ชลัน
วันหยุดในรอบหลายเดือนที่อภิเชษฐ์กับพิมพ์ชนกได้มีเวลาอยู่บ้านกับลูกชายแบบเต็มที่ มีเวลาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันไม่ใช่เพียงแค่ในยามนอนและยามทานข้าวในมื้อเช้าเช่นทุกวัน
ในห้องนั่งเล่นของบ้านโซนฝั่งขวาซึ่งเป็นของลูกชายคนโตและสะใภ้ใหญ่ของบ้านวรโชติโภคิน วันนี้สามคนพ่อแม่ลูกอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ส่วนประมุขของบ้านอยู่กับพยาบาลประจำตัว หากมีเวลาคุณแพรทองมักจะใช้เวลาไปกับหลานชายคนโตซึ่งเป็นลูกของน้องชายมากกว่า ข้อนี้อภิเชษฐ์กับพิมพ์ชนกรู้ดี แต่ทั้งสองคิดว่าเพราะหลานชายไม่ปกติ คนเป็นย่าจึงทุ่มความสนใจไปให้มากกว่าลูกชายของตนที่ปกติ
น้องนิคกี้กำลังดูหนังสือเรียนอย่างตั้งใจผิดกับเด็กวัยเดียวกันที่ต้องการเล่นซุกซนมากกว่าทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ปลื้มใจไม่น้อยที่ลูกสนใจสื่อการเรียนมากว่าติดหน้าจอเครื่องมือสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์
"นิคกี้ครับ ตั้งใจเรียนนา แม่จะส่งให้ไปเรียนที่อังกฤษ นิคกี้อยากไปมั้ยครับ" พิมพ์ชนกถามคนเป็นลูกชายด้วยรอยยิ้ม
"แต่นิคกี้เรียนไม่เก่งเลย สู้อัยวาไม่ได้" น้องนิคกี้พูดถึงเพื่อนผู้หญิงในชั้นเรียนของตนเองที่เก่งกว่าใคร ๆ เป็นที่หนึ่งของห้อง
คนเป็นพ่อกับแม่ยิ้ม "นิคกี้ไม่ต้องเก่งกว่าใครในห้องก็ได้ครับ แค่ตั้งใจเรียน ตั้งใจทำทุกอย่างที่ลูกชอบให้เต็มที่และมีวินัยในตัวเองก็พอ เท่านี้ป๊าก็พอใจแล้ว" อภิเชษฐ์บอกกับลูกชาย เขาไม่ต้องการให้ลูกเป็นที่หนึ่ง แต่อยากให้ลูกใช้ชีวิตได้ในทุก ๆ สถานการณ์หากโตขึ้น เพราะ... เขาเห็นตัวอย่างจากคนใกล้ตัวแล้ว 'น้องชายของเขาเอง' ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ตามใจแต่จะไม่ประคบประหงมอย่างพ่อกับแม่ที่เลี้ยงน้องชายแน่ ๆ
"ลูกของเราพิมพ์ว่ามีแววฉลาดนะคะ สงสัยได้เชษฐ์มา" พิมพ์ชนกชมสามี
"พิมพ์ก็ชมผมเกินไป ได้พิมพ์มาต่างหาก อย่าลืมนะว่าตอนเรียน ผมต้องพึ่งพิมพ์ถึงจบมาได้" อภิเชษฐ์ก็ชมภรรยากลับ
"พิมพ์วางแผนว่าถ้าลูกโตกว่านี้สักหน่อยอยากส่งลูกไปเรียนที่อังกฤษ เชษฐ์ว่าไงคะ"
อภิเชษฐ์นิ่ง "ผมไม่อยากให้ลูกอยู่ห่างไกลเลย ผมคิดถึงลูกน่ะ ขนาดอยู่บ้านด้วยกันผมยังไม่มีเวลาให้ลูกเลย นี่จะส่งลูกไปอยู่ไกล ๆ นิคกี้ลืมหน้าพ่อพอดี" อภิเชษฐ์พูดเง้างอน "ลูกอยู่ใกล้พ่อกับแม่แหละดีที่สุดแล้ว พิมพ์รู้มั้ยว่าตอนผมเล็ก ๆ ป๊ากับแม่เอาแต่ทำงานไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน ผมตั้งใจเลยว่าถ้าผมมีครอบครัวมีลูกจะไม่ทำแบบนั้น แล้วดูสิ สุดท้ายผมก็เอาแต่ทำงานเหมือนกัน ลูกชายคนเดียวก็ปล่อยให้พิมพ์กับแม่บ้านเลี้ยง เจอลูกแค่ตอนเข้านอนกับตอนเช้า กลับมาลูกก็หลับแล้ว"
"พิมพ์เข้าใจเชษฐ์ สำหรับพิมพ์นะ ที่บ้านอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันกินข้าวด้วยกันทุกเย็น แต่เป็นแกงจืด ไข่เจียว ปลาทูทอด อาหารซ้ำ ๆ ราคาถูก เหนื่อยจากงานที่ได้เงินตอบแทนนิดเดียว พ่อแม่ลำบากกู้หนี้ยืมสินให้ลูกเรียนหนังสือ พิมพ์ก็คิดมาตั้งแต่เด็กแล้วเหมือนกันว่าจะไม่ยอมให้ลูกเจอเหมือนพิมพ์ ลูกต้องมีเงิน อยากได้อะไรก็ต้องได้"
ทั้งเขาและหล่อนขาดในบางสิ่งบางอย่างแล้วก็มาเติมเต็มให้กันและกัน เมื่อรวมกันเป็นครอบครัว
"อย่างน้อยครอบครัวพิมพ์ก็อบอุ่นนะ" คนเป็นสามีกล่าวยิ้ม ๆ
"อบอุ่นแต่ลำบาก มันก็ไม่สุขเท่าไหร่นะเชษฐ์" พิมพ์ชนกขยับเข้ามาใกล้ลูกชาย เพื่อดูลูกชายอ่านหนังสือ คำไหนที่ลูกสะกดไม่ได้หล่อนก็จะช่วยสอน เมื่อเปรียบเทียบกับคนอายุเพียงเจ็ดขวบกับการอ่านที่คล่องนับว่าเป็นเรื่องที่น่าทึ่งและยินดีมากสำหรับพ่อแม่ "ถ้าพิมพ์ไม่เจอเชษฐ์ป่านนี้พิมพ์อาจจะทำงานหาเช้ากินค่ำอยู่ก็ได้ หาเงินเดือนชนเดือน ต้องผ่อนข้าวของเครื่องใช้ เล่นแชร์ เปียแชร์ หมุนเงินเล่นหวย เสี่ยงโชคหวังรวย เหมือนที่แม่ของพิมพ์ทำเพื่อเลี้ยงลูกจนโตแน่ ๆ" หล่อนนึกถึงอดีตของตนเอง ยิ้มเล็ก ๆ ให้กับพ่อและแม่ถึงอย่างนั้นก็ขอบคุณพวกท่านเป็นอย่างสูงที่เลี้ยงมาจนมีวันนี้
"เรื่องเงินพิมพ์ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ถึงแม้ว่าเราจะหาเงินเข้ากงสี แต่ผมก็มีช่องทางเก็บส่วนตัวบ้าง ถึงคุณแม่จะไม่ให้เงินก้อนเรามา แต่อีกหน่อยเงินที่คุณแม่เก็บไว้ก็จะเป็นของเราอยู่ดี"
พิมพ์ชนกผละตัวออกจากลูกชายเงยหน้ามองคนเป็นสามีด้วยใบหน้าที่บ่งบอกถึงความกังวลใจเล็ก ๆ
"พิมพ์กลัวว่าคุณสิทธิ์จะขอไปจนหมดน่ะสิ เชษฐ์ยอมน้องชายมากไปนะ เราทำงานกันงก ๆ แต่คุณสิทธิ์แต่งตัวโก้ออกไปหาผู้ใหญ่คนนั้นคนนี้ มีแต่เรื่องเสียเงิน เวลาคุยทีก็เสียงดังคับบ้านว่ารู้จักคนใหญ่คนโต พิมพ์ฟังแล้วรำคาญ รู้จักแล้วยังไงเหรอ ผู้ใหญ่พวกนั้นเคยช่วยเหลืออะไรได้มั้ยล่ะ เวลาเงินขาดมือก็เห็นมาขอคุณแม่ทุกที คุณแม่ก็ลำเอียงรักแต่ลูกชายคนเล็ก ขออะไร พูดอะไรเชื่อไปหมด" เรื่องเงินทองเป็นเรื่องบาดใจจริง ๆ "นี่ก็กำลังจะได้เงินก้อนแล้วนี่ ประกันชีวิตส่งเช็คมาให้คุณแม่แล้ว"
"พิมพ์รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ" อภิเชษฐ์ถามภรรยา พิมพ์ชนกเคยบอกรู้แค่คร่าว ๆ เมื่อคราวภรรยาน้อยของคนเป็นพ่อมาเล่าให้ฟัง แต่เขาไม่คิดว่าภรรยาของตนจะรู้ลึกขนาดว่ารู้ว่าบริษัทประกันฯ ดำเนินการอะไรอย่างไรแล้วบ้าง
"เอ่อ... พิมพ์ก็ ก็เคยได้ยินมาบ้าง แหมเชษฐ์คะอยู่บ้านเดียวกันมีกันแค่นี้ เรื่องอะไร ๆ ก็รู้หมดแหละ เงินก้อนนั้นเชษฐ์ก็ลองขอคุณแม่บ้าง เชษฐ์ก็เป็นลูกคนหนึ่งมีสิทธิ์เท่า ๆ กัน อย่าให้ใครมาเอาเปรียบเรามากเกินไป" พิมพ์ชนกพูดและเลิกสนใจคนเป็นสามีหันมาใส่ใจลูกชายที่ดูหนังสือต่อ ปล่อยให้อภิเชษฐ์นั่งนิ่งราวกับคิดอะไรอยู่ไปคนเดียว
....
หนุ่มร่างสูงใหญ่สองคนนั่งขบคิดกันที่ห้องทำงานใต้ดินของสำนักงานนักสืบธารา หนุ่มแว่นหน้าฝรั่งนั่งเครียดเอาจริงเอาจัง ในขณะที่หนุ่มหล่อหน้าทะเล้นยังมีรอยยิ้มจาง ๆ ประดับใบหน้า
"พยาบาลอะไรขับรถสปอร์ต"
"เออ... ขับรถแพงกว่านายจ้างอีกนะเว้ย มือไม้ก็นุ่มนิ่มเหมือนคุณหนู ถึงผิวจะไม่ขาวจั๊วเหมือนคนไม่เคยโดนแดด แต่ก็ขาวเนียนละเอียดดีผุดผ่องมีราศี คือว่าง่าย ๆ ไม่ใช่คนที่ใช้ชีวิตสมบุกสมบันตรากตรำแน่ ๆ แล้วคนลักษณะดีขนาดนี้จะมาทำงานเป็นพยาบาลดูแลคนแก่ทำไม มันไม่เมกเซ้นส์เลย"
หนุ่มเนิร์ดผินหน้ามาจ้องมองเพื่อนอย่างจริงจัง ถามเสียงเป็นทางการว่า "แกรู้ได้ยังไงว่ามือไม้น้องเขานุ่มนิ่ม"
หนุ่มทะเล้นจ้องกลับด้วยอาการจริงจังไม่ต่างกัน น้ำเสียงเป็นทางการเหมือนกันว่า "จับแล้วก็เลยรู้"
"ไอ้หม้อเอ๊ย..." โจชัวร์โบกมือใหญ่เข้าที่ท้ายทอยเพื่อน
"อย่าหึงสิครับ แทนคุณก็แค่จูงน้องเขาข้ามถนนตามหน้าที่สุภาพบุรุษเอง" แทนคุณคว้ามือเพื่อนมากุมไว้ด้วยสองมือ โจชัวร์เลยใช้อีกมือที่เหลืออยู่เขกกระโหลกคนทะเล้นอีกโป๊ก
"เฮ้ย จะก่ออาชญากรรมให้ได้เลยใช่มั้ยไอ้อาชญากร สมองฉันบวมหมดแล้ว" แทนคุณโบกคืนไปบ้าง ก่อนจะล็อกคอเพื่อนลากลงจากเก้าอี้ที่นั่งและลากออกมาจากห้องใต้ดินแล้วออกมาจากสำนักงานนักสืบธารา ลากมายังร้านกาแฟที่อยู่ติด ๆ กับบริษัท ก่อนจะพูดขึ้นมาดื้อ ๆ ว่า "รอบนี้แกเลี้ยงนะ"
โจชัวร์ขยับแว่นเข้าที่ ไม่ต่อล้อต่อเถียงให้เสียกิริยามารยาทไปมากกว่านี้ ปล่อยให้เพื่อนสั่งกาแฟและขนมจนเสร็จเรียบร้อยและทรุดลงนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
"แกพอจะเจาะข้อมูลของน้องดาวได้มั้ย ลองตามดูจากประกาศรับสมัครพยาบาลที่แกเคยเปิดดูก็ได้"
"อืม ถ้าเจออีเมลก็ง่าย"
แทนคุณยิ้ม หรี่ตาลงอย่างล้อเลียน "อาชญากรอิเล็กทรอนิกส์อย่างแกแค่นี้กล้วย ๆ อยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ"
"ฟังแล้วไม่อยากช่วย" โจชัวร์ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบไม่แยแส
"ไม่ช่วยจะกระโดดขึ้นไปนั่งตักเจ้าของร้านกาแฟเลย... ลองดูมั้ยล่ะ"
โจชัวร์นิ่วหน้าแล้วสบถอะไรบางอย่างอยู่ในลำคอ รู้ว่าหมอนั่นกล้าทำแน่ ๆ ดังนั้นไม่มีประโยชน์ที่จะรอดูผลทดลองตามคำเชิญ "เดี๋ยวฉันจะจัดการให้"
"ต้องอย่างนี้สิเบบี๋ของแทนคุณ เอ๊ะ... หรือของวีนัสดีนะ" แทนคุณหัวเราะลั่นเมื่อเห็นเพื่อนทำท่าเหมือนเขาเป็นฆาตกรโรคจิตที่ลงมีดผ่าคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์สุดรักต่อหน้าต่อตา
"เมื่อวานลูกชายคนเล็กบ้านนั้นพาบ้านเล็กไปโรงพยาบาล พอออกจากโรงพยาบาลก็กลับบ้าน ฉันแฮกเข้าไปดูกล้องวงจรปิดซีซีทีวีในบ้านนั้นได้ช่วงหนึ่ง และประเมินจากภาพที่เห็นว่าบ้านเล็กกำลังท้อง" โจชัวร์ที่รับหน้าที่ติดตามสัญญาณจีพีเอสของรถในบ้านวรโชติโภคินทุกคันบอก คาดว่าแทนคุณคงรู้ข้อมูลเรื่องบ้านเล็กจากติ๊หน่ามาเรียบร้อยแล้ว
"แกเห็นอะไร" แม้จะตื่นเต้นกับข้อมูลที่ได้ยินแต่ก็มิวายทำสีหน้าเย้าแย่
"ฉันก็เห็นภาพผู้ชายลูบท้องผู้หญิงแล้วก้มหน้าลงพูดกับท้อง... ไม่ใช่ภาพลามกที่แกคิดไอ้หม้อ"
"แน่ใจ ไม่ใช่แอบแฮกเข้าไปบังคับทิศทางกล้องให้ส่องไปที่เตียงนอนเขานะ"
โจชัวร์ปรายตามองเพื่อนแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบพอ ๆ กับดวงตา "ฉันมีจรรยาบรรณพอ ไม่ได้ไปยุ่งกับทิศทางกล้องหรือขนาดภาพอย่าเอานิสัยตัวเองมาตัดสินคนอื่น"
แทนคุณหัวเราะร่วน "แล้วเห็นอะไรอีก"
"การ์ดเชิญไปงานประมูลเพชรวางอยู่บนโต๊ะ งานมีเสาร์หน้าหนึ่งทุ่มที่โรงแรมเจสัน เป็นปาร์ตี้สวมหน้ากาก"
"เด็ดเลย" นักสืบหนุ่มดีดนิ้ว ก่อนจะหรี่ตาลงอมยิ้มเจ้าเล่ห์ "การ์ดอยู่ที่ไหน ลักษณะเป็นยังไง"
"บนโต๊ะกลางโซฟา วางอยู่ข้างตุ๊กตากระต่ายสีฟ้ากับขวดนมเด็กที่เหลือนมอยู่เกือบครึ่งขวด" หนุ่มเนิร์ดตอบ พยายามอธิบายลักษณะแวดล้อมเผื่อจะมีประโยชน์กับงานของเพื่อน "การ์ดสีดำตัวหนังสือสีทองเด่น เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเอสี่พับตามยาว"
"อ่านชัดเจนแน่นอนหรือเปล่า สถานที่ไม่ผิดแน่นะ เดี๋ยวฉันไปผิดที่ล่ะยุ่งเลย"
"ไม่ผิด ฉันซูมอ่านแน่นอนแล้ว"
"นั่นแน่... จับได้แล้วพ่อคนมีจรรยาบรรณ ไหนว่าไม่ยุ่งกับทิศทางกล้องหรือขนาดภาพไง"
โจชัวร์ชทำหน้าเหมือนมีของเหม็นมาจ่อจมูก คิ้วเข้มขมวดแทบชนกันเมื่อรู้ตัวว่าเสียท่าเพื่อนเสียแล้ว "ไอ้... ไอ้..."
"ไอ้หล่อ ไอ้มีเสน่ห์ ไอ้เท่ทุกองศา ด่ามาเลยเพื่อน ด่ามา จะยินยอมรับทุกคำ"
"ไอ้หม้อเต็มตะกวด"
คำด่านั้นทำเอาแทนคุณถึงกับหัวเราะตัวงอ หน้าแดงก่ำไปหมด 'คิดได้ยังไง... หม้อเต็มตะกวด'
....
"ทำอะไรอยู่ครับ" เสียงทุ้มนุ่มที่เลอดาวคุ้นเคยและรอคอยที่จะได้ยินผ่านคลื่นโทรศัพท์ถามมาทันทีที่กดรับสาย
"กำลังเตรียมตัวจะกลับไปบ้านวรโชติโภคินค่ะ" เช้าตรู่ของวันจันทร์ที่หญิงสาวต้องเตรียมตัวกลับไปรับหน้าที่เป็นใครอีกคน จนกว่าภารกิจจะสำเร็จ
"งั้นดีเลย กลับพร้อมกัน ที่พี่คุณโทรมานี่ก็เพราะตั้งใจจะไปรับน้องดาวที่บ้าน"
"อุ้ยไม่เป็นไรค่ะ ดาวไปเองได้ พี่แทนคุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลาขับรถกลับไปกลับมา"
"ก็พี่อยากมีคนซ้อนท้ายไปเป็นเพื่อนนี่นา ไปด้วยกันดีกว่า เดี๋ยวพี่จัดเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ แล้วเราหาของอร่อย ๆ หน้าปากซอยบ้านน้องดาวกินกันอีกดีมั้ย"
"ดีค่ะ" เลอดาวยิ้มแก้มแดงเรื่อ หัวใจพองอย่างสาวน้อยแรกรัก แม้จะเป็นรักที่คงเป็นได้แค่ฝัน
"อีกชั่วโมงนึงเจอกันนะครับ"
"ค่ะ" หนึ่งชั่วโมงโมงยังพอมีเวลาให้หายใจหายคอและไปตามเวลานัดหมายได้สบาย ๆ อย่างน้อยก็มีเวลาร่ำลาคุณย่า ไม่ต้องวิ่งหน้าตั้งออกจากบ้านไม่ทันบอกกล่าวอย่างคราวก่อน แค่นี้หล่อนก็ทำให้คุณย่าหนักใจมากพอแล้ว
หญิงสาวคว้ากระเป๋าที่มีคนจัดข้าวของเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้วเดินเข้าไปในห้องพักผ่อนซึ่งคุณย่าชอบนั่งพักผ่อนยามว่าง หญิงชราที่มีใบหน้าอิ่มเอิบฉายแววใจดีเงยหน้ามองและยิ้มรับหลานรัก
"จะไปแล้วเหรอลูก"
"ค่ะคุณย่า" ร่างบางทรุดนั่งลงข้าง ๆ โอบเอวผู้เป็นย่าจากนั้นก็ซบหน้าลงกับต้นแขนนิ่ม
"ระวังตัวนะลูกนะ รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี ถ้าไม่ไหวก็ยอมแพ้แล้วถอยออกมาเพื่อก้าวไปข้างหน้าใหม่ ดีกว่าเราดันทุรังเพื่อก้าวเดินไปหาทางตัน"
สืบลับฉบับเลิฟ (9)
ชลัน
วันหยุดในรอบหลายเดือนที่อภิเชษฐ์กับพิมพ์ชนกได้มีเวลาอยู่บ้านกับลูกชายแบบเต็มที่ มีเวลาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันไม่ใช่เพียงแค่ในยามนอนและยามทานข้าวในมื้อเช้าเช่นทุกวัน
ในห้องนั่งเล่นของบ้านโซนฝั่งขวาซึ่งเป็นของลูกชายคนโตและสะใภ้ใหญ่ของบ้านวรโชติโภคิน วันนี้สามคนพ่อแม่ลูกอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ส่วนประมุขของบ้านอยู่กับพยาบาลประจำตัว หากมีเวลาคุณแพรทองมักจะใช้เวลาไปกับหลานชายคนโตซึ่งเป็นลูกของน้องชายมากกว่า ข้อนี้อภิเชษฐ์กับพิมพ์ชนกรู้ดี แต่ทั้งสองคิดว่าเพราะหลานชายไม่ปกติ คนเป็นย่าจึงทุ่มความสนใจไปให้มากกว่าลูกชายของตนที่ปกติ
น้องนิคกี้กำลังดูหนังสือเรียนอย่างตั้งใจผิดกับเด็กวัยเดียวกันที่ต้องการเล่นซุกซนมากกว่าทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ปลื้มใจไม่น้อยที่ลูกสนใจสื่อการเรียนมากว่าติดหน้าจอเครื่องมือสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์
"นิคกี้ครับ ตั้งใจเรียนนา แม่จะส่งให้ไปเรียนที่อังกฤษ นิคกี้อยากไปมั้ยครับ" พิมพ์ชนกถามคนเป็นลูกชายด้วยรอยยิ้ม
"แต่นิคกี้เรียนไม่เก่งเลย สู้อัยวาไม่ได้" น้องนิคกี้พูดถึงเพื่อนผู้หญิงในชั้นเรียนของตนเองที่เก่งกว่าใคร ๆ เป็นที่หนึ่งของห้อง
คนเป็นพ่อกับแม่ยิ้ม "นิคกี้ไม่ต้องเก่งกว่าใครในห้องก็ได้ครับ แค่ตั้งใจเรียน ตั้งใจทำทุกอย่างที่ลูกชอบให้เต็มที่และมีวินัยในตัวเองก็พอ เท่านี้ป๊าก็พอใจแล้ว" อภิเชษฐ์บอกกับลูกชาย เขาไม่ต้องการให้ลูกเป็นที่หนึ่ง แต่อยากให้ลูกใช้ชีวิตได้ในทุก ๆ สถานการณ์หากโตขึ้น เพราะ... เขาเห็นตัวอย่างจากคนใกล้ตัวแล้ว 'น้องชายของเขาเอง' ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ตามใจแต่จะไม่ประคบประหงมอย่างพ่อกับแม่ที่เลี้ยงน้องชายแน่ ๆ
"ลูกของเราพิมพ์ว่ามีแววฉลาดนะคะ สงสัยได้เชษฐ์มา" พิมพ์ชนกชมสามี
"พิมพ์ก็ชมผมเกินไป ได้พิมพ์มาต่างหาก อย่าลืมนะว่าตอนเรียน ผมต้องพึ่งพิมพ์ถึงจบมาได้" อภิเชษฐ์ก็ชมภรรยากลับ
"พิมพ์วางแผนว่าถ้าลูกโตกว่านี้สักหน่อยอยากส่งลูกไปเรียนที่อังกฤษ เชษฐ์ว่าไงคะ"
อภิเชษฐ์นิ่ง "ผมไม่อยากให้ลูกอยู่ห่างไกลเลย ผมคิดถึงลูกน่ะ ขนาดอยู่บ้านด้วยกันผมยังไม่มีเวลาให้ลูกเลย นี่จะส่งลูกไปอยู่ไกล ๆ นิคกี้ลืมหน้าพ่อพอดี" อภิเชษฐ์พูดเง้างอน "ลูกอยู่ใกล้พ่อกับแม่แหละดีที่สุดแล้ว พิมพ์รู้มั้ยว่าตอนผมเล็ก ๆ ป๊ากับแม่เอาแต่ทำงานไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน ผมตั้งใจเลยว่าถ้าผมมีครอบครัวมีลูกจะไม่ทำแบบนั้น แล้วดูสิ สุดท้ายผมก็เอาแต่ทำงานเหมือนกัน ลูกชายคนเดียวก็ปล่อยให้พิมพ์กับแม่บ้านเลี้ยง เจอลูกแค่ตอนเข้านอนกับตอนเช้า กลับมาลูกก็หลับแล้ว"
"พิมพ์เข้าใจเชษฐ์ สำหรับพิมพ์นะ ที่บ้านอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันกินข้าวด้วยกันทุกเย็น แต่เป็นแกงจืด ไข่เจียว ปลาทูทอด อาหารซ้ำ ๆ ราคาถูก เหนื่อยจากงานที่ได้เงินตอบแทนนิดเดียว พ่อแม่ลำบากกู้หนี้ยืมสินให้ลูกเรียนหนังสือ พิมพ์ก็คิดมาตั้งแต่เด็กแล้วเหมือนกันว่าจะไม่ยอมให้ลูกเจอเหมือนพิมพ์ ลูกต้องมีเงิน อยากได้อะไรก็ต้องได้"
ทั้งเขาและหล่อนขาดในบางสิ่งบางอย่างแล้วก็มาเติมเต็มให้กันและกัน เมื่อรวมกันเป็นครอบครัว
"อย่างน้อยครอบครัวพิมพ์ก็อบอุ่นนะ" คนเป็นสามีกล่าวยิ้ม ๆ
"อบอุ่นแต่ลำบาก มันก็ไม่สุขเท่าไหร่นะเชษฐ์" พิมพ์ชนกขยับเข้ามาใกล้ลูกชาย เพื่อดูลูกชายอ่านหนังสือ คำไหนที่ลูกสะกดไม่ได้หล่อนก็จะช่วยสอน เมื่อเปรียบเทียบกับคนอายุเพียงเจ็ดขวบกับการอ่านที่คล่องนับว่าเป็นเรื่องที่น่าทึ่งและยินดีมากสำหรับพ่อแม่ "ถ้าพิมพ์ไม่เจอเชษฐ์ป่านนี้พิมพ์อาจจะทำงานหาเช้ากินค่ำอยู่ก็ได้ หาเงินเดือนชนเดือน ต้องผ่อนข้าวของเครื่องใช้ เล่นแชร์ เปียแชร์ หมุนเงินเล่นหวย เสี่ยงโชคหวังรวย เหมือนที่แม่ของพิมพ์ทำเพื่อเลี้ยงลูกจนโตแน่ ๆ" หล่อนนึกถึงอดีตของตนเอง ยิ้มเล็ก ๆ ให้กับพ่อและแม่ถึงอย่างนั้นก็ขอบคุณพวกท่านเป็นอย่างสูงที่เลี้ยงมาจนมีวันนี้
"เรื่องเงินพิมพ์ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ถึงแม้ว่าเราจะหาเงินเข้ากงสี แต่ผมก็มีช่องทางเก็บส่วนตัวบ้าง ถึงคุณแม่จะไม่ให้เงินก้อนเรามา แต่อีกหน่อยเงินที่คุณแม่เก็บไว้ก็จะเป็นของเราอยู่ดี"
พิมพ์ชนกผละตัวออกจากลูกชายเงยหน้ามองคนเป็นสามีด้วยใบหน้าที่บ่งบอกถึงความกังวลใจเล็ก ๆ
"พิมพ์กลัวว่าคุณสิทธิ์จะขอไปจนหมดน่ะสิ เชษฐ์ยอมน้องชายมากไปนะ เราทำงานกันงก ๆ แต่คุณสิทธิ์แต่งตัวโก้ออกไปหาผู้ใหญ่คนนั้นคนนี้ มีแต่เรื่องเสียเงิน เวลาคุยทีก็เสียงดังคับบ้านว่ารู้จักคนใหญ่คนโต พิมพ์ฟังแล้วรำคาญ รู้จักแล้วยังไงเหรอ ผู้ใหญ่พวกนั้นเคยช่วยเหลืออะไรได้มั้ยล่ะ เวลาเงินขาดมือก็เห็นมาขอคุณแม่ทุกที คุณแม่ก็ลำเอียงรักแต่ลูกชายคนเล็ก ขออะไร พูดอะไรเชื่อไปหมด" เรื่องเงินทองเป็นเรื่องบาดใจจริง ๆ "นี่ก็กำลังจะได้เงินก้อนแล้วนี่ ประกันชีวิตส่งเช็คมาให้คุณแม่แล้ว"
"พิมพ์รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ" อภิเชษฐ์ถามภรรยา พิมพ์ชนกเคยบอกรู้แค่คร่าว ๆ เมื่อคราวภรรยาน้อยของคนเป็นพ่อมาเล่าให้ฟัง แต่เขาไม่คิดว่าภรรยาของตนจะรู้ลึกขนาดว่ารู้ว่าบริษัทประกันฯ ดำเนินการอะไรอย่างไรแล้วบ้าง
"เอ่อ... พิมพ์ก็ ก็เคยได้ยินมาบ้าง แหมเชษฐ์คะอยู่บ้านเดียวกันมีกันแค่นี้ เรื่องอะไร ๆ ก็รู้หมดแหละ เงินก้อนนั้นเชษฐ์ก็ลองขอคุณแม่บ้าง เชษฐ์ก็เป็นลูกคนหนึ่งมีสิทธิ์เท่า ๆ กัน อย่าให้ใครมาเอาเปรียบเรามากเกินไป" พิมพ์ชนกพูดและเลิกสนใจคนเป็นสามีหันมาใส่ใจลูกชายที่ดูหนังสือต่อ ปล่อยให้อภิเชษฐ์นั่งนิ่งราวกับคิดอะไรอยู่ไปคนเดียว
....
หนุ่มร่างสูงใหญ่สองคนนั่งขบคิดกันที่ห้องทำงานใต้ดินของสำนักงานนักสืบธารา หนุ่มแว่นหน้าฝรั่งนั่งเครียดเอาจริงเอาจัง ในขณะที่หนุ่มหล่อหน้าทะเล้นยังมีรอยยิ้มจาง ๆ ประดับใบหน้า
"พยาบาลอะไรขับรถสปอร์ต"
"เออ... ขับรถแพงกว่านายจ้างอีกนะเว้ย มือไม้ก็นุ่มนิ่มเหมือนคุณหนู ถึงผิวจะไม่ขาวจั๊วเหมือนคนไม่เคยโดนแดด แต่ก็ขาวเนียนละเอียดดีผุดผ่องมีราศี คือว่าง่าย ๆ ไม่ใช่คนที่ใช้ชีวิตสมบุกสมบันตรากตรำแน่ ๆ แล้วคนลักษณะดีขนาดนี้จะมาทำงานเป็นพยาบาลดูแลคนแก่ทำไม มันไม่เมกเซ้นส์เลย"
หนุ่มเนิร์ดผินหน้ามาจ้องมองเพื่อนอย่างจริงจัง ถามเสียงเป็นทางการว่า "แกรู้ได้ยังไงว่ามือไม้น้องเขานุ่มนิ่ม"
หนุ่มทะเล้นจ้องกลับด้วยอาการจริงจังไม่ต่างกัน น้ำเสียงเป็นทางการเหมือนกันว่า "จับแล้วก็เลยรู้"
"ไอ้หม้อเอ๊ย..." โจชัวร์โบกมือใหญ่เข้าที่ท้ายทอยเพื่อน
"อย่าหึงสิครับ แทนคุณก็แค่จูงน้องเขาข้ามถนนตามหน้าที่สุภาพบุรุษเอง" แทนคุณคว้ามือเพื่อนมากุมไว้ด้วยสองมือ โจชัวร์เลยใช้อีกมือที่เหลืออยู่เขกกระโหลกคนทะเล้นอีกโป๊ก
"เฮ้ย จะก่ออาชญากรรมให้ได้เลยใช่มั้ยไอ้อาชญากร สมองฉันบวมหมดแล้ว" แทนคุณโบกคืนไปบ้าง ก่อนจะล็อกคอเพื่อนลากลงจากเก้าอี้ที่นั่งและลากออกมาจากห้องใต้ดินแล้วออกมาจากสำนักงานนักสืบธารา ลากมายังร้านกาแฟที่อยู่ติด ๆ กับบริษัท ก่อนจะพูดขึ้นมาดื้อ ๆ ว่า "รอบนี้แกเลี้ยงนะ"
โจชัวร์ขยับแว่นเข้าที่ ไม่ต่อล้อต่อเถียงให้เสียกิริยามารยาทไปมากกว่านี้ ปล่อยให้เพื่อนสั่งกาแฟและขนมจนเสร็จเรียบร้อยและทรุดลงนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
"แกพอจะเจาะข้อมูลของน้องดาวได้มั้ย ลองตามดูจากประกาศรับสมัครพยาบาลที่แกเคยเปิดดูก็ได้"
"อืม ถ้าเจออีเมลก็ง่าย"
แทนคุณยิ้ม หรี่ตาลงอย่างล้อเลียน "อาชญากรอิเล็กทรอนิกส์อย่างแกแค่นี้กล้วย ๆ อยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ"
"ฟังแล้วไม่อยากช่วย" โจชัวร์ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบไม่แยแส
"ไม่ช่วยจะกระโดดขึ้นไปนั่งตักเจ้าของร้านกาแฟเลย... ลองดูมั้ยล่ะ"
โจชัวร์นิ่วหน้าแล้วสบถอะไรบางอย่างอยู่ในลำคอ รู้ว่าหมอนั่นกล้าทำแน่ ๆ ดังนั้นไม่มีประโยชน์ที่จะรอดูผลทดลองตามคำเชิญ "เดี๋ยวฉันจะจัดการให้"
"ต้องอย่างนี้สิเบบี๋ของแทนคุณ เอ๊ะ... หรือของวีนัสดีนะ" แทนคุณหัวเราะลั่นเมื่อเห็นเพื่อนทำท่าเหมือนเขาเป็นฆาตกรโรคจิตที่ลงมีดผ่าคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์สุดรักต่อหน้าต่อตา
"เมื่อวานลูกชายคนเล็กบ้านนั้นพาบ้านเล็กไปโรงพยาบาล พอออกจากโรงพยาบาลก็กลับบ้าน ฉันแฮกเข้าไปดูกล้องวงจรปิดซีซีทีวีในบ้านนั้นได้ช่วงหนึ่ง และประเมินจากภาพที่เห็นว่าบ้านเล็กกำลังท้อง" โจชัวร์ที่รับหน้าที่ติดตามสัญญาณจีพีเอสของรถในบ้านวรโชติโภคินทุกคันบอก คาดว่าแทนคุณคงรู้ข้อมูลเรื่องบ้านเล็กจากติ๊หน่ามาเรียบร้อยแล้ว
"แกเห็นอะไร" แม้จะตื่นเต้นกับข้อมูลที่ได้ยินแต่ก็มิวายทำสีหน้าเย้าแย่
"ฉันก็เห็นภาพผู้ชายลูบท้องผู้หญิงแล้วก้มหน้าลงพูดกับท้อง... ไม่ใช่ภาพลามกที่แกคิดไอ้หม้อ"
"แน่ใจ ไม่ใช่แอบแฮกเข้าไปบังคับทิศทางกล้องให้ส่องไปที่เตียงนอนเขานะ"
โจชัวร์ปรายตามองเพื่อนแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบพอ ๆ กับดวงตา "ฉันมีจรรยาบรรณพอ ไม่ได้ไปยุ่งกับทิศทางกล้องหรือขนาดภาพอย่าเอานิสัยตัวเองมาตัดสินคนอื่น"
แทนคุณหัวเราะร่วน "แล้วเห็นอะไรอีก"
"การ์ดเชิญไปงานประมูลเพชรวางอยู่บนโต๊ะ งานมีเสาร์หน้าหนึ่งทุ่มที่โรงแรมเจสัน เป็นปาร์ตี้สวมหน้ากาก"
"เด็ดเลย" นักสืบหนุ่มดีดนิ้ว ก่อนจะหรี่ตาลงอมยิ้มเจ้าเล่ห์ "การ์ดอยู่ที่ไหน ลักษณะเป็นยังไง"
"บนโต๊ะกลางโซฟา วางอยู่ข้างตุ๊กตากระต่ายสีฟ้ากับขวดนมเด็กที่เหลือนมอยู่เกือบครึ่งขวด" หนุ่มเนิร์ดตอบ พยายามอธิบายลักษณะแวดล้อมเผื่อจะมีประโยชน์กับงานของเพื่อน "การ์ดสีดำตัวหนังสือสีทองเด่น เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเอสี่พับตามยาว"
"อ่านชัดเจนแน่นอนหรือเปล่า สถานที่ไม่ผิดแน่นะ เดี๋ยวฉันไปผิดที่ล่ะยุ่งเลย"
"ไม่ผิด ฉันซูมอ่านแน่นอนแล้ว"
"นั่นแน่... จับได้แล้วพ่อคนมีจรรยาบรรณ ไหนว่าไม่ยุ่งกับทิศทางกล้องหรือขนาดภาพไง"
โจชัวร์ชทำหน้าเหมือนมีของเหม็นมาจ่อจมูก คิ้วเข้มขมวดแทบชนกันเมื่อรู้ตัวว่าเสียท่าเพื่อนเสียแล้ว "ไอ้... ไอ้..."
"ไอ้หล่อ ไอ้มีเสน่ห์ ไอ้เท่ทุกองศา ด่ามาเลยเพื่อน ด่ามา จะยินยอมรับทุกคำ"
"ไอ้หม้อเต็มตะกวด"
คำด่านั้นทำเอาแทนคุณถึงกับหัวเราะตัวงอ หน้าแดงก่ำไปหมด 'คิดได้ยังไง... หม้อเต็มตะกวด'
....
"ทำอะไรอยู่ครับ" เสียงทุ้มนุ่มที่เลอดาวคุ้นเคยและรอคอยที่จะได้ยินผ่านคลื่นโทรศัพท์ถามมาทันทีที่กดรับสาย
"กำลังเตรียมตัวจะกลับไปบ้านวรโชติโภคินค่ะ" เช้าตรู่ของวันจันทร์ที่หญิงสาวต้องเตรียมตัวกลับไปรับหน้าที่เป็นใครอีกคน จนกว่าภารกิจจะสำเร็จ
"งั้นดีเลย กลับพร้อมกัน ที่พี่คุณโทรมานี่ก็เพราะตั้งใจจะไปรับน้องดาวที่บ้าน"
"อุ้ยไม่เป็นไรค่ะ ดาวไปเองได้ พี่แทนคุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลาขับรถกลับไปกลับมา"
"ก็พี่อยากมีคนซ้อนท้ายไปเป็นเพื่อนนี่นา ไปด้วยกันดีกว่า เดี๋ยวพี่จัดเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ แล้วเราหาของอร่อย ๆ หน้าปากซอยบ้านน้องดาวกินกันอีกดีมั้ย"
"ดีค่ะ" เลอดาวยิ้มแก้มแดงเรื่อ หัวใจพองอย่างสาวน้อยแรกรัก แม้จะเป็นรักที่คงเป็นได้แค่ฝัน
"อีกชั่วโมงนึงเจอกันนะครับ"
"ค่ะ" หนึ่งชั่วโมงโมงยังพอมีเวลาให้หายใจหายคอและไปตามเวลานัดหมายได้สบาย ๆ อย่างน้อยก็มีเวลาร่ำลาคุณย่า ไม่ต้องวิ่งหน้าตั้งออกจากบ้านไม่ทันบอกกล่าวอย่างคราวก่อน แค่นี้หล่อนก็ทำให้คุณย่าหนักใจมากพอแล้ว
หญิงสาวคว้ากระเป๋าที่มีคนจัดข้าวของเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้วเดินเข้าไปในห้องพักผ่อนซึ่งคุณย่าชอบนั่งพักผ่อนยามว่าง หญิงชราที่มีใบหน้าอิ่มเอิบฉายแววใจดีเงยหน้ามองและยิ้มรับหลานรัก
"จะไปแล้วเหรอลูก"
"ค่ะคุณย่า" ร่างบางทรุดนั่งลงข้าง ๆ โอบเอวผู้เป็นย่าจากนั้นก็ซบหน้าลงกับต้นแขนนิ่ม
"ระวังตัวนะลูกนะ รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี ถ้าไม่ไหวก็ยอมแพ้แล้วถอยออกมาเพื่อก้าวไปข้างหน้าใหม่ ดีกว่าเราดันทุรังเพื่อก้าวเดินไปหาทางตัน"