เราอกตัญญูรึป่าว?

เมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว เรายอมทิ้งกิจการของตัวเองมาเริ่มต้นใหม่ที่บ้านเกิดที่ ตจว.เพราะแม่เข้า รพ. เลยอยากจะดูแลใกล้ชิด แต่พอกลับมาไม่นานน้องชายกับน้องสะใภ้ก็แยกทางกัน โดยน้องชายอยู่กทม. น้องสะใภ้อยู่ ตปท. แต่หลาน ๆ ทั้งสองคนที่อยู่ในการดูแลของแม่ เลยตกมาเป็นภาระของเราไปโดยปริยาย
 
แรก ๆ เราก็โลกสวย เอาน่ะ เราทำได้ ในเมื่อความรับผิดชอบนี้มันไม่มีใครรับ มันก็ต้องเป็นเรานี่แหละที่จะต้องทำ
แต่เด็กป.5 ที่เห็นตู้เสื้อผ้าของแม่ที่ว่างเปล่าเพราะหนีหนี้ไปมันเปลี่ยนโลกของเค้าไปตลอดกาล
หลานคนโตเริ่มเกเร แต่ก็ยังพอประคองกันไปได้ แต่ก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเราที่ต้องคอยดูแลให้อยู่กับร่องกับรอย อยู่ในกฏระเบียบ (กลับบ้านไม่เกิน 2 ทุ่ม อันนี้ตจว.นะ รร.กับบ้านห่างกันประมาณ 7 กม. กับทำงานบ้าน 1 อย่าง ซึ่งหลานก็เลือกกรอกน้ำซึ่งเป็นงานเบา)

พอเข้า ม. 1 แม่ที่หนีไปตปท. เริ่มมีเงิน และแอบส่งเงินมาให้ลูกโดยสอนให้ลูกโกหกเรา จากที่พอจะประคองกันไปได้ ก็เริ่มมีการต่อต้านที่รุนแรงขึ้น แถมทุกครั้งที่เราสั่งสอนหลาน แม่จะมองเห็นแค่เราทะเลาะกับหลานเท่านั้น จนวันนึงเราแอบได้ยินแม่กับน้องชายนินทาถึงเรา ว่าเยอะ กฏระเบียบเยอะแยะ (กลับบ้านไม่เกิน 2 ทุ่ม กับทำงานบ้าน 1 อย่างนี่นะ) ที่สำคัญคือแม่เราก็ประสมโรงไปกับน้องด้วย 

หมดเลยนะ ที่ทำมาทุกอย่าง ทำเอาหมดแรงไปเลย

เราเลยโพล่งออกไปว่า “ถ้างั้นก็มาดูเองสิ” แล้วค่อย ๆ ถอยห่างจากที่บ้านออกมาโดยกลับบ้านสัปดาห์ละ 3 วัน แต่ถึงอย่างนั้นน้องชายก็ยังใช้ชีวิตลั้ลลาราวกับหนุ่มโสดที่ไม่มีภาระใด ๆ 

และหลานก็ลั้ลลากลับบ้านตี 3 ตี 4 จนถึงขั้นไม่กลับบ้าน แม่เราที่เคยตามใจมาตลอดก็ถึงขั้นสติแตก ระเบิดลงบ้านลูกใหญ่ เช้าวันต่อมาหลานหนีออกจากบ้านไป โดยมีอดีตน้องสะใภ้คอยประสานงานหาที่อยู่ให้ใหม่ สรุปจบลงด้วยดี หลานมีที่อยู่ ที่กิน มีเงินใช้ไม่ขาดมือ แม่ก็สบายใจ

ไม่ถึงเดือนครูประจำชั้นมาหาที่บ้านว่าหลานพาเพื่อนผู้หญิงไปมีอะไรกันในห้องเช่า จนพ่อแม่เด็กผู้หญิงเค้าจะเอาเรื่อง (เด็กอยู่ ม.3 ด้วยกันทั้งคู่) ญาติฝั่งน้องสะใภ้เอาหลานกลับมาส่งคืนให้ที่บ้านแทบไม่ทัน และหลังจากนั้นไม่นานแม่เราก็เข้ารพ.อีก ครั้งนี้หนักมาก

เราที่ไม่เข็ดหลาบก็ทิ้งทุกอย่าง (อีกแล้ว) เพื่อกลับไปดูแลแม่ และพ่วงภาระหลาน 2 คนมาไว้ด้วย

เราตามจนหลานเรียนจบม. 3 แล้วถามว่าจะเรียนต่อไหม ถ้าไม่เรียนให้ไปอยู่กับตายาย แต่ถ้าจะอยู่บ้านนี้ต้องเรียนต่อ จะเรียนอะไร สาขาไหน ได้ทั้งหมด ไม่บังคับ

สรุปว่าหลานเรียนต่อ ม.ปลาย เราก็ออกรถมอไซค์ให้ใหม่เป็นแบบไม่มีเกียร์ เพื่อลดโอกาสในการออกไปแว้น ฟีโน่แดงมันจะไปแข่งได้ยังไง

ระหว่างนี้เราก็ยังต้องสู้รบกับกฏระเบียบกันต่อไป จากที่เคยกลับบ้านตี 3 ตี 4 ก็ค่อย ๆ ร่นเวลาลงมาเหลือ 3 ทุ่ม

ทุกวันเราเหนื่อยมากกับการทำงานบ้าน ซักรีดเสื้อผ้าของหลานสองคน ทำกับข้าว 2 รอบ เพราะแม่ต้องกินรสจืด และของหลานที่ทั้งสองคนก็กินไม่เหมือนกัน แล้วเสาร์อาทิตย์ยังต้องทำงานเพื่อส่งรถมอไซค์ 2 คันของหลาน ๆ อีก

แต่แล้ววันสงกรานต์ที่เรารู้อยู่แล้วว่าหลานจะต้องไปเที่ยวกลางคืนแน่ ๆ เราใจเย็นมาก ๆ เพราะสิ่งที่เราต้องการคืออยากให้หลานสื่อสารและพูดจากันดี ๆ กลับดึกวันแรก อ่ะค่อย ๆ คุย แต่ต้องมีการลงโทษเพราะกลับผิดเวลาจากที่บอกไว้ว่า 5 ทุ่ม เป็นกลับตี 3 ก็ยอมรับการลงโทษแต่โดยดี โดยการยึดรถ 2 วัน แต่หลานก็ออกไปเที่ยวได้อยู่ดี อ่ะ เราก็หยวนถ้ากลับ 3 ทุ่มตรงเวลา

อีก 3 วันต่อมาก็กลับดึกอีก คราวนี้ไม่มีการบอกกล่าวกันใด ๆ ปิดเครื่องหนีไปเลย
พอกลับมายังไม่ทันจะอะไรก็มาฟาดงวงฟาดงา ด่าทอ บอกว่าเกลียดเรา ด่าเราว่าปัญญาอ่อน คือเราเจ็บจนชินอ่ะกับคำพูดพวกนี้ แต่ที่เจ็บยิ่งกว่าคือแม่เราหาว่าเราทะเลาะกับหลาน และบอกให้หลานมาขอโทษเราซะให้มันจบ ๆ ไป เห๋ย!

วันต่อมาเราได้ยินว่าแม่โทรฟ้องน้องชายและบอกว่าเราอ่ะผิด หาว่าเราจะฆ่าหลานตาย หาว่าเราทำร้ายร่างกายหลาน 

แต่เรายังไม่เข็ดนะ เราถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างเรากับหลาน เรายังอยากเป็นจุดยืนให้กับอนาคตของหลานมากกว่า เราก็ปล่อยเรื่องนี้ไป และคิดว่า เอาน่า ทนเอาหน่อย อีกแค่ 3 ปี

แต่แล้วฟางเส้นสุดท้ายก็มาถึง เมื่อหลานกลับบ้านผิดเวลาอีกแล้วโดยไม่มีการบอกกล่าวกันล่วงหน้า เราพยายามใจเย็น และพูดจากันดี ๆ แต่เด็กก็คือเด็กที่รู้ว่าทำผิดแล้วอยากจะเอาตัวรอดด้วยการทำตัวแย่ ๆ ใส่ “กูเกลียด กูเบื่อ ทำเป็นคนดี ปัญญาอ่อน”  คำพวกนี้เราอ่ะชินแล้ว แต่ที่เราไม่ชินคือการที่แม่เรานั่งฟังเฉย ๆ โดยที่ไม่ได้ห้ามปราม หรือสั่งสอนหลานเลย ตรงกันข้ามแม่หาว่าเราใจร้อน ใช้อารมณ์ เอ่อ…เราก็คนธรรมดาคนนึง ได้ยินเด็กด่าหยาบคาย ขึ้นกู ถ้ายังเย็นอยู่ได้เราคงบรรลุแล้ว

แล้วมันจะต้องมีเหตุการณ์แบบนี้อีกกี่ครั้ง ตลอด 7 ปีมานี้ แม่ไม่เคยสอนให้หลานเชื่อฟังเรา แม่ไม่เคยสอนให้หลานขอโทษเราเมื่อทำผิด มีแต่เราที่คอยสอนและพาหลานไปขอโทษแม่ เวลาแม่ระเบิดลง ทั้งที่หลายครั้งไม่ใช่ความผิดหลานด้วยซ้ำ แต่เราก็ยังสอนให้หลานรู้จักขอโทษ รู้จักบุญคุณที่ย่าเลี้ยงดูมา 
ตลอด 7 ปี ที่ไม่มีใครในบ้านจำวันเกิดเราได้ เราจัดวันเกิด อบเค้กให้ทุกคน แต่เรากลับได้คำอวยพรจากคนอื่นในเฟซบุ๊ค(ขอบคุณทุกคนมาก ๆ เลย) ทุกครั้งที่คนในบ้านเจ็บป่วยก็ไม่พ้นเราที่คอยดูแล คอยเฝ้า คอยเช็ดตัวให้ แต่เวลาที่เราป่วยเรากลับต้องขับรถพาตัวเองไปรพ. แอดมิดเอง รักษาตัวเองจนหาย แล้วค่อยขับรถกลับบ้าน

เราพอแล้ว ความอดทนเรามีไม่มากพอ มันเป็นอารมณ์ชั่ววูบเลยแหละที่โพล่งออกไปว่า “งั้นป้าไปเอง” เราเก็บของเดี๋ยวนั้นเลย และขอยืมรถแม่เพื่อขนของออกมา และบอกว่าสิ้นเดือนจะเอาไปคืน

“แม่…ไปแล้วนะ เดี๋ยวสิ้นเดือนมา”

ไม่มีคำใดตอบกลับมา ไม่มีแม้แต่การชำเลืองมอง
เค้าคงไม่ได้ต้องการเราจริง ๆ เรามันยิ้มเองตั้งแต่แรก

เช้านี้เราดูแม่นั่งกินข้าวผ่านกล้องวงจรปิด แล้วก็นึกสงสัยขึ้นมาว่า…เราอกตัญญูรึป่าว
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ครอบครัว ปัญหาครอบครัว
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่