ริวิวไปแลกเปลี่ยนโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนไอจิ ไปในนาม กทม
ขอเล่าเรื่องเลยละกันนน
การสอบคัดเลือก
ทางกทมเขาจะให้คนที่มีทะเบียนบ้านและที่อยู่อยูใน กรุงเทพมหานครฯ จะเป็นคนอยู่จังหวัดอื่นก็ได้เหมือนตัวเราเอง อยู่ปทุมธานี แต่ทะเบียนบ้านอยู่ใน กรุงเทพฯ เลยได้มีสิทธิสอบ ขั้นแรกเขาจะให้สอบข้อเขียน ปีเราเป็นหัวข้อให้เขียนเรียงความไทยและอังกฤษ หัวข้อแต่ละปีก็จะแตกต่างกันไป และถ้าเราสามารถผ่านรอบข้อเขียนมาได้เขาจะเรียกเรามาสอบสัมภาษณ์เพื่อวัดระดับภาษาอังกฤษ, ทัศนคติ และ ความรู้รอบตัวเกี่ยวกับไอจิ ประมานนี้
ก่อนไปญี่ปุ่นทาง กทม ก็จะเรียกเราไปบรีฟก่อน ก็บอกรายละเอียดเราว่าควรทำตัวอย่างไร , จะไปทำอะไรบ้าง และ สิ่งของที่ควรเตรียม ประมานนี้
(ไปไม่มีค่าใช้จ่ายถึงมีก็เป็นของตัวเองเป็นส่วนใหญ่)
ขอเล่าตอนไปญี่ปุ่นเลยคร้าบบ
วันแรก
เครื่องจะออกจากสนามบินเวลา เที่ยงคืน แต่แนะนำให้ไปก่อนเวลาสัก 1-3 ชั่วโมงเผื่อลืมของจะได้กลับไปเอาทันและมีเวลาเตรียมตัวมากขึ้นและสิ่งที่ไม่ควรทำหาย!!!!! passport boarding pass หายไปนี่คือทำไรไม่ได้เก็บให้ดีดี และพอขึ้นเครื่องก็ให้พักผ่อนเยอะๆเพราะว่าต้องไป พบกับทางการของเมืองนาโกย่า และไป มหาวิทยาลัยนาโกย่าและแนะแนวต่างๆ เกี่ยวกับคณะและทุน ต่อมาเราก็ไปทำความเคารพและแนะนำตัวกับรองผู้ว่า
นาโกย่า และคุยปัญหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมกับแนวทางแก้ไข หลังจากนั้นก็กินข้าวเย็นและพักผ่อนที่โรงแรม Iris Aichi ถือว่าเป็นโรงแรมที่ดีเลย
วันที่สอง
วันนี้ก็จะสนุกหน่อย พอเริ่มวันก็ลงมาทานข้าวเช้าจะออกแนวตะวันตกหน่อย แต่ก็อร่อยดี และพอออกจากโรงแรม ก็ไปวัดนิกไทจิเป็นวัดที่ผสมพุทธแบบไทยของเราและมีพระธาตุของพระพุทธเจ้าอยู่ด้วย และต่อมาก็ไปถนน Osu และกินข้าวกับเด็กญี่ปุ่นแล้วเด็กญี่ปุ่นเป็นมิตรมากๆคุยง่ายแต่เขาอาจจะพูดอังกฤษไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่แต่เข้าใจได้ พอทานข้าวเสร็จเพื่อนชาวญี่ปุ่นจะพาเราไปเดินซื้อของในถนน Osu เขาก็แนะนำขนมและของ ต่างๆให้และละเอียดมากกก ถือว่าเอาใจใส่สุดๆ ต่อมาเราก็ไปทพโครงานเสนอวิธีการรักษาสิ่งแวดล้อมและนำเสนอ แต่กลุ่มที่เราทำงานด้วยจะเป็นคนละกลุ่มกับที่ไปด้วยกันตอนแรก และพอจะกลับไม่อยากแยกกันเลยย เพิ่งจะสนิทกัน แอบเศร้านิดๆ พอเสร็จทุกอย่างก็ไปกิน ชาบูญี่ปุ่น ก็ไม่ได้มีอะไรเว่อมาก แต่ก็ถือว่าอร่อยใช้ได้ กินเสร็จเราก็กลับมาพักผ่อนจบวันที่สอง
วันที่สาม
วันนี้จะเป็นวันที่ใช้ชีวิตกับ host ทั้งวันและเรียนรู้การเป็นอยู่ของครอบครัวชาวญี่ปุ่น และวันนี้ host จะมารับเราแต่เช้าและพาเราไปเที่ยวต่างๆนาๆ และดูแลเราเหมือนลูกคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ และทั้งนี้ยังพาเราไปเที่ยวหลายๆที่ และพอกลับมาบ้านก็นั่งเล่นไพ่ และ เกม กัน กับลูกของเขาสนุกสุดๆ ขนาดโวยวายกันเสียงดังจนโดนดุ 55555 ถึงเขาจะพูดอังกฤษ หรือ ไทย ไไท่ค่อยได้แต่ก็เข้าใจได้เพราะตัวเราเองฟังภาษาญี่ปุ่นพอรู้เรื่องแต่พูดไม่ค่อยได้ และ พิจะจากกะนก็คิดถึงแหละและถ้าเขาจะมาไทยเขาจะบอกเราและให้พาไปเทียวด้วยกัน และนี่ถือว่าเป็นโปรแกรมที่ดีเลย
วันที่สี่
เราก็ไปโรงเรียนมัธยม อิชิโนมิยะ ซึ่งอยู่ค่อนข้างห่างจากตัวเมืองแต่ก็ไม่ถึงขั้นชนบท แต่ละแวกนั้นก็น่าอยู่พอสมควรและอากาศดีมาก ต่อมาทางโรงเรียนก็ได้นำพาเราไปเดินชมโรงเรียนและสิ่งที่แปลกตาสำหรับคนไทยเรานั้นคือชุมนุมยิงธนูญี่ปุ่น ซึงไม่สามารถเห็นได้ง่ายๆในประเทศไทยเรา และการที่เข้าชั้นเรียนต้องเปลี่ยนรองเท้าเพื่อความสะอาดถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก และต่อมาเราก็ได้ไทำกิจกรรมร่วมกับนักเรียนญี่ปุ่นซึ่งสนุกมาๆ และคุยกันแลกเปลี่ยนเรื่องราวของบ้านเกิด และพอเราจะกลับนักเรียนญี่ปุ่นก็มาโบกมืออำลา ถือว่าวันนี้ได้ใช้เวลากับเพื่อนญี่ปุ่นน้อยมาก
วันที่ห้า
วันนี้เราไปรับฟังข้อมูลที่ United Nations Centre For National Development และได้บทสรุปประมานว่าโรงงานหลายๆแห่งในญี่ปุ่นเน้นการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมมากว่าผลกำไรมากมาย และจะอยู่กันเป็นองค์กรและให้นายทุนและบริษัทใหญๆมาสนใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ต่อมาเราก็ไปที่โตโยต้าไคคัน ซึ่งมีรถจากบริษัทโตโยต้ามากมายและมี การจำลองการขับรถอย่างปลอดภัย ล้ำมากก และรถคลาสสปอร์ตที่นี่ถูกกว่าไทยมาก ราคาจะประมาน 9ล้าน เยน ถ้าเทียบเป็นเงินไทยก็จะประมาณ 1.7 ล้านบาทซึ่งถือว่าถูก ต่อมาเราไปบริษัทซึ่งทางบริษัทก็พาชมการผลิตน็อตสำหรับรถยนต์และส่วนใหญ่บริษัทนี้จะส่งให้โตโยต้าเป็นหลัก และสวัสดิการพนักงานดี เงินเดือนดี ถ้าเทียบกับการทำงาน และ ยังได้เจอรุ่นพี่คนไทยที่ทำงานอยู่ที่บริษัทนี้และได้เปิดโอกาส พูดคุยเรื่องการเป็นอยู่และการทำงาน วันนี้ถือเป็นวันที่ได้รับแนวทางในการทำงานมากขึ้น
วันที่หก
ที่แรกที่เราไปวันนี้คือ EXPO 2005 AICHI Commemorative park และได้ไปเรียนรู้ธรรมชาติและชมป่าไม้ และได้ทำกิจกรรมหาของในบริเวณให้ตรงกับสีมี่กำหนดมาให้และใครที่หาของได้ตรงสีมากที่สุดก็จะชนะไป อากาศวันนั้นอบอ้าวออกร้อนๆหน่อยก็เดินเหงื่อตกกันไป 5555 และคนที่นี่รักษาธรรมชาติดีมากและจะมีคนนำชมป่าไม้และพวกเขาทำด้วยความสมัครใจและรักในธรรมชาติ และต่อมาเราไปที่ Ghibli park ซึ่งเป็นเจ้าของเดียวกับค่ายที่ทำอนิเมชั่นญี่ปุ่นดังๆอย่าง My Neighbor Totoro และ Howl’s Moving Castle และในการสร้างนั้นไม่ได้ตัดต้นไม้แม้แต่ต้นเดียวเพราะว่าที่นี่เน้นการอนุรักษณ์ธรรมชาติ พื้นที่ข้างในก็กว้างมาก แต่จุดสนใจจริงๆคือส่วนข้างใน จะเป็นที่ให้ถ่ายรูปต่างๆนาๆ และของฝาก และมีให้ดูอนิเมชั่นสั้น ในโรงและก็เป็นเรื่องเรียบง่าย ขอไม่สปอย หลักๆก็จะประมานนี้
วันสุดท้าย
พวกเราก็ได้ย้ายไปที่โรงแรมใกล้สนามบินเพื่อง่ายต่อการเดินทางและวันสุดท้ายแล้วเพิ่งจะสนิทกับเพื่อนๆที่ไปด้วยได้ไม่กี่วันก็แอบคิดถึงนะและนัดกันพอกลับไทยจะไปเที่ยวกัน วันนี้คือแทบไม่ได้นอนนั่งคุยกับเพื่อนจน ตีหนึ่ง ตีสอง และพอเรื่มง่วงเราก็แยกย้ายกัน นอนหลับตื่นมาก็เก็บข้างของทานข้าวเช้า และเดินไปสนามบินประมาน 10 นาทีก็ถึงเครื่องออกประมานบ่ายโมงระหว่างนั่งรอก็ไปเดินซื้อขนมกลับไปกินและฝากเพื่อนๆที่ไทยได้มาเยอะมากกก
สรุป
โครงการนี้อยากให้มีการจัดขึ้นอีกเพราะเหมือนเป็นการเปิดประสบการณ์ให้กับตัวเองได้เจอกับคนและสังคมที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนบกเลยว่าได้ทั้งความรู้ด้านวิชาการ และความรู้ทางด้านการใช้ชีวิตและอยู่ให้เป็น และยังได้เปิดหูเปิดตาเห็นสิ่งใหม่ๆเช่น ท่อระบายน้ำที่ญี่ปุ่นมีลวดลายที่แตกตากกันออกไปมองแล้วก็สวยดีนะและ ผมก็ถามรองผู้ว่าเกี่ยวกับการแก้ปัญหาเรื่องการน้ำท่วมเพราะใน กทม เวลาฝนตกหนักมากๆและน้ำท่วมเป็นปัญหามาก เขาก็แนะนำและบอกว่าภูมิศาสตร์ของเรากับเขานั้นแตกต่างกันและ การป้องกันไม่ให้น้ำท่วมคือต้องเริ่มจากประชาชนทุก
เพราะว่าเราต้องใช้ชีวิตออกจากอ้อมอกของพ่อแม่เหมือนเป็นหนึ่งในการเตรียมตัวในการเป็นผู้ใหญ่และทั้งนี้ขอขอบคุณทีมงานของ กทมด้วยครับ
อาจมีต่อ
[SR] รีวิวไปแลกเปลี่ยนโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชน กทม ไอจิ
ขอเล่าเรื่องเลยละกันนน
การสอบคัดเลือก
ทางกทมเขาจะให้คนที่มีทะเบียนบ้านและที่อยู่อยูใน กรุงเทพมหานครฯ จะเป็นคนอยู่จังหวัดอื่นก็ได้เหมือนตัวเราเอง อยู่ปทุมธานี แต่ทะเบียนบ้านอยู่ใน กรุงเทพฯ เลยได้มีสิทธิสอบ ขั้นแรกเขาจะให้สอบข้อเขียน ปีเราเป็นหัวข้อให้เขียนเรียงความไทยและอังกฤษ หัวข้อแต่ละปีก็จะแตกต่างกันไป และถ้าเราสามารถผ่านรอบข้อเขียนมาได้เขาจะเรียกเรามาสอบสัมภาษณ์เพื่อวัดระดับภาษาอังกฤษ, ทัศนคติ และ ความรู้รอบตัวเกี่ยวกับไอจิ ประมานนี้
ก่อนไปญี่ปุ่นทาง กทม ก็จะเรียกเราไปบรีฟก่อน ก็บอกรายละเอียดเราว่าควรทำตัวอย่างไร , จะไปทำอะไรบ้าง และ สิ่งของที่ควรเตรียม ประมานนี้
(ไปไม่มีค่าใช้จ่ายถึงมีก็เป็นของตัวเองเป็นส่วนใหญ่)
ขอเล่าตอนไปญี่ปุ่นเลยคร้าบบ
วันแรก
เครื่องจะออกจากสนามบินเวลา เที่ยงคืน แต่แนะนำให้ไปก่อนเวลาสัก 1-3 ชั่วโมงเผื่อลืมของจะได้กลับไปเอาทันและมีเวลาเตรียมตัวมากขึ้นและสิ่งที่ไม่ควรทำหาย!!!!! passport boarding pass หายไปนี่คือทำไรไม่ได้เก็บให้ดีดี และพอขึ้นเครื่องก็ให้พักผ่อนเยอะๆเพราะว่าต้องไป พบกับทางการของเมืองนาโกย่า และไป มหาวิทยาลัยนาโกย่าและแนะแนวต่างๆ เกี่ยวกับคณะและทุน ต่อมาเราก็ไปทำความเคารพและแนะนำตัวกับรองผู้ว่า
นาโกย่า และคุยปัญหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมกับแนวทางแก้ไข หลังจากนั้นก็กินข้าวเย็นและพักผ่อนที่โรงแรม Iris Aichi ถือว่าเป็นโรงแรมที่ดีเลย
วันที่สอง
วันนี้ก็จะสนุกหน่อย พอเริ่มวันก็ลงมาทานข้าวเช้าจะออกแนวตะวันตกหน่อย แต่ก็อร่อยดี และพอออกจากโรงแรม ก็ไปวัดนิกไทจิเป็นวัดที่ผสมพุทธแบบไทยของเราและมีพระธาตุของพระพุทธเจ้าอยู่ด้วย และต่อมาก็ไปถนน Osu และกินข้าวกับเด็กญี่ปุ่นแล้วเด็กญี่ปุ่นเป็นมิตรมากๆคุยง่ายแต่เขาอาจจะพูดอังกฤษไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่แต่เข้าใจได้ พอทานข้าวเสร็จเพื่อนชาวญี่ปุ่นจะพาเราไปเดินซื้อของในถนน Osu เขาก็แนะนำขนมและของ ต่างๆให้และละเอียดมากกก ถือว่าเอาใจใส่สุดๆ ต่อมาเราก็ไปทพโครงานเสนอวิธีการรักษาสิ่งแวดล้อมและนำเสนอ แต่กลุ่มที่เราทำงานด้วยจะเป็นคนละกลุ่มกับที่ไปด้วยกันตอนแรก และพอจะกลับไม่อยากแยกกันเลยย เพิ่งจะสนิทกัน แอบเศร้านิดๆ พอเสร็จทุกอย่างก็ไปกิน ชาบูญี่ปุ่น ก็ไม่ได้มีอะไรเว่อมาก แต่ก็ถือว่าอร่อยใช้ได้ กินเสร็จเราก็กลับมาพักผ่อนจบวันที่สอง
วันที่สาม
วันนี้จะเป็นวันที่ใช้ชีวิตกับ host ทั้งวันและเรียนรู้การเป็นอยู่ของครอบครัวชาวญี่ปุ่น และวันนี้ host จะมารับเราแต่เช้าและพาเราไปเที่ยวต่างๆนาๆ และดูแลเราเหมือนลูกคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ และทั้งนี้ยังพาเราไปเที่ยวหลายๆที่ และพอกลับมาบ้านก็นั่งเล่นไพ่ และ เกม กัน กับลูกของเขาสนุกสุดๆ ขนาดโวยวายกันเสียงดังจนโดนดุ 55555 ถึงเขาจะพูดอังกฤษ หรือ ไทย ไไท่ค่อยได้แต่ก็เข้าใจได้เพราะตัวเราเองฟังภาษาญี่ปุ่นพอรู้เรื่องแต่พูดไม่ค่อยได้ และ พิจะจากกะนก็คิดถึงแหละและถ้าเขาจะมาไทยเขาจะบอกเราและให้พาไปเทียวด้วยกัน และนี่ถือว่าเป็นโปรแกรมที่ดีเลย
วันที่สี่
เราก็ไปโรงเรียนมัธยม อิชิโนมิยะ ซึ่งอยู่ค่อนข้างห่างจากตัวเมืองแต่ก็ไม่ถึงขั้นชนบท แต่ละแวกนั้นก็น่าอยู่พอสมควรและอากาศดีมาก ต่อมาทางโรงเรียนก็ได้นำพาเราไปเดินชมโรงเรียนและสิ่งที่แปลกตาสำหรับคนไทยเรานั้นคือชุมนุมยิงธนูญี่ปุ่น ซึงไม่สามารถเห็นได้ง่ายๆในประเทศไทยเรา และการที่เข้าชั้นเรียนต้องเปลี่ยนรองเท้าเพื่อความสะอาดถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก และต่อมาเราก็ได้ไทำกิจกรรมร่วมกับนักเรียนญี่ปุ่นซึ่งสนุกมาๆ และคุยกันแลกเปลี่ยนเรื่องราวของบ้านเกิด และพอเราจะกลับนักเรียนญี่ปุ่นก็มาโบกมืออำลา ถือว่าวันนี้ได้ใช้เวลากับเพื่อนญี่ปุ่นน้อยมาก
วันที่ห้า
วันนี้เราไปรับฟังข้อมูลที่ United Nations Centre For National Development และได้บทสรุปประมานว่าโรงงานหลายๆแห่งในญี่ปุ่นเน้นการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมมากว่าผลกำไรมากมาย และจะอยู่กันเป็นองค์กรและให้นายทุนและบริษัทใหญๆมาสนใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ต่อมาเราก็ไปที่โตโยต้าไคคัน ซึ่งมีรถจากบริษัทโตโยต้ามากมายและมี การจำลองการขับรถอย่างปลอดภัย ล้ำมากก และรถคลาสสปอร์ตที่นี่ถูกกว่าไทยมาก ราคาจะประมาน 9ล้าน เยน ถ้าเทียบเป็นเงินไทยก็จะประมาณ 1.7 ล้านบาทซึ่งถือว่าถูก ต่อมาเราไปบริษัทซึ่งทางบริษัทก็พาชมการผลิตน็อตสำหรับรถยนต์และส่วนใหญ่บริษัทนี้จะส่งให้โตโยต้าเป็นหลัก และสวัสดิการพนักงานดี เงินเดือนดี ถ้าเทียบกับการทำงาน และ ยังได้เจอรุ่นพี่คนไทยที่ทำงานอยู่ที่บริษัทนี้และได้เปิดโอกาส พูดคุยเรื่องการเป็นอยู่และการทำงาน วันนี้ถือเป็นวันที่ได้รับแนวทางในการทำงานมากขึ้น
วันที่หก
ที่แรกที่เราไปวันนี้คือ EXPO 2005 AICHI Commemorative park และได้ไปเรียนรู้ธรรมชาติและชมป่าไม้ และได้ทำกิจกรรมหาของในบริเวณให้ตรงกับสีมี่กำหนดมาให้และใครที่หาของได้ตรงสีมากที่สุดก็จะชนะไป อากาศวันนั้นอบอ้าวออกร้อนๆหน่อยก็เดินเหงื่อตกกันไป 5555 และคนที่นี่รักษาธรรมชาติดีมากและจะมีคนนำชมป่าไม้และพวกเขาทำด้วยความสมัครใจและรักในธรรมชาติ และต่อมาเราไปที่ Ghibli park ซึ่งเป็นเจ้าของเดียวกับค่ายที่ทำอนิเมชั่นญี่ปุ่นดังๆอย่าง My Neighbor Totoro และ Howl’s Moving Castle และในการสร้างนั้นไม่ได้ตัดต้นไม้แม้แต่ต้นเดียวเพราะว่าที่นี่เน้นการอนุรักษณ์ธรรมชาติ พื้นที่ข้างในก็กว้างมาก แต่จุดสนใจจริงๆคือส่วนข้างใน จะเป็นที่ให้ถ่ายรูปต่างๆนาๆ และของฝาก และมีให้ดูอนิเมชั่นสั้น ในโรงและก็เป็นเรื่องเรียบง่าย ขอไม่สปอย หลักๆก็จะประมานนี้
วันสุดท้าย
พวกเราก็ได้ย้ายไปที่โรงแรมใกล้สนามบินเพื่อง่ายต่อการเดินทางและวันสุดท้ายแล้วเพิ่งจะสนิทกับเพื่อนๆที่ไปด้วยได้ไม่กี่วันก็แอบคิดถึงนะและนัดกันพอกลับไทยจะไปเที่ยวกัน วันนี้คือแทบไม่ได้นอนนั่งคุยกับเพื่อนจน ตีหนึ่ง ตีสอง และพอเรื่มง่วงเราก็แยกย้ายกัน นอนหลับตื่นมาก็เก็บข้างของทานข้าวเช้า และเดินไปสนามบินประมาน 10 นาทีก็ถึงเครื่องออกประมานบ่ายโมงระหว่างนั่งรอก็ไปเดินซื้อขนมกลับไปกินและฝากเพื่อนๆที่ไทยได้มาเยอะมากกก
สรุป
โครงการนี้อยากให้มีการจัดขึ้นอีกเพราะเหมือนเป็นการเปิดประสบการณ์ให้กับตัวเองได้เจอกับคนและสังคมที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนบกเลยว่าได้ทั้งความรู้ด้านวิชาการ และความรู้ทางด้านการใช้ชีวิตและอยู่ให้เป็น และยังได้เปิดหูเปิดตาเห็นสิ่งใหม่ๆเช่น ท่อระบายน้ำที่ญี่ปุ่นมีลวดลายที่แตกตากกันออกไปมองแล้วก็สวยดีนะและ ผมก็ถามรองผู้ว่าเกี่ยวกับการแก้ปัญหาเรื่องการน้ำท่วมเพราะใน กทม เวลาฝนตกหนักมากๆและน้ำท่วมเป็นปัญหามาก เขาก็แนะนำและบอกว่าภูมิศาสตร์ของเรากับเขานั้นแตกต่างกันและ การป้องกันไม่ให้น้ำท่วมคือต้องเริ่มจากประชาชนทุก
เพราะว่าเราต้องใช้ชีวิตออกจากอ้อมอกของพ่อแม่เหมือนเป็นหนึ่งในการเตรียมตัวในการเป็นผู้ใหญ่และทั้งนี้ขอขอบคุณทีมงานของ กทมด้วยครับ
อาจมีต่อ
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้