EP.1
ติด ต.ม. ฮ่องกง
ที่ต้องมี EP. เพราะเดี๋ยวมาเล่าเรื่องอื่นๆอีกค่ะ
เล่าก่อนว่า ครั้งนี้คือการไปฮ่องกง คนเดียวครั้งแรก
เรียกได้ว่าไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียวครั้งแรกดีกว่า
ด้วยความที่เราจะไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรก และคนเดียว เราก็จะเตรียมตัวเป็นอย่างดี
เพราะด้วยสัก...ว่า ผู้หญิงไปฮ่องกงคนเดียว มักจะโดนเพ่งเล็งเสมอ
และที่สำคัญคือ ครั้งนี้ที่เราไปเราจะข้ามไปฝั่ง เซินเจิ้น(จีน) ด้วย
ซึ่งเราไม่ได้ทำ วีซ่า ไปตั้งแต่ไทย แต่เราจะไปทำ Visa On Arrival หรือวีซ่าหน้าด่านที่ฮ่องกง (อันนี้เดี๋ยวมาเล่าว่าต้องทำยังไงบ้าง)
เราจึงต้องเตรียมตัวเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าเตรียมเอกสารแบบแทบทุกอย่างที่คิดว่าเขาจะต้องถามหา
1. แพลนการท่องเที่ยว
2. เอกสารการจองตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ
3. เอกสารการจองโรงแรม ทุกที่ที่เราจะไปพัก (เราจองไว้ 4 ที่)
4. เอกสารรับรองการทำงาน (ช่วงก่อนไปที่บริษัทเรามีการปรับเงินเดือน เราก็เตรียมเอกสารนั้นไปด้วย)
5. นามบัตร, บัตรพนักงาน (ไม่รู้ทำไมเตรียมไป แต่นามบัตรของเรามีติดตัวอยู่แล้ว)
6. เอกสารการฉีดวัคซีน (ที่จริงอันนี้เขาไม่ได้บอกให้เตรียมนะ แต่เผื่อไว้ไม่เสียหาย)
เอกสารก็จะประมาณนี้
และสิ่งที่เตรียมตัวไปอีกอย่างหนึ่งก็คือ การตอบคำถาม ต.ม.
อันนี้ดูเยอะและซ้อมเยอะมาก ซ้อมแบบถ้าติดแล้วจะอธิบายยังไง งัดอะไรมายืนยัน
พอลงมาจากเครื่อง ด้วยความที่เรามาคนเดียวเราก็จะไม่ต้องรอใครหรืออะไรทั้งนั้น
กระเป๋ามีแค่ที่สะพายอยู่ เครื่องลงก็รีบเดินหาทางไปที่ ต.ม. ทันที ไม่รู้หรอกว่าอยู่ที่ไหน อาศัยอ่านป้าย
เอาสังเกตนะว่าระหว่างทางจะมี ตำรวจ หรือ เจ้าหน้าที่ อยู่เป็นระยะ ซึ่งเราไม่สนใจ เราจะไป ต.ม.
พอไปถึง ต.ม. เราน่าจะเป็นคนที่ 2 ฝั่งชาวต่างชาติมั่ง ซึ่งมันมีหลายช่องมาก เราก็เข้าไปคนแรกช่องนั้น
เตรียมแล้ว เตรียมงัดเอกสารแล้ว เพราะมาคนแรกและยังไม่มีใครตามมา เวลาเยอะต้องถามเยอะมากแน่ๆ
เชื่อไหม ต.ม. พูดกับเราคำเดียว "ถอดแมส"
หลังจากนั้นไม่เกิน 2 นาที เขาคืนพาสปอร์ตเรามา ห่ะ????
งง จนต้องถามว่า "Finish??"
เขาก็พยักหน้า แล้วเราก็เดินเข้าไป ใจนึงก็คิดว่า หรือว่ามันจะมีตรวจอีกที่ว่ะ
สรุป ไปรอรับกระเป๋าจ้า คนแรกเลย
โอ้โห โคตรโล่งเลยตอนนั้น
เล่ามาถึงตอนนี้ เราไปติด ต.ม. ตอนไหนใช่ป่ะ
ตอนขากลับมาจาก เซินเจิ้นจ้า
ด้วยความที่เราเล่าไปตอนแรกใช่ป่ะ เราไม่โดนอะไรเลย
แล้ววันนั้น มันมีเหตุให้เราต้อง เข้า-ออก ต.ม. หลายรอบมาก (เดี๋ยวมาเล่าตอนไปขอวีซ่าเข้าจีน)
ซึ่งไม่เกิดปัญหาอะไรเลย แม้ว่าตอนจะออกจากฮ่องกงไปจีน จะคุยไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ก็ไม่มีปัญหา
พอจะมีปัญหาคือ วันที่กลับเข้าฮ่องกง เพื่อที่อีก 2 วันจะกลับไทย
เราก็เดินมาจากจีนปกติ พอมาถึงด่านฮ่องกง เราก็เข้าช่องของต่างชาติ ซึ่งมีเราคนเดียว อีกละ
โล่งๆ เลย เราก็คิดว่าจะไม่ถามอะไรอีก แต่ครั้งนี้ผิดคาด
ถามชื่อ นามสกุล , มาฮ่องกงกี่วัน, กลับวันไหน, มาทำอะไร อันนี้เราตอบได้ปกติเพราะเราไปเที่ยวจริงๆ
สักพัก เช็คนั่น เช็คนี้ จิ๊ปากทีนึง ถอนหายใจทีนึง วุ่นวายกับการเปิดพาสปอร์ตเราไป-มา
ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไรนะ คิดว่าเขาคงเบื่อๆ เหนื่อย ๆ
สรุปผ่านไปประมาณ 3 นาที เรียก ต.ม. อีกคนมารับเราไปจ้า
เอาหละ ครั้งแรกกับการติด ต.ม. เริ่มขึ้น
เอาจริงเราไม่ได้กังวลอะไรเลยนะ ธรรมดามาก เพราะคืออีก 2 วันเราจะกลับไทยแล้ว ไม่เหมือนวันแรกที่มา
ตอนเดินไปเขาก็ถามว่า "มาฮ่องกงครั้งแรกเหรอ มาคนเดียวเหรอ"
เราก็ตอบไปว่า "ใช่ มาคนเดียวและไม่ได้มาครั้งแรก"
แค่นั้น แล้วเขาก็พาเราไปนั่งรอในคอก ที่มีคนนั่งอยู่แล้วคนนึง
ตอนนั้นก็ชิล เราไม่กังวล ไม่ได้ร้อนรนหาเอกสารอะไรทั้งนั้น นั่งแบบไม่ได้คิดอะไรเลยอ่า คิดว่าอีกสักพักเขาคงปล่อย
สักพักประมาณ 10 นาที ก็มี ต.ม. มาเรียกเราเข้าไปนั่งอีกคอกนึง เหมือนห้องสัมภาษณ์ที่อยู่ติดกันนั่นหละ
เขาก็เริ่มถามเราว่า
ชื่อ-นามสกุลอะไร
มาทำอะไรที่ฮ่องกง
มากี่วัน วันไหนบ้าง กลับวันไหน เราตอบไปว่าวันที่ 30-6 แต่ว่า 1-4 เราไปที่เซินเจิ้นและกลับเข้าฮ่องกงวันนี้
เขาก็ถามว่าไปทำอะไรที่นั่น
แล้ววันที่ 30 อยู่ที่ฮ่องกงเหรอ วันนั้นทำอะไร เราก็อธิบายเรื่องการขอวีซ่านั่นนี่ไป
เขาถามว่ามาฮ่องกงจะไปเที่ยวไหน เราก็ตอบไปว่าจะมาไหว้พระ ถามต่ออีกว่า "วัดไหน" โห ฉันจำได้แค่วัดกังหันค่ะ พีคอยู่นะ
และยังถามต่อว่าจะไปไหนอีก เราก็บอกไปว่าจะเดินเล่น ช็อปปิ้งก่อนกลับ
ช็อปปิ้งที่ไหน มีเงินเท่าไหร่ (เงินสด) ขอดูหน่อย
คือเราอ่า ไม่ได้แลกเงินไปเยอะ เราแลกไปแค่ 1000 เหรียญ และตอนลงจากเครื่องเราก็เอาไปเติมบัตร Octopus ไป 500
และวันที่ 30 คือวุ่นวายกับการขอวีซ่า ต้องเสียค่าแท็กซี่ ที่พัก เลยเหลือเงินติดตัวแค่ 120 เหรียญ
แต่เขาอยากดูเรากควักออกมา พร้อมบอกเหตุผล และบอกว่าเรามีบัตรนะ เราคิดว่าเราจะใช้บัตรนี้ซื้อของ
พีคอีกคือ บัตรอะไรขอดูหน่อย เออ ได้เลยยยยย (พูดในใจ) เราก็เอาออกมาให้เขาดู
แล้วเขาก็ถามว่า
ขอดูตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ หน่อย แล้วก็หลักฐานการจองที่พักด้วย
ไอ้เราอ่า เตรียมเอกสารไว้หมดนะตั้งแต่วันแรกเลย
แต่เพื่อความสะดวกสบาย เราก็เอา Ipad มาเปิดให้เขาดู เขาก็เลื่อนๆ ดู
แล้วถามอีกว่ามีแผนท่องเที่ยวไหม
เราก็เปิด Ipad นั่นหละให้เขาดู
แล้วๆๆๆ ๆ ไม่จบนะ
เขาถามว่ามี hard copy ไหม ก็คือที่เป็นกระดาษอ่า มีไหม??
ซีดปากเลยจ้า ทุกคนก็รู้ใช่ป่ะ ว่าเราได้เตรียมการมาเป็นอย่างดี
แต่...ครั้งนี้เราไม่ได้เอาใส่ในประเป๋าสะพาย เพราะคิดว่าเราผ่านด่านมาเยอะมากและไม่มีใครขอดูเลยสักครั้ง
จะเอามันออกมาถือไว้ก็เกะกะ เราเลยเอาทุกอย่างใส่ในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ซึ่งเก็บไม่เรียบร้อยด้วยนะเพราะคิดว่ามาถึงไทยก็ทิ้ง
จากนั้นเราก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วบอกว่า "มี แต่มันอยู่ในกระเป๋าเดินทางนะ ซึ่งมันรกมาก ต้องรอสักครู่"
แล้วแก ฉันอายนะ เขาหล่อ และเขาต้องมาเจอกระเป๋าเดินทางที่รกรุงรังของฉัน
ระหว่างนั้นเขาก็ยังถามเราไม่หยุด
เขาถามว่าเราทำงานอะไร บริษัททำเกี่ยวกับอะไร
เราก็เปิดประเป๋าควานหาเอกสารไป ตอบคำถามไป
พอตอบง่าทำงานอะไร ก็ยังถามต่ออีกว่า
"มีอะไรพิสูจน์" แหนะ!!
เราเลยบอกว่า เรามีเอกสารการทำงานมาด้วย แต่ต้องรอสักครู่
แต่เราคิดแว็บขึ้นมาได้ว่า เราเอานามบัตรมาด้วย เราเลยควักนามบัตรมาให้เขาดูก่อน ว่านี่ตำแหน่งของฉัน บริษัทของฉัน
ไม่จบ! ถามอีกว่าได้เงินเดือนเท่าไหร่ คือเอาจริงๆ นะ ตอบตัวเลขไม่ได้ คือมันคิดภาษาอังกฤษไม่ออกตอนนั้น เพราะต้องหาของด้วย
เราเลยเขียนให้ดูว่าตัวเลขเท่าไหร่
จากนั้นเราก็เอาเอกสารทั้งหมดที่เราเตรียมไปให้เขาดู
แพลนการท่องเที่ยว, เอกสารจองตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรม, เอกสารรับรองการทำงาน
เขาก็รับเอกสารเราไป ถ่ายเอกสาร เก็บหลักฐานอะไรเรียบร้อย
แล้วเขาก็ให้เราออกมารอข้างนอก
นอกคอกสัมภาษนั่นหละ
รอไม่นาน เขาก็มาเรียกตัวเราไปเพื่อที่จะส่งเราเข้าไปฮ่องกง
เป็นอันเสร็จพิธีการ
เอาจริงนะ ทุกขั้นตอน เราไม่มีความกังวลหรืออะไรทั้งนั้น
อาจจะเป็นเพราะเราไม่ได้จะทำอะไรผิด เราไปเที่ยวจริงๆ อาจจะน่าสงสัยตรงที่เป็นผู้หญิงไปคนเดียว แล้วไปทำไมที่จีนตั้งหลายวันมั้ง
จากนั้นเราก็ผ่านเข้ามาฮ่องกงได้อย่างปกติ
จบเรื่องการติด ต.ม.
เอาจริงมันไม่ได้น่ากลัวอะไรเลยนะ ถ้าเราไปเที่ยวจริงๆ เอกสารครบ หลักฐานพร้อม
อาจจะแค่เสียเวลา และต้องตอบคำถามหน่อยแค่นั้นเอง
อยากให้คนที่ไปเที่ยวหรือแม้แต่ผู้หญิงที่ไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียวไม่ต้องกลัวค่ะ
เตรียมทุกอย่างให้พร้อม แล้วก็เดินเชิดๆ ไปเที่ยวได้เลย เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ
ปล.ขอเสริมนิดนึง
ต.ม. ตำรวจ เจ้าหน้าที่ ตรงบริเวณด่านตรวจคนเข้าเมือง
คือดีย์ คือหล่อมากๆๆ แทบทุกคนเลยจริงๆ เราไปมาหลายด่าน แต่ทุกด่าน ดีย์หมด 55
**บอกก่อนว่าอันนี้คือกระทู้แรก มีอะไรติชม แนะนำได้เลยนะคะ
ขอบคุณค่ะ
แชร์ประสบการณ์ ติด ต.ม. ครั้งแรก ที่ฮ่องกง
ติด ต.ม. ฮ่องกง
ที่ต้องมี EP. เพราะเดี๋ยวมาเล่าเรื่องอื่นๆอีกค่ะ
เล่าก่อนว่า ครั้งนี้คือการไปฮ่องกง คนเดียวครั้งแรก
เรียกได้ว่าไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียวครั้งแรกดีกว่า
ด้วยความที่เราจะไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรก และคนเดียว เราก็จะเตรียมตัวเป็นอย่างดี
เพราะด้วยสัก...ว่า ผู้หญิงไปฮ่องกงคนเดียว มักจะโดนเพ่งเล็งเสมอ
และที่สำคัญคือ ครั้งนี้ที่เราไปเราจะข้ามไปฝั่ง เซินเจิ้น(จีน) ด้วย
ซึ่งเราไม่ได้ทำ วีซ่า ไปตั้งแต่ไทย แต่เราจะไปทำ Visa On Arrival หรือวีซ่าหน้าด่านที่ฮ่องกง (อันนี้เดี๋ยวมาเล่าว่าต้องทำยังไงบ้าง)
เราจึงต้องเตรียมตัวเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าเตรียมเอกสารแบบแทบทุกอย่างที่คิดว่าเขาจะต้องถามหา
1. แพลนการท่องเที่ยว
2. เอกสารการจองตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ
3. เอกสารการจองโรงแรม ทุกที่ที่เราจะไปพัก (เราจองไว้ 4 ที่)
4. เอกสารรับรองการทำงาน (ช่วงก่อนไปที่บริษัทเรามีการปรับเงินเดือน เราก็เตรียมเอกสารนั้นไปด้วย)
5. นามบัตร, บัตรพนักงาน (ไม่รู้ทำไมเตรียมไป แต่นามบัตรของเรามีติดตัวอยู่แล้ว)
6. เอกสารการฉีดวัคซีน (ที่จริงอันนี้เขาไม่ได้บอกให้เตรียมนะ แต่เผื่อไว้ไม่เสียหาย)
เอกสารก็จะประมาณนี้
และสิ่งที่เตรียมตัวไปอีกอย่างหนึ่งก็คือ การตอบคำถาม ต.ม.
อันนี้ดูเยอะและซ้อมเยอะมาก ซ้อมแบบถ้าติดแล้วจะอธิบายยังไง งัดอะไรมายืนยัน
พอลงมาจากเครื่อง ด้วยความที่เรามาคนเดียวเราก็จะไม่ต้องรอใครหรืออะไรทั้งนั้น
กระเป๋ามีแค่ที่สะพายอยู่ เครื่องลงก็รีบเดินหาทางไปที่ ต.ม. ทันที ไม่รู้หรอกว่าอยู่ที่ไหน อาศัยอ่านป้าย
เอาสังเกตนะว่าระหว่างทางจะมี ตำรวจ หรือ เจ้าหน้าที่ อยู่เป็นระยะ ซึ่งเราไม่สนใจ เราจะไป ต.ม.
พอไปถึง ต.ม. เราน่าจะเป็นคนที่ 2 ฝั่งชาวต่างชาติมั่ง ซึ่งมันมีหลายช่องมาก เราก็เข้าไปคนแรกช่องนั้น
เตรียมแล้ว เตรียมงัดเอกสารแล้ว เพราะมาคนแรกและยังไม่มีใครตามมา เวลาเยอะต้องถามเยอะมากแน่ๆ
เชื่อไหม ต.ม. พูดกับเราคำเดียว "ถอดแมส"
หลังจากนั้นไม่เกิน 2 นาที เขาคืนพาสปอร์ตเรามา ห่ะ????
งง จนต้องถามว่า "Finish??"
เขาก็พยักหน้า แล้วเราก็เดินเข้าไป ใจนึงก็คิดว่า หรือว่ามันจะมีตรวจอีกที่ว่ะ
สรุป ไปรอรับกระเป๋าจ้า คนแรกเลย
โอ้โห โคตรโล่งเลยตอนนั้น
เล่ามาถึงตอนนี้ เราไปติด ต.ม. ตอนไหนใช่ป่ะ
ตอนขากลับมาจาก เซินเจิ้นจ้า
ด้วยความที่เราเล่าไปตอนแรกใช่ป่ะ เราไม่โดนอะไรเลย
แล้ววันนั้น มันมีเหตุให้เราต้อง เข้า-ออก ต.ม. หลายรอบมาก (เดี๋ยวมาเล่าตอนไปขอวีซ่าเข้าจีน)
ซึ่งไม่เกิดปัญหาอะไรเลย แม้ว่าตอนจะออกจากฮ่องกงไปจีน จะคุยไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ก็ไม่มีปัญหา
พอจะมีปัญหาคือ วันที่กลับเข้าฮ่องกง เพื่อที่อีก 2 วันจะกลับไทย
เราก็เดินมาจากจีนปกติ พอมาถึงด่านฮ่องกง เราก็เข้าช่องของต่างชาติ ซึ่งมีเราคนเดียว อีกละ
โล่งๆ เลย เราก็คิดว่าจะไม่ถามอะไรอีก แต่ครั้งนี้ผิดคาด
ถามชื่อ นามสกุล , มาฮ่องกงกี่วัน, กลับวันไหน, มาทำอะไร อันนี้เราตอบได้ปกติเพราะเราไปเที่ยวจริงๆ
สักพัก เช็คนั่น เช็คนี้ จิ๊ปากทีนึง ถอนหายใจทีนึง วุ่นวายกับการเปิดพาสปอร์ตเราไป-มา
ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไรนะ คิดว่าเขาคงเบื่อๆ เหนื่อย ๆ
สรุปผ่านไปประมาณ 3 นาที เรียก ต.ม. อีกคนมารับเราไปจ้า
เอาหละ ครั้งแรกกับการติด ต.ม. เริ่มขึ้น
เอาจริงเราไม่ได้กังวลอะไรเลยนะ ธรรมดามาก เพราะคืออีก 2 วันเราจะกลับไทยแล้ว ไม่เหมือนวันแรกที่มา
ตอนเดินไปเขาก็ถามว่า "มาฮ่องกงครั้งแรกเหรอ มาคนเดียวเหรอ"
เราก็ตอบไปว่า "ใช่ มาคนเดียวและไม่ได้มาครั้งแรก"
แค่นั้น แล้วเขาก็พาเราไปนั่งรอในคอก ที่มีคนนั่งอยู่แล้วคนนึง
ตอนนั้นก็ชิล เราไม่กังวล ไม่ได้ร้อนรนหาเอกสารอะไรทั้งนั้น นั่งแบบไม่ได้คิดอะไรเลยอ่า คิดว่าอีกสักพักเขาคงปล่อย
สักพักประมาณ 10 นาที ก็มี ต.ม. มาเรียกเราเข้าไปนั่งอีกคอกนึง เหมือนห้องสัมภาษณ์ที่อยู่ติดกันนั่นหละ
เขาก็เริ่มถามเราว่า
ชื่อ-นามสกุลอะไร
มาทำอะไรที่ฮ่องกง
มากี่วัน วันไหนบ้าง กลับวันไหน เราตอบไปว่าวันที่ 30-6 แต่ว่า 1-4 เราไปที่เซินเจิ้นและกลับเข้าฮ่องกงวันนี้
เขาก็ถามว่าไปทำอะไรที่นั่น
แล้ววันที่ 30 อยู่ที่ฮ่องกงเหรอ วันนั้นทำอะไร เราก็อธิบายเรื่องการขอวีซ่านั่นนี่ไป
เขาถามว่ามาฮ่องกงจะไปเที่ยวไหน เราก็ตอบไปว่าจะมาไหว้พระ ถามต่ออีกว่า "วัดไหน" โห ฉันจำได้แค่วัดกังหันค่ะ พีคอยู่นะ
และยังถามต่อว่าจะไปไหนอีก เราก็บอกไปว่าจะเดินเล่น ช็อปปิ้งก่อนกลับ
ช็อปปิ้งที่ไหน มีเงินเท่าไหร่ (เงินสด) ขอดูหน่อย
คือเราอ่า ไม่ได้แลกเงินไปเยอะ เราแลกไปแค่ 1000 เหรียญ และตอนลงจากเครื่องเราก็เอาไปเติมบัตร Octopus ไป 500
และวันที่ 30 คือวุ่นวายกับการขอวีซ่า ต้องเสียค่าแท็กซี่ ที่พัก เลยเหลือเงินติดตัวแค่ 120 เหรียญ
แต่เขาอยากดูเรากควักออกมา พร้อมบอกเหตุผล และบอกว่าเรามีบัตรนะ เราคิดว่าเราจะใช้บัตรนี้ซื้อของ
พีคอีกคือ บัตรอะไรขอดูหน่อย เออ ได้เลยยยยย (พูดในใจ) เราก็เอาออกมาให้เขาดู
แล้วเขาก็ถามว่า
ขอดูตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ หน่อย แล้วก็หลักฐานการจองที่พักด้วย
ไอ้เราอ่า เตรียมเอกสารไว้หมดนะตั้งแต่วันแรกเลย
แต่เพื่อความสะดวกสบาย เราก็เอา Ipad มาเปิดให้เขาดู เขาก็เลื่อนๆ ดู
แล้วถามอีกว่ามีแผนท่องเที่ยวไหม
เราก็เปิด Ipad นั่นหละให้เขาดู
แล้วๆๆๆ ๆ ไม่จบนะ
เขาถามว่ามี hard copy ไหม ก็คือที่เป็นกระดาษอ่า มีไหม??
ซีดปากเลยจ้า ทุกคนก็รู้ใช่ป่ะ ว่าเราได้เตรียมการมาเป็นอย่างดี
แต่...ครั้งนี้เราไม่ได้เอาใส่ในประเป๋าสะพาย เพราะคิดว่าเราผ่านด่านมาเยอะมากและไม่มีใครขอดูเลยสักครั้ง
จะเอามันออกมาถือไว้ก็เกะกะ เราเลยเอาทุกอย่างใส่ในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ซึ่งเก็บไม่เรียบร้อยด้วยนะเพราะคิดว่ามาถึงไทยก็ทิ้ง
จากนั้นเราก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วบอกว่า "มี แต่มันอยู่ในกระเป๋าเดินทางนะ ซึ่งมันรกมาก ต้องรอสักครู่"
แล้วแก ฉันอายนะ เขาหล่อ และเขาต้องมาเจอกระเป๋าเดินทางที่รกรุงรังของฉัน
ระหว่างนั้นเขาก็ยังถามเราไม่หยุด
เขาถามว่าเราทำงานอะไร บริษัททำเกี่ยวกับอะไร
เราก็เปิดประเป๋าควานหาเอกสารไป ตอบคำถามไป
พอตอบง่าทำงานอะไร ก็ยังถามต่ออีกว่า "มีอะไรพิสูจน์" แหนะ!!
เราเลยบอกว่า เรามีเอกสารการทำงานมาด้วย แต่ต้องรอสักครู่
แต่เราคิดแว็บขึ้นมาได้ว่า เราเอานามบัตรมาด้วย เราเลยควักนามบัตรมาให้เขาดูก่อน ว่านี่ตำแหน่งของฉัน บริษัทของฉัน
ไม่จบ! ถามอีกว่าได้เงินเดือนเท่าไหร่ คือเอาจริงๆ นะ ตอบตัวเลขไม่ได้ คือมันคิดภาษาอังกฤษไม่ออกตอนนั้น เพราะต้องหาของด้วย
เราเลยเขียนให้ดูว่าตัวเลขเท่าไหร่
จากนั้นเราก็เอาเอกสารทั้งหมดที่เราเตรียมไปให้เขาดู
แพลนการท่องเที่ยว, เอกสารจองตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรม, เอกสารรับรองการทำงาน
เขาก็รับเอกสารเราไป ถ่ายเอกสาร เก็บหลักฐานอะไรเรียบร้อย
แล้วเขาก็ให้เราออกมารอข้างนอก
นอกคอกสัมภาษนั่นหละ
รอไม่นาน เขาก็มาเรียกตัวเราไปเพื่อที่จะส่งเราเข้าไปฮ่องกง
เป็นอันเสร็จพิธีการ
เอาจริงนะ ทุกขั้นตอน เราไม่มีความกังวลหรืออะไรทั้งนั้น
อาจจะเป็นเพราะเราไม่ได้จะทำอะไรผิด เราไปเที่ยวจริงๆ อาจจะน่าสงสัยตรงที่เป็นผู้หญิงไปคนเดียว แล้วไปทำไมที่จีนตั้งหลายวันมั้ง
จากนั้นเราก็ผ่านเข้ามาฮ่องกงได้อย่างปกติ
จบเรื่องการติด ต.ม.
เอาจริงมันไม่ได้น่ากลัวอะไรเลยนะ ถ้าเราไปเที่ยวจริงๆ เอกสารครบ หลักฐานพร้อม
อาจจะแค่เสียเวลา และต้องตอบคำถามหน่อยแค่นั้นเอง
อยากให้คนที่ไปเที่ยวหรือแม้แต่ผู้หญิงที่ไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียวไม่ต้องกลัวค่ะ
เตรียมทุกอย่างให้พร้อม แล้วก็เดินเชิดๆ ไปเที่ยวได้เลย เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ
ปล.ขอเสริมนิดนึง
ต.ม. ตำรวจ เจ้าหน้าที่ ตรงบริเวณด่านตรวจคนเข้าเมือง
คือดีย์ คือหล่อมากๆๆ แทบทุกคนเลยจริงๆ เราไปมาหลายด่าน แต่ทุกด่าน ดีย์หมด 55
**บอกก่อนว่าอันนี้คือกระทู้แรก มีอะไรติชม แนะนำได้เลยนะคะ
ขอบคุณค่ะ