หนังเปิดเรื่องในปัจจุบัน นักเรียน 3 คน พบกับกล่องเทปวิดีโอที่เมื่อก่อนเป็นของคุณตาคนหนึ่งของพวกเขา
ขณะที่ทั้งหมดเปิดวีดีโอนั้นดูโดยคิดว่าเป็นสื่อลามก พวกเขากลับพบว่าเนื้อหาของวิดีโอดังกล่าวเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง
ที่กำลังสอนวิชาคณิตศาสตร์ด้วยวิธีที่สามารถเข้าใจได้โดยง่าย
ทั้ง 3 ตัดสินใจตามหาคนที่อยู่ในวีดีโอ เพื่อหวังว่าจะได้ไปเรียนด้วย จะได้เป็นการลดค่าใช้จ่ายในการติวแสนแพง
ที่ทำให้พ่อแม่ของพวกเขาต้องเดือนร้อน ...จนกระทั่งพวกเขาทราบว่า คนที่พวกเขาตามหาคือ Balamurugan
เขาคนนี้คือครูวิชาคณิตศาสตร์ที่เข้าไปพัวพันกับความวุ่นวายของการปฏิรูปการศึกษาในยุค 90 ...
จากนั้นเหตุการณ์ย้อนหลังไปยังปี 1993 Balamurugan ครูฝึกหัดของสถาบันการศึกษา Thirupathi
ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นครูประจำที่โรงเรียนรัฐบาลใน Sozhavaram หมู่บ้านเล็กๆ ที่ชายแดนรัฐทมิฬนาฑู
สาเหตุมาจากที่ Srinivasa หัวหน้าสถาบันการศึกษา Thirupathi และนายกสมาคมโรงเรียนเอกชนได้เสนอ 'ความช่วยเหลือ'
ให้กับโรงเรียนรัฐบาลที่ล้มเหลว โดยตกลงที่จะส่งครูบางส่วนจากโรงเรียนเอกชนไปยังโรงเรียนของรัฐเพื่อให้ความช่วยเหลือ
แต่แท้จริงแล้ว Srinivasa จงใจส่งครูฝึกหัดเหล่านี้ไปเพื่อผลประโยชน์ทางการเงินเท่านั้น
โดยหวังให้ภาครัฐเลิกกฎหมายควบคุมค่าธรรมเนียมของโรงเรียน เขาส่งครูฝึกหัดจำนวนมากไปโรงเรียนรัฐบาล
ซึ่งไม่ได้หวังอะไรเลยกับการให้การศึกษาเด็กๆ หากโรงเรียนรัฐไม่มีเด็กคะแนนดี ..
บรรดาพ่อแม่ก็ย่อมต้องอยากให้ลูกๆ เข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนในเครือของ Thirupathi แทน นั่นล่ะคือเป้าหมายที่ Srinivasa ต้องการ
หากแต่สำหรับ Balamurugan ครูหนุ่มที่มีอุดมการณ์อันแรงกล้าในการสอนหนังสือ
เขาไม่เคยทราบจุดประสงค์ที่แท้จริงของ Srinivasa ..ชายหนุ่มมองเพียงว่านี่เป็นโอกาสที่จะพิสูจน์ตัวเองและสร้างความก้าวหน้าให้กับชีวิต
อย่างไรก็ตามโรงเรียนที่ Sozhavaram ไม่เป็นแบบที่เขาตั้งใจ เพราะเด็กๆ ไม่ได้ไปโรงเรียน
แทบทุกคนมีฐานะยากจนต้องช่วยพ่อแม่ทำงานเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว
แต่ Balamurugan ไม่ย่อท้อ เขาพยายามชักจูงใจให้ทุกคนในหมู่บ้านเห็นถึงคุณค่าการศึกษา จนเด็กๆทุกคนมาเรียนหนังสือ
Balamurugan จะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็กๆ ในหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ด้วยการศึกษาที่เขาตั้งใจไว้ได้หรือไม่
และเขาจะสู้กับอิทธิพลของ Srinivasa ที่มีต่อวงการศึกษาได้อย่างไร
ทุกอย่างดูเป็นเรื่องที่เกินสองมือของครูหนุ่มที่จะจัดการแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว....
Vaathi นำเสนอให้เห็นถึงเรื่องราวหลังจากที่อินเดียได้รับเอกราชจากการปกครองอาณานิคมของอังกฤษ
การศึกษาได้แบ่งแยกเด็กๆ คนที่มีเงินได้รับการศึกษา ส่วนคนที่ฐานะด้อยกว่าทั้งทางภูมิหลังทางสังคมและเศรษฐกิจกลับไม่มีโอกาสนั้น
เด็กส่วนใหญ่ที่ฐานะยากจนต่างต้องกัดฟันทำงานช่วยพ่อแม่ทำมาหาเลี้ยงครอบครัว...
ประเทศอินเดียนั้น ได้เร่งกระตุ้นให้เยาวชนอ่านออกเขียนได้มาโดยตลอดครับ
ซึ่งการพัฒนาระบบการศึกษาของอินเดียถือเป็นหัวใจสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาชาติ
แต่ถึงแม้สัดส่วนการเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาของประชากรอินเดียนั้นได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทศวรรษที่ผ่านมา
หากทว่าถ้าเทียบกับบรรดาชาติอื่นๆ ที่พัฒนาแล้ว อินเดียยังถือว่าห่างไกล...
ในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา อินเดียเป็นประเทศที่มีระบบโรงเรียนเอกชนขนาดใหญ่
พบว่านักเรียน 29% ที่อายุ 6 ถึง 14 ปี ศึกษาในโรงเรียนเอกชน
ตลาดการศึกษาเอกชนในประเทศอินเดียมีรายได้อยู่ที่ 450 ล้านดอลล่าร์สหรัฐในปี 2008 แน่นอนว่าการแข่งขันสูงมาก
และพ่อแม่ก็ยอมเสียเงินมากมายเพื่อให้ลูกๆ ได้เรียนในสถานศึกษาเหล่านั้น
พอคนเรียนเอกชนกันมาก โรงเรียนรัฐจึงกลายเป็นเหมือนทางเลือกที่ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจ...
Vaathi เลยเป็นเหมือนภาพยนตร์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของโอกาสในการศึกษา
คนมีเงินเท่านั้นหรือ จึงจะมีโอกาสได้เข้าถึง เด็กๆทุกคนควรได้มีสิทธิที่จะเรียนสิ นี่คือสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อถึงเรา
ผมชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วคิดถึงมังงะเรื่องนึงเมื่อนานมาแล้วชื่อเรื่องว่า GTO : GREAT TEACHER ONIZUKA
Balamurugan ครูตัวเอกของเรื่องมีความคล้ายคลึงกับ โอนิซึกะ ใน GTO มากเลยทีเดียวครับ
ที่มีเป้าหมายหวังจะช่วยเด็กๆ เหมือนกัน อาจจะต่างกันนิดหน่อยเรื่องของความรู้ความสามารถ
แต่สุดท้ายเด็กๆทุกคน ก็ยอมรับและรักในครูทั้งสองอย่างสุดหัวใจเช่นกัน
ภาพยนตร์ทมิฬมีจุดเด่นสำคัญคือการกล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เอาประเด็นทางสังคมที่กำลังมีปัญหา มาตีแผ่ให้ได้รับรู้
ซึ่งทำให้วงการหนังของเค้าพัฒนาไปมาก เวลาเล่นก็เล่นกันแรงครับไล่ตั้งแต่ระดับการเมืองท้องถิ่นไปจนถึงรัฐบาลเลยทีเดียว
หากใครยังไม่เคยดูหนังอินเดีย ลองเปิดใจดูนะครับ แล้วคุณจะติดงอมแงมเหมือนผมเลยล่ะ ^^
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== Vaathi (2023) ..แด่คุณครู..ด้วยหัวใจ... ==
หนังเปิดเรื่องในปัจจุบัน นักเรียน 3 คน พบกับกล่องเทปวิดีโอที่เมื่อก่อนเป็นของคุณตาคนหนึ่งของพวกเขา
ขณะที่ทั้งหมดเปิดวีดีโอนั้นดูโดยคิดว่าเป็นสื่อลามก พวกเขากลับพบว่าเนื้อหาของวิดีโอดังกล่าวเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง
ที่กำลังสอนวิชาคณิตศาสตร์ด้วยวิธีที่สามารถเข้าใจได้โดยง่าย
ทั้ง 3 ตัดสินใจตามหาคนที่อยู่ในวีดีโอ เพื่อหวังว่าจะได้ไปเรียนด้วย จะได้เป็นการลดค่าใช้จ่ายในการติวแสนแพง
ที่ทำให้พ่อแม่ของพวกเขาต้องเดือนร้อน ...จนกระทั่งพวกเขาทราบว่า คนที่พวกเขาตามหาคือ Balamurugan
เขาคนนี้คือครูวิชาคณิตศาสตร์ที่เข้าไปพัวพันกับความวุ่นวายของการปฏิรูปการศึกษาในยุค 90 ...
จากนั้นเหตุการณ์ย้อนหลังไปยังปี 1993 Balamurugan ครูฝึกหัดของสถาบันการศึกษา Thirupathi
ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นครูประจำที่โรงเรียนรัฐบาลใน Sozhavaram หมู่บ้านเล็กๆ ที่ชายแดนรัฐทมิฬนาฑู
สาเหตุมาจากที่ Srinivasa หัวหน้าสถาบันการศึกษา Thirupathi และนายกสมาคมโรงเรียนเอกชนได้เสนอ 'ความช่วยเหลือ'
ให้กับโรงเรียนรัฐบาลที่ล้มเหลว โดยตกลงที่จะส่งครูบางส่วนจากโรงเรียนเอกชนไปยังโรงเรียนของรัฐเพื่อให้ความช่วยเหลือ
แต่แท้จริงแล้ว Srinivasa จงใจส่งครูฝึกหัดเหล่านี้ไปเพื่อผลประโยชน์ทางการเงินเท่านั้น
โดยหวังให้ภาครัฐเลิกกฎหมายควบคุมค่าธรรมเนียมของโรงเรียน เขาส่งครูฝึกหัดจำนวนมากไปโรงเรียนรัฐบาล
ซึ่งไม่ได้หวังอะไรเลยกับการให้การศึกษาเด็กๆ หากโรงเรียนรัฐไม่มีเด็กคะแนนดี ..
บรรดาพ่อแม่ก็ย่อมต้องอยากให้ลูกๆ เข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนในเครือของ Thirupathi แทน นั่นล่ะคือเป้าหมายที่ Srinivasa ต้องการ
หากแต่สำหรับ Balamurugan ครูหนุ่มที่มีอุดมการณ์อันแรงกล้าในการสอนหนังสือ
เขาไม่เคยทราบจุดประสงค์ที่แท้จริงของ Srinivasa ..ชายหนุ่มมองเพียงว่านี่เป็นโอกาสที่จะพิสูจน์ตัวเองและสร้างความก้าวหน้าให้กับชีวิต
อย่างไรก็ตามโรงเรียนที่ Sozhavaram ไม่เป็นแบบที่เขาตั้งใจ เพราะเด็กๆ ไม่ได้ไปโรงเรียน
แทบทุกคนมีฐานะยากจนต้องช่วยพ่อแม่ทำงานเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว
แต่ Balamurugan ไม่ย่อท้อ เขาพยายามชักจูงใจให้ทุกคนในหมู่บ้านเห็นถึงคุณค่าการศึกษา จนเด็กๆทุกคนมาเรียนหนังสือ
Balamurugan จะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็กๆ ในหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ด้วยการศึกษาที่เขาตั้งใจไว้ได้หรือไม่
และเขาจะสู้กับอิทธิพลของ Srinivasa ที่มีต่อวงการศึกษาได้อย่างไร
ทุกอย่างดูเป็นเรื่องที่เกินสองมือของครูหนุ่มที่จะจัดการแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว....
Vaathi นำเสนอให้เห็นถึงเรื่องราวหลังจากที่อินเดียได้รับเอกราชจากการปกครองอาณานิคมของอังกฤษ
การศึกษาได้แบ่งแยกเด็กๆ คนที่มีเงินได้รับการศึกษา ส่วนคนที่ฐานะด้อยกว่าทั้งทางภูมิหลังทางสังคมและเศรษฐกิจกลับไม่มีโอกาสนั้น
เด็กส่วนใหญ่ที่ฐานะยากจนต่างต้องกัดฟันทำงานช่วยพ่อแม่ทำมาหาเลี้ยงครอบครัว...
ประเทศอินเดียนั้น ได้เร่งกระตุ้นให้เยาวชนอ่านออกเขียนได้มาโดยตลอดครับ
ซึ่งการพัฒนาระบบการศึกษาของอินเดียถือเป็นหัวใจสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาชาติ
แต่ถึงแม้สัดส่วนการเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาของประชากรอินเดียนั้นได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทศวรรษที่ผ่านมา
หากทว่าถ้าเทียบกับบรรดาชาติอื่นๆ ที่พัฒนาแล้ว อินเดียยังถือว่าห่างไกล...
ในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา อินเดียเป็นประเทศที่มีระบบโรงเรียนเอกชนขนาดใหญ่
พบว่านักเรียน 29% ที่อายุ 6 ถึง 14 ปี ศึกษาในโรงเรียนเอกชน
ตลาดการศึกษาเอกชนในประเทศอินเดียมีรายได้อยู่ที่ 450 ล้านดอลล่าร์สหรัฐในปี 2008 แน่นอนว่าการแข่งขันสูงมาก
และพ่อแม่ก็ยอมเสียเงินมากมายเพื่อให้ลูกๆ ได้เรียนในสถานศึกษาเหล่านั้น
พอคนเรียนเอกชนกันมาก โรงเรียนรัฐจึงกลายเป็นเหมือนทางเลือกที่ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจ...
Vaathi เลยเป็นเหมือนภาพยนตร์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของโอกาสในการศึกษา
คนมีเงินเท่านั้นหรือ จึงจะมีโอกาสได้เข้าถึง เด็กๆทุกคนควรได้มีสิทธิที่จะเรียนสิ นี่คือสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อถึงเรา
ผมชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วคิดถึงมังงะเรื่องนึงเมื่อนานมาแล้วชื่อเรื่องว่า GTO : GREAT TEACHER ONIZUKA
Balamurugan ครูตัวเอกของเรื่องมีความคล้ายคลึงกับ โอนิซึกะ ใน GTO มากเลยทีเดียวครับ
ที่มีเป้าหมายหวังจะช่วยเด็กๆ เหมือนกัน อาจจะต่างกันนิดหน่อยเรื่องของความรู้ความสามารถ
แต่สุดท้ายเด็กๆทุกคน ก็ยอมรับและรักในครูทั้งสองอย่างสุดหัวใจเช่นกัน
ภาพยนตร์ทมิฬมีจุดเด่นสำคัญคือการกล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เอาประเด็นทางสังคมที่กำลังมีปัญหา มาตีแผ่ให้ได้รับรู้
ซึ่งทำให้วงการหนังของเค้าพัฒนาไปมาก เวลาเล่นก็เล่นกันแรงครับไล่ตั้งแต่ระดับการเมืองท้องถิ่นไปจนถึงรัฐบาลเลยทีเดียว
หากใครยังไม่เคยดูหนังอินเดีย ลองเปิดใจดูนะครับ แล้วคุณจะติดงอมแงมเหมือนผมเลยล่ะ ^^
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===