฟแดงยังคงค้างเติ่งอยู่บนยอดเสาโลหะที่กลางสี่แยก ทุกสิ่งยังคงหยุดนิ่งคล้ายเมืองทั้งเมืองเกียจคร้านที่จะใช้ชีวิต สายฝนยังคงทำให้ทั่วทั้งบริเวณที่มันโอบคลุม กลายเป็นเมืองแห่งฝัน
ละอองฝ้ากอดตัวกันหนาขึ้นจนบดบังวิสัยทัศน์ไปจนเกือบหมด ราวกับมันไม่ต้องการให้ผู้ที่อยู่ภายในห้องโดยสาร ได้รับรู้ถึงสภาพความเป็นจริงภายนอกตรงเบื้องหน้า
คงจะดี...หากมันเป็นอย่างนั้นได้จริง ๆ
แม้พยายามหาคำพูดสุดท้าย ที่จะสามารถบ่งบอกทุกความในใจ ออกมาให้ได้ทั้งหมดแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ วินาทีนี้ ผมก็ยังนึกไม่ออก ไม่อาจหาคำใดคำนั้นซึ่งเหมาะสมมากพอที่จะเอ่ยให้แก่เธอ
ผมควรจะแสดงสีหน้าอย่างไร ในช่วงเวลาสุดท้ายได้พบกัน ควรจะยิ้มหรือต้องร้องไห้ ควรจะขอบคุณหรือกล่าวคำอำลาด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้งดี
ในใจแล้ว...ผมอยากให้สัญญาณไฟตรงหน้า ยังคงเป็นสีแดงอย่างนี้ตลอดไป เพราะมันจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่งและยืดยาวต่อไปได้อีก มันทำให้รู้สึกว่าเรื่องราวทั้งหมดยังไม่จบลง เรายังสามารถพบกันได้อีก ตราบเท่าที่ผมยังคงอยู่ที่ตรงนี้
เมื่อไม่มีสัญญาณไฟเขียว ผมก็จะไม่ต้องเดินทางต่อไป ไม่ต้องรับรู้อะไรก็ตามต่อจากนี้
แต่แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้...
อีกไม่นานสัญญาณไฟเขียวก็จะติดสว่างขึ้นมาแทนที่ไฟสีแดง ทุกชีวิตที่กำลังหลับใหลอยู่ตรงด้านหลังสัญญาณไฟ ก็จะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง
เวลาจะเริ่มเดินต่อไป...
ผมเองก็จะต้องเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง ไปสู่จุดหมายปลายทางที่ตรงจุดนั้น แม้จะไม่อยากไปมากขนาดไหนก็ตาม
มันเป็นอย่างนั้น...แม้จะไม่อยากให้มาถึงสักเพียงใด สุดท้ายแล้วมันจะมาถึงอย่างแน่นอน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น เรื่องทั้งหมดจะยังคงดำเนินต่อไปอย่างนั้น อย่างที่มันต้องเป็น
ท้องฟ้ายังคงถูกทาทับเอาไว้ด้วยสีเทาหม่นมัว หยาดน้ำยังคงโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย แต่สัญญาณไฟแดงได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว
ผมเอื้อมมือดันคันโยกด้านซ้ายข้างพวงมาลัยรถยนต์ ก้านปัดน้ำฝนทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ ละอองหนาแน่นที่บดบังสายตาก่อนหน้านี้ถูกลบออกไป ภาพแห่งความเป็นจริงอันกระจ่างใสตรงเบื้องหน้าก็พลันเผยตัวออกมาให้เห็นอีกครั้ง
เท้าค่อย ๆ กดคันเร่งให้จมลึกลงไป ล้อทั้งสี่เริ่มหมุนวน และพาให้รถยนต์เคลื่อนที่ออกไปสู่จุดหมายแห่งการพลัดพรากอีกครั้ง
ผมได้แต่หวังว่าเวลาจะช่วยเยียวยา ให้ความรู้สึกอันยากจะอธิบายในขณะนี้ ดีขึ้นได้สักวันหนึ่ง ผมหวังว่าความทรงจำและความรู้สึกดี ๆ ที่เราทั้งสองมีให้แก่กันและกันเสมอมา จะทำให้ก้าวผ่านพ้นคืนวันอันมืดบอดนี้ไปได้
ให้เป็นเหมือนดังเช่นม่านละอองน้ำที่นำพาความหนาวเหน็บเข้ามา
อีกไม่ช้าสายฝนก็จะหยุดตก อีกไม่นานลมหนาวระลอกใหม่ก็จะพัดผ่าน และอีกไม่นาน...ฤดูกาลใหม่ที่อบอุ่นยิ่งกว่า ก็จะเข้ามาเยือนอย่างแน่นอน
จบ
ฝนหน้าหนาว
ในวันที่ท้องฟ้าสดใสของยามเช้า ถูกแทนที่ด้วยสีเทาอันมัวหม่น เม็ดฝนหยดแล้วหยดเล่าร่วงหล่นลงมาจากบนฟ้าอย่างไม่ขาดสาย มันจึงทำให้ห้องโดยสารที่แต่เดิมถูกปรับอุณหภูมิไว้จนพอเหมาะ กลับกลายเป็นเย็นเฉียบจนร่างกายแทบสั่นสะท้าน
ท่ามกลางบรรยากาศขมุกขมัว ละอองชื้นที่คร้านจะล่องลอยไปเรื่อยอย่างไร้จุดหมาย ต่างก็ทิ้งตัวลงหาที่ยึดเกาะ มันฉาบเป็นฝ้าบาง ๆ อยู่บนผิวกระจกที่ภายนอก ส่งผลให้ภาพตรงหน้าฟุ้งเบลอ มัวซัวลงไปถนัดตา
ผมนั่งนิ่งอยู่ข้างหลังพวงมาลัยรถยนต์ และมันเองก็จอดนิ่งอยู่หลังสัญญาณไฟแดง...
เสียงครางหึ่ง ๆ ที่ดังขึ้นเป็นจังหวะ ด้วยระยะเวลาที่ไม่แน่นอนจากเครื่องยนต์ ฟังดูเหมือนต้องการจะบอกว่า มันกระตือรือร้นและพร้อมอย่างเต็มที่ ที่จะควบทะยานออกไปให้พ้นจากสภาพอันน่าเบื่อหน่ายที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้
ในช่วงเวลาที่ทุกคนต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่านี่คือชั่วโมงเร่งด่วน แต่ดูเหมือนกับว่าทุกสิ่งจะกลับกลายเป็นตรงกันข้าม โดยเฉพาะยิ่งเป็นวันที่มีสภาพอากาศดังเช่นวันนี้ด้วยแล้ว คงมีแค่เพียงใจของผู้ที่กำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางเท่านั้นที่เร่งด่วนจริง ๆ
แต่สำหรับวันนี้ แค่เพียงวันนี้เท่านั้น ที่ผมกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น...
เสียง เปาะ แปะ เปาะ แปะ จากหยดน้ำเม็ดแล้วเม็ดเล่า ที่ร่วงหล่นลงสู่เบื้องล่าง ถึงแม้จะไม่ได้มีขนาดใหญ่หรือหนาเม็ดอะไร แต่ถ้าหากปราศจากโครงโลหะที่ห่อหุ้มตัวอยู่ในขณะนี้ ทั้งร่างก็คงไม่พ้นที่จะต้องเปียกปอน
เสียงตกกระทบไม่สม่ำเสมอ ดังบ้างค่อยบ้าง เบาบ้างหนักบ้าง ถี่บ้างห่างบ้าง ฟังคล้ายนักดนตรีที่กำลังบรรเลงบทเพลงไปตามใจ ไหลเลื่อนไปในอารมณ์ เคลื่อนไหวตามแต่ความรู้สึกจะพาไป
ปราศจากท่วงทำนอง ไร้ซึ่งหลักการ และตัวโน๊ตใด ๆ กำกับ แต่ก็สามารถทำให้ผู้ฟังได้เปิดโลกแห่งจินตนาการ พาจิตใจให้เพลิดเพลินและหลุดลอยไปจากความน่าเบื่อหน่ายตรงหน้าได้
ฝนในฤดูหนาวมักจะแตกต่างจากฝนในฤดูอื่น ๆ...
แทนที่จะเป็นฝนเม็ดใหญ่ ที่เทกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่งไม่ลืมหูลืมตา อย่างเช่นที่เป็นในฤดูร้อนหรือฤดูฝน มันกลับเลือกที่จะนำพาความหนาวเย็นแห่งฤดูกาล มาด้วยละอองละเอียดบางเบา
เม็ดกระจ้อยร่อยพร่างพรมลงมาดุจอัญมณีระยิบระยับไปทั่วฟ้า ถักทอม่านเมฆงดงามให้เกิดขึ้นบนผืนดิน เป็นความฟุ้งมัวที่สว่างไสว หม่นซึมแต่ก็ทำให้ผ่อนคลาย จนบางครั้ง ก็ทำให้รู้สึกไปเองว่า ตนเองได้หลุดเข้าไปอยู่อีกสถานที่หนึ่ง เป็นโลกแห่งฝันที่ไม่ได้มีอยู่จริงบนโลกใบนี้
ไม่แน่ว่าตอนนี้ผมเองก็อาจจะกำลังฝันอยู่
ใช่...ผมอยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้ทุกสิ่งเป็นเพียงแค่ฝันไป
สายฝนทิ้งช่วงไปนานพอควรแล้ว นับตั้งแต่ลมหนาวระลอกแรกพัดผ่านเข้ามา น่าแปลกที่มันเลือกจะกลับเยือนอีกครั้งในวันนี้ วันที่คน ๆ หนึ่งต้องเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง เพื่อรับรู้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเขาไม่อยากรับรู้ ไม่เคยรู้สึกยินดีที่จะได้รับรู้เลยสักนิด ในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้าที่กำลังจะมาถึงนี้
นี่ฟ้าต้องการจะแสดงความอาลัย ต้องการจะหยอกล้อกลั่นแกล้ง หรือเพียงแค่ต้องการจะเพิ่มทวีความหนาวเหน็บให้กับหัวใจของคนกันแน่
ท่วงทำนองอ้อยสร้อยอ้อยอิ่ง ที่ดังมาจากลำโพงทั้งสี่ตัว คลอเคลียคลุกเคล้าอยู่ภายในโสตประสาท แผ่วพลิ้วผสมกลมกลืนจนกลายเป็นหนึ่งเดียวกับบรรยากาศรอบกาย
แม้จะเคยฟังเพลงนี้ซ้ำไปซ้ำมาแล้วตั้งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทว่าในครั้งนี้มันกลับแตกต่างจากครั้งก่อน ๆ อย่างเทียบกันไม่ได้
เสียงจากบทเพลงเดิมในช่วงเวลานี้และวินาทีนี้ ทรงพลังมากพอขนาดที่จะฉุดดึงจิตใจ ให้จมดิ่งลงสู่หุบเหว ในส่วนที่ลึกที่สุดที่ไร้ซึ่งแม้กระทั่งแสงสว่างจะส่องลงไปถึงได้
นึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย ว่าทำไมผมถึงเลือกฟังเพลงแบบนี้ ในขณะที่จิตใจของตัวเองยังเป็นเช่นนี้...ทำไมคนเราถึงชอบฟังเพลงเศร้าในขณะที่รู้สึกเศร้า ทั้ง ๆ ที่รู้ทั้งรู้ว่าบทเพลงเศร้าเหล่านั้น มีแต่จะคอยเสียดแทงและบาดลึกในอารมณ์ ให้ต้องยิ่งรู้สึกเศร้ามากขึ้นไปเท่านั้น
และ...ฟ้ามัว ๆ รวมถึงสายฝนพรำ ๆ อย่างเช่นสภาพอากาศในตอนนี้ มันก็ยิ่งช่วยเพิ่มเติมความอ่อนไหว ขยายความห่วงหาอาดูรให้กับบทเพลงเศร้า ทบทวีอารมณ์จากภายในใจ ให้เพิ่มขึ้นไปอีกได้อย่างน่าใจหาย
จากความรู้สึกที่ในทีแรกเป็นเพียงแค่ความวูบไหวไม่มั่นคง มันก็กลับแปรเปลี่ยนเป็นความทุกข์ระทมขมขื่น และเมื่อนั้น หยาดน้ำใสจากห้วงอารมณ์ทั้งหมดทั้งปวง ก็จะกลั่นออกมาผ่านทางหน้าต่างของจิตใจ
แค่เพียงหยาดหยดเล็ก ๆ จำนวนน้อยนิดที่ก่อให้เกิดกระแสคลื่นใหญ่ในอก ปั่นป่วนรุนแรงพอที่จะพัดพาตะกอนขุ่นจากก้นบึ้งที่ลึกที่สุดให้ฟุ้งกระจายกลับขึ้นมาอีกครั้ง
บางที...คนเราอาจพัฒนาอารมณ์ความรู้สึกทั้งหลาย มาจากธรรมชาติรอบกาย เราจะรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า และดูเหมือนกับว่าจะมีพลังดำเนินชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม ในวันที่สภาพอากาศสดใส
ตรงกันข้ามที่เราจะรู้สึกหงอยเหงาเปล่าเปลี่ยวกว่าปกติ อะไร ๆ ก็ดูเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง ไม่ได้ดั่งใจและไม่เป็นใจไปเสียทุกอย่าง ไร้อารมณ์ หมดแรงที่จะทำหรือคิดอะไร ในวันที่ท้องฟ้าขุ่นมัวมืดหม่น
เม็ดฝนก็คล้ายหยาดน้ำตา มันไหลรินออกมาจากดวงตาของใครก็ตามที่อยู่สูงขึ้นไปบนนั้น โลกทั้งใบรับรู้และกำลังระทมทุกข์ เราเองก็ร่วมรู้สึก ร่วมแบ่งปันเอาความเศร้าโศกจากแผ่นดินแผ่นฟ้าเหล่านั้นมาด้วย
เราสามารถจับต้อง สามารถสัมผัสฝนทุกเม็ดที่ร่วงหล่นลงมาจากฟ้าได้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้พวกมันยังคงเป็นเพียงแค่เมฆหมอกไร้รูปทรงที่จับต้องไม่ได้เท่านั้น
เสกสิ่งที่เป็นรูปธรรมขึ้นจากนามธรรม หรือว่ามันคือการเล่นกล บางที...อาจจะเป็นมนตราอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติก็เป็นได้
แล้วความรักล่ะ...มันก็คงจะไม่แตกต่างกัน
แรกเริ่มเดิมทีนั้น ความรักก็เป็นเพียงแค่นามธรรมที่ล่องลอยอยู่ในอากาศว่างเปล่า ทั้งมองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ หากจะมีก็คงเป็นเพียงแค่ความรู้สึกที่รับรู้ได้ว่า เมฆหมอกสีชมพูบาง ๆ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น และอารมณ์ลึกซึ้งเหล่านั้นมีอยู่จริง
แต่เมื่อคนสองคนได้รับรู้ร่วมกัน ได้สัมผัสและเข้าถึงเข้าใจในสิ่งเดียวกัน
ไม่ต่างไปจากไอและละอองน้ำที่ก่อเกิดเมฆฝน ความรักในอากาศจะเริ่มก่อตัวขึ้น และเมื่อนั้น หยาดหยดแห่งความยินดีก็จะพร่างพรมลงมา ราดรดหัวใจซึ่งเคยร้อนรุ่มกระวนกระวาย ให้เย็นฉ่ำชื่นและสุขสดใสอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ผมและเธอเองก็เช่นเดียวกัน...
เราทั้งสองพบกันในวันที่ท้องฟ้าสีสด ดูปลอดโปร่ง สดใส และเจิดจ้าเป็นพิเศษ ในวันที่เมฆขาวน้อยใหญ่กระจัดกระจายล่องลอยไปอย่างอิสระวันนั้น ผมและเธอได้บังเอิญสบตากัน ได้ส่งยิ้มให้กัน เริ่มต้นทักทายซึ่งกันและกัน
แล้วหลังจากนั้นเราก็ได้รู้จักกัน สนิทสนมกัน พัฒนาความสัมพันธ์ให้ก้าวหน้าไปขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเกิดเป็นความรัก
สายฝนทำให้เนื้อตัวเปียกปอนหนาวเหน็บ ทว่าเมื่อเรามีความกล้ามากพอที่จะก้าวออกไปเพื่อสัมผัสกับมัน อีกความหมายหนึ่งในนั้นก็จะคลี่บานออกมาให้เราได้รู้สึก มันเป็นความสดชื่นชุ่มฉ่ำ ที่รินรดและเปิดหัวใจให้เบิกบานได้ยิ่งกว่าที่ผ่านมา
เป็นความไม่สบายตัวที่น่ายินดีและชวนให้ลิ้มลองได้อย่างน่าประหลาด
แต่น่าเสียดายเหลือเกิน...ที่สายฝนแห่งความน่ายินดีสำหรับผมนั้น กำลังจะหยุดลงแล้ว
ทำไมกันนะ...ทำไมเราถึงเลือกที่จะเดินออกไปสู่ท่ามกลางสายฝน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าถึงมันจะสดชื่น แต่ก็เปียนปอนหนาวเหน็บ และอาจทำให้เราเป็นไข้ไม่สบายได้ ทำไมเราถึงยินดีให้เป็นทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสักวันความรักจะทำให้เราต้องเจ็บปวด และทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส
ไม่วันใดก็วันหนึ่งความพลัดพรากจะผ่านมาเยี่ยมเยือน และฝากทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้ให้ติดลึกฝังแน่นอยู่ในใจ
ไม่วันใดก็วันหนึ่ง สายฝนก็จะนำพาอีกความหมายหนี่งของมันมา...
บางทีอาจจะเป็นเพียงเพราะเรื่องราวระหว่างทางต่างหาก เพราะมีสิ่งดี ๆ มากมายอยู่บนเส้นทางเส้นนั้น มีความทรงจำอันมีค่าจนนับไม่ถ้วนเกิดขึ้น ก่อนที่เราจะเดินทางมาจนถึงจุดหมายปลายทาง
ในความเจ็บปวดยังมีซอกมุมเล็ก ๆ เพื่อให้ได้สัมผัสกับความสุข ในความพลักพรากเอง ก็ยังมีสิ่งที่จะยังคงเป็นนิรันดร์
สัญญาณไฟแดงยังคงค้างเติ่งอยู่บนยอดเสาโลหะที่กลางสี่แยก ทุกสิ่งยังคงหยุดนิ่งคล้ายเมืองทั้งเมืองเกียจคร้านที่จะใช้ชีวิต สายฝนยังคงทำให้ทั่วทั้งบริเวณที่มันโอบคลุม กลายเป็นเมืองแห่งฝัน
ละอองฝ้ากอดตัวกันหนาขึ้นจนบดบังวิสัยทัศน์ไปจนเกือบหมด ราวกับมันไม่ต้องการให้ผู้ที่อยู่ภายในห้องโดยสาร ได้รับรู้ถึงสภาพความเป็นจริงภายนอกตรงเบื้องหน้า
คงจะดี...หากมันเป็นอย่างนั้นได้จริง ๆ
แม้พยายามหาคำพูดสุดท้าย ที่จะสามารถบ่งบอกทุกความในใจ ออกมาให้ได้ทั้งหมดแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ วินาทีนี้ ผมก็ยังนึกไม่ออก ไม่อาจหาคำใดคำนั้นซึ่งเหมาะสมมากพอที่จะเอ่ยให้แก่เธอ
ผมควรจะแสดงสีหน้าอย่างไร ในช่วงเวลาสุดท้ายได้พบกัน ควรจะยิ้มหรือต้องร้องไห้ ควรจะขอบคุณหรือกล่าวคำอำลาด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้งดี
ในใจแล้ว...ผมอยากให้สัญญาณไฟตรงหน้า ยังคงเป็นสีแดงอย่างนี้ตลอดไป เพราะมันจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่งและยืดยาวต่อไปได้อีก มันทำให้รู้สึกว่าเรื่องราวทั้งหมดยังไม่จบลง เรายังสามารถพบกันได้อีก ตราบเท่าที่ผมยังคงอยู่ที่ตรงนี้
เมื่อไม่มีสัญญาณไฟเขียว ผมก็จะไม่ต้องเดินทางต่อไป ไม่ต้องรับรู้อะไรก็ตามต่อจากนี้
แต่แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้...
อีกไม่นานสัญญาณไฟเขียวก็จะติดสว่างขึ้นมาแทนที่ไฟสีแดง ทุกชีวิตที่กำลังหลับใหลอยู่ตรงด้านหลังสัญญาณไฟ ก็จะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง
เวลาจะเริ่มเดินต่อไป...
ผมเองก็จะต้องเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง ไปสู่จุดหมายปลายทางที่ตรงจุดนั้น แม้จะไม่อยากไปมากขนาดไหนก็ตาม
มันเป็นอย่างนั้น...แม้จะไม่อยากให้มาถึงสักเพียงใด สุดท้ายแล้วมันจะมาถึงอย่างแน่นอน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น เรื่องทั้งหมดจะยังคงดำเนินต่อไปอย่างนั้น อย่างที่มันต้องเป็น
ท้องฟ้ายังคงถูกทาทับเอาไว้ด้วยสีเทาหม่นมัว หยาดน้ำยังคงโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย แต่สัญญาณไฟแดงได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว
ผมเอื้อมมือดันคันโยกด้านซ้ายข้างพวงมาลัยรถยนต์ ก้านปัดน้ำฝนทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ ละอองหนาแน่นที่บดบังสายตาก่อนหน้านี้ถูกลบออกไป ภาพแห่งความเป็นจริงอันกระจ่างใสตรงเบื้องหน้าก็พลันเผยตัวออกมาให้เห็นอีกครั้ง
เท้าค่อย ๆ กดคันเร่งให้จมลึกลงไป ล้อทั้งสี่เริ่มหมุนวน และพาให้รถยนต์เคลื่อนที่ออกไปสู่จุดหมายแห่งการพลัดพรากอีกครั้ง
ผมได้แต่หวังว่าเวลาจะช่วยเยียวยา ให้ความรู้สึกอันยากจะอธิบายในขณะนี้ ดีขึ้นได้สักวันหนึ่ง ผมหวังว่าความทรงจำและความรู้สึกดี ๆ ที่เราทั้งสองมีให้แก่กันและกันเสมอมา จะทำให้ก้าวผ่านพ้นคืนวันอันมืดบอดนี้ไปได้
ให้เป็นเหมือนดังเช่นม่านละอองน้ำที่นำพาความหนาวเหน็บเข้ามา
อีกไม่ช้าสายฝนก็จะหยุดตก อีกไม่นานลมหนาวระลอกใหม่ก็จะพัดผ่าน และอีกไม่นาน...ฤดูกาลใหม่ที่อบอุ่นยิ่งกว่า ก็จะเข้ามาเยือนอย่างแน่นอน
จบ