Gaming Mouse หลายๆคนน่าจะชอบเรื่องของน้ำหนักเบาและไร้สายแต่ 2 สิ่งนี้มักจะไม่ค่อยไปกันได้เท่าไรนัก เพราะว่าด้วยแบต การใช้งานต่างๆหรือแม้จะเบาแต่ก็แบตไม่อึด แต่ปัญหานี้จะหมดไปเลยจริงๆเพราะ HYPER X ออกตัวใหม่ Pulsefire Hatse 2 Wireless ที่เป็นทั้งไร้สาย น้ำหนักเบาและไม่ต้องเจาะบอดี้ให้ดูแปลกตาหรือฝุ่นเข้าเลย ถือว่าเป็นการออกแบบและพัฒนาได้ดีอย่างมาก ซึ่งถ้ามองไปยังรุ่นเก่าเองนั้นดีไซน์เจาะรูซึ่งบางคนอาจจะไม่ชอบ แต่ครั้งนี้เบาเท่าเดิมแถมไม่เจาะรูและยังใช้งานแบบไร้สาย และเซนเซอร์ใหม่ไวแม่นขึ้นรวมถึงราคาดีด้วย
HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless มาพร้อมกับ น้ำหนัก 61 กรัม ในรุ่นไร้สายที่ใช้งานเซนเซอร์ 26K DPI รองรับการปรับแต่งได้อิสระมากขึ้น รวมถึงรองรับ 8000Hz Polling Rate และ DPI 26000 สูงสุด รองรับ 650IPS ความแม่นยำสูงขึ้น และแน่นอนว่ารองรับ IP54 และการทดสอบความแข็งแรง 100ล้านครั้งในการคลิก รวมถึงรองรับการปรับแต่งแสงสี RGB ผ่าน HyperX NGENUITY และมาพร้อมการออกแบบ 2 สี ดำ และ ขาว ในราคา 2,690 บาทเท่านั้น
UNBOX
ตัวกล่องมาพร้อมกับการออกแบบธีมสีขาวดำไม่เจอสีแดงในครั้งนี้แน่นอนว่าปกติแบรนด์นี้จะเน้นไปทางสีแดงนั้นเองครับ ส่วนด้านหน้าบอกดีไซน์ สเปกทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น น้ำหนัก สีสัน และ การใช้งาน ส่วนเมื่อแกะมาครั้งนี้เราจะเห็นเลยว่าดีไซน์เรียบหรู และ ไม่ต้องเจาะรูอะไรทั้งนั้นในครั้งนี้ครับ
- ตัวเมาส์ Hyper X
- สาย USB-C ไป USB-A
- Adaptor เพิ่มความยาวตัวรับสัญญาณ
- Grip ยางสำหรับติดเพิ่มความเกาะบนเมาส์
- แผ่น PTFE เปลี่ยนใต้ฐานเมาส์
- คู่มือการใช้งาน
DESIGN
งานออกแบบถ้ามองผ่านๆเราจะไม่รู้เลยว่ามันเบา จริงๆในยุคสมัยนี้หลายๆค่ายเวลาจะทำเมาส์ที่เบาจะเน้นไปที่การเจาะรูเต็มไปหมดครับ แต่ Hyper X ผ่านจุดนั้นมาแล้ว ไม่ต้องเจาะรูก็เบาเท่ากับแบบเจาะรูได้ถือว่า เก่งทั้งเรื่องของการใช้งานวัสดุและการพัฒนาออกแบบใหม่ๆ ส่วนแสงสีอะไรอาจจะไม่เยอะมากจะเน้นไปที่ตรงลูกกลิ้งตรงกลางเท่านั้น ตรงโลโก้ต่างๆไม่มีเพราะว่าเน้นน้ำหนักเบา
ถือว่าสีขาวสวยเนียนตามากเมื่อไม่มีรูมารบกวน ทรงเมาส์ออกแบบขนาดกลางๆและโค้งรับมือได้ดีสำหรับคนมือเล็กหรือกลาง แต่ถ้ามือใหญ่อาจจะไม่ถนัดมากนัก แต่ชอบฟีลลิ่งการกดปุ่มต่างๆแน่นและรับได้ดี แน่นอนว่าเค้ามี Grip มาให้ใช้งานถ้าไม่ชอบความเนียนลื่นของวัสดุสีขาวครับ แต่ส่วนตัวถือว่าโอเคแล้วนะ แต่ถ้าจะติดเพิ่มจะติดแค่ข้างๆเท่านั้นครับ ส่วนด้านข้างมีแบรนด์และปุ่มเสริม 2 ปุ่มเหมือนเดิมเลย แต่ชอบสีขาว และความเนียนของวัสดุงานออกแบบภาพรวมมากๆทำได้ดีจริงๆ
ในด้านล่างนั้นเราจะเห็นว่ามีการเสริมตัวแผ่นฐานเมาส์เพิ่มความลื่นไหลมามากขึ้นรอบเซนเซอร์จากที่รุ่นก่อนๆนั้นมีแค่ 4 มุมนั้นเอง รวมถึงตำแหน่งการเก็บตัวรับสัญญาณ และ ปุ่มเปิด/ปิดโหมดอยู่ตำแหน่งคล้ายเดิมทั้งหมดครับ รองรับทั้ง BT/2.4GHz ครบ ส่วนด้านหน้าสำหรับชาร์จเป็น USB-C นั้นเองเราจะเห็นว่าตำแหน่งไม่ลึกเอาสายอะไรเสียบก็ได้เช่นกันหรือจะใช้งานแบบใช้สายก็ได้นะตัวเมาส์เองจะมาแบบสมมาตรเท่ากันทั้งซ้ายและขวารองรับการใช้งานภาพรวมได้แบบสบายๆเลย
SPEC
- Shape: Symmetrical
- Resolution: Up to 26000 DPI
- DPI Presets: 400 / 800 / 1600 / 3200 DPI
- Speed: 450 IPS
- Acceleration: 40G
- Buttons: 6
- Left / Right Button Switches: Hyper X Switch
- Left / Right Button Durability: 100 million clicks
- Light Effects: Per-LED RGB lighting
- Onboard Memory: 1 profile
- Connection Type: 2.4GHz Wireless / Wired /BT
- Polling Rate: 8000Hz
- Weight : 61g
Battery Specifications
- Battery Type: 370mAh Li-ion polymer battery
- Battery Life: Up to 100 hours
SOFTWARE
แน่นอนว่าใช้งาน HyperX NGENUITY เช่นเดิมสามารถปรับแต่งไฟทั้งหมดได้ว่าจะเร็วแค่ไหน แสงสีอะไรบ้าง และ เชื่อมกับอุปกรณ์อื่นๆได้สบายครับรวมถึงปรับตั้งค่าปุ่ม มาโครได้ทั้งหมด และรวมถึงการปรับ DPI / Hz ต่างๆได้ละเอียดเช่นเดิมและรุ่นนี้รองรับมากขึ้นแน่นอนว่าอิสระมากขึ้น หน้าตาแอปจริงๆเรียบง่ายและใช้งานง่ายเหมือนเดิมนะ เข้าใจได้ง่ายแต่พื้นที่ติดขอบล่างไปนิดๆครับ แน่นอนว่ายังไม่มีภาษาไทยอะไรแต่หลักๆถ้าใครสายนี้น่าจะพอเข้าใจได้อยู่ไม่ยากไปครับ
FEELING
แน่นอนว่าเรื่องของฟีลลิ่งเองนั้นตัวนี้ทำได้ดีเหมือนเดิมไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักที่เบาและทรงที่กระชับกำลังดีในแง่ของคนที่มือขนาดประมาณกลางๆ แต่ถ้าใหญ่กว่านี้อาจจะแอบเล็กไปนิดหน่อยนั้นเอง แต่ส่วนตัวหลังจากที่ใช้งานมาซักพักในการเล่นเกม หรือ แม้แต่ใช้งานทั่วไปบอกเลยว่ามันเบาสบายและแม่นเอาเรื่องครับจริงๆ ก่อนหน้านี้เป็นคนที่ติดเมาส์ไร้สายอยู่แล้วแต่จะเจอน้ำหนักที่หนักและอ้วนๆจนชินไปแบบนั้น แต่เมื่อมาลองตัวนี้ก็แอบติดใจความเบาและอึดของมันเหมือนกันไม่เน้นแสงสีอะไรเยอะ เน้นการใช้งานเป็นหลักตัวนี้สามารถตอบโจทย์ได้แบบน่าแปลกใจและบอดี้ไม่เจาะรูผมมองว่ามันสวยขึ้นเยอะมาก ไม่ดูเป็น Gaming มากเกินไปใครชอบใช้ทำงานก็หยิบมาได้แบบไม่เขินเลยนะ
ส่วนการจับแน่นอนว่ามันอาจจะไม่สามารถเต็มอุ้งมือได้แบบสบายๆถ้าเทียบกับของผมเองแต่การจับแบบจิกๆนิดหน่อยกำลังลงตัว และตัวเมาส์เองไม่ต้องติด Grip ก็สามารถใช้งานได้ไม่หลุดลื่นอะไรนัก รวมถึงฟีลลิ่งการคลิกเองเสียงกลางๆไม่ได้ดังมาก แต่แน่นและเด้งรับได้ดีคล้ายของเดิมแม้จะมีการเปลี่ยนสวิตช์ใหม่ก็ตามครับ รักษาฟีลลิ่งของค่ายไว้ได้ดี แต่แสงสีอะไรเองอาจจะน้อยไปนิดๆ แต่การใช้งานบอกเลยว่าเบาสบายและดีไซน์เรียบร้อยลงตัวขึ้นกว่าเดิม
HYPER X PULSEFIRE HASTE 2 WIRELESS
” น้ำหนักเบา แถมได้เซนเซอร์ใหม่ สวิตช์ใหม่ ในราคาเดิม ! “
ภาพรวมมันกลายเป็นเมาส์ที่ลงตัวและเบามาก รวมถึงงานออกแบบที่ไม่ต้องเจาะรูอะไรทำให้มันน่าใช้งานมากขึ้นหลังจากที่ส่วนตัวนั้นไม่ค่อยชอบอะไรแบบเจาะรูเท่าไรนัก แต่รุ่นนี้กลับทำได้และเบาเท่าเดิม ยังไม่รวมถึง เซนเซอร์ใหม่ สวิตช์ใหม่ รวมถึงการปรับแต่งที่มากขึ้นมันกลายเป็นรุ่นที่ลงตัวมากๆในเรตราคาเท่าเดิมแบบนี้ จุดเด่นของไร้สายคือต้องใช้งานได้ยาวนาน และ ไม่หนัก ซึ่งรุ่นนี้สามารถตอบโจทย์พื้นฐานได้ง่ายและดีมากๆ แม้ว่าแสงสีอาจจะน้อยไปสำหรับสาย RGB แต่ก็แลกกับความเบา และ แบตอึดแบบนี้ก็ถือว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่รับได้กับราคา 2พันกว่าบาท
ข้อดี
- ดีไซน์เรียบสวย ไม่เจาะรูแต่เบาเท่าเดิม
- เซนเซอร์ใหม่ ดีขึ้นปรับได้สูง 26000DPI
- สวิตช์ใหม่ ทนทานกว่าเดิม
- ไร้สาย และ เบา แถม แบตอึด
- มี Grip และ เปลี่ยนฐานเมาส์ได้อิสระ
- Software ปรับแต่งได้หลากหลาย ใช้งานได้ง่าย
ข้อสังเกต
- แสงสีอาจจะน้อยไปในตัวบอดี้
- บอดี้สีขาวในการรักษาระยะยาวอาจจะเลอะง่าย
[SR] รีวิว HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless ไร้สาย น้ำหนักโคตรเบา ในงบ 2,690 บาท !
Gaming Mouse หลายๆคนน่าจะชอบเรื่องของน้ำหนักเบาและไร้สายแต่ 2 สิ่งนี้มักจะไม่ค่อยไปกันได้เท่าไรนัก เพราะว่าด้วยแบต การใช้งานต่างๆหรือแม้จะเบาแต่ก็แบตไม่อึด แต่ปัญหานี้จะหมดไปเลยจริงๆเพราะ HYPER X ออกตัวใหม่ Pulsefire Hatse 2 Wireless ที่เป็นทั้งไร้สาย น้ำหนักเบาและไม่ต้องเจาะบอดี้ให้ดูแปลกตาหรือฝุ่นเข้าเลย ถือว่าเป็นการออกแบบและพัฒนาได้ดีอย่างมาก ซึ่งถ้ามองไปยังรุ่นเก่าเองนั้นดีไซน์เจาะรูซึ่งบางคนอาจจะไม่ชอบ แต่ครั้งนี้เบาเท่าเดิมแถมไม่เจาะรูและยังใช้งานแบบไร้สาย และเซนเซอร์ใหม่ไวแม่นขึ้นรวมถึงราคาดีด้วย
HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless มาพร้อมกับ น้ำหนัก 61 กรัม ในรุ่นไร้สายที่ใช้งานเซนเซอร์ 26K DPI รองรับการปรับแต่งได้อิสระมากขึ้น รวมถึงรองรับ 8000Hz Polling Rate และ DPI 26000 สูงสุด รองรับ 650IPS ความแม่นยำสูงขึ้น และแน่นอนว่ารองรับ IP54 และการทดสอบความแข็งแรง 100ล้านครั้งในการคลิก รวมถึงรองรับการปรับแต่งแสงสี RGB ผ่าน HyperX NGENUITY และมาพร้อมการออกแบบ 2 สี ดำ และ ขาว ในราคา 2,690 บาทเท่านั้น
UNBOX
ตัวกล่องมาพร้อมกับการออกแบบธีมสีขาวดำไม่เจอสีแดงในครั้งนี้แน่นอนว่าปกติแบรนด์นี้จะเน้นไปทางสีแดงนั้นเองครับ ส่วนด้านหน้าบอกดีไซน์ สเปกทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น น้ำหนัก สีสัน และ การใช้งาน ส่วนเมื่อแกะมาครั้งนี้เราจะเห็นเลยว่าดีไซน์เรียบหรู และ ไม่ต้องเจาะรูอะไรทั้งนั้นในครั้งนี้ครับ
- ตัวเมาส์ Hyper X
- สาย USB-C ไป USB-A
- Adaptor เพิ่มความยาวตัวรับสัญญาณ
- Grip ยางสำหรับติดเพิ่มความเกาะบนเมาส์
- แผ่น PTFE เปลี่ยนใต้ฐานเมาส์
- คู่มือการใช้งาน
DESIGN
งานออกแบบถ้ามองผ่านๆเราจะไม่รู้เลยว่ามันเบา จริงๆในยุคสมัยนี้หลายๆค่ายเวลาจะทำเมาส์ที่เบาจะเน้นไปที่การเจาะรูเต็มไปหมดครับ แต่ Hyper X ผ่านจุดนั้นมาแล้ว ไม่ต้องเจาะรูก็เบาเท่ากับแบบเจาะรูได้ถือว่า เก่งทั้งเรื่องของการใช้งานวัสดุและการพัฒนาออกแบบใหม่ๆ ส่วนแสงสีอะไรอาจจะไม่เยอะมากจะเน้นไปที่ตรงลูกกลิ้งตรงกลางเท่านั้น ตรงโลโก้ต่างๆไม่มีเพราะว่าเน้นน้ำหนักเบา
ถือว่าสีขาวสวยเนียนตามากเมื่อไม่มีรูมารบกวน ทรงเมาส์ออกแบบขนาดกลางๆและโค้งรับมือได้ดีสำหรับคนมือเล็กหรือกลาง แต่ถ้ามือใหญ่อาจจะไม่ถนัดมากนัก แต่ชอบฟีลลิ่งการกดปุ่มต่างๆแน่นและรับได้ดี แน่นอนว่าเค้ามี Grip มาให้ใช้งานถ้าไม่ชอบความเนียนลื่นของวัสดุสีขาวครับ แต่ส่วนตัวถือว่าโอเคแล้วนะ แต่ถ้าจะติดเพิ่มจะติดแค่ข้างๆเท่านั้นครับ ส่วนด้านข้างมีแบรนด์และปุ่มเสริม 2 ปุ่มเหมือนเดิมเลย แต่ชอบสีขาว และความเนียนของวัสดุงานออกแบบภาพรวมมากๆทำได้ดีจริงๆ
ในด้านล่างนั้นเราจะเห็นว่ามีการเสริมตัวแผ่นฐานเมาส์เพิ่มความลื่นไหลมามากขึ้นรอบเซนเซอร์จากที่รุ่นก่อนๆนั้นมีแค่ 4 มุมนั้นเอง รวมถึงตำแหน่งการเก็บตัวรับสัญญาณ และ ปุ่มเปิด/ปิดโหมดอยู่ตำแหน่งคล้ายเดิมทั้งหมดครับ รองรับทั้ง BT/2.4GHz ครบ ส่วนด้านหน้าสำหรับชาร์จเป็น USB-C นั้นเองเราจะเห็นว่าตำแหน่งไม่ลึกเอาสายอะไรเสียบก็ได้เช่นกันหรือจะใช้งานแบบใช้สายก็ได้นะตัวเมาส์เองจะมาแบบสมมาตรเท่ากันทั้งซ้ายและขวารองรับการใช้งานภาพรวมได้แบบสบายๆเลย
SPEC
- Shape: Symmetrical
- Resolution: Up to 26000 DPI
- DPI Presets: 400 / 800 / 1600 / 3200 DPI
- Speed: 450 IPS
- Acceleration: 40G
- Buttons: 6
- Left / Right Button Switches: Hyper X Switch
- Left / Right Button Durability: 100 million clicks
- Light Effects: Per-LED RGB lighting
- Onboard Memory: 1 profile
- Connection Type: 2.4GHz Wireless / Wired /BT
- Polling Rate: 8000Hz
- Weight : 61g
Battery Specifications
- Battery Type: 370mAh Li-ion polymer battery
- Battery Life: Up to 100 hours
SOFTWARE
แน่นอนว่าใช้งาน HyperX NGENUITY เช่นเดิมสามารถปรับแต่งไฟทั้งหมดได้ว่าจะเร็วแค่ไหน แสงสีอะไรบ้าง และ เชื่อมกับอุปกรณ์อื่นๆได้สบายครับรวมถึงปรับตั้งค่าปุ่ม มาโครได้ทั้งหมด และรวมถึงการปรับ DPI / Hz ต่างๆได้ละเอียดเช่นเดิมและรุ่นนี้รองรับมากขึ้นแน่นอนว่าอิสระมากขึ้น หน้าตาแอปจริงๆเรียบง่ายและใช้งานง่ายเหมือนเดิมนะ เข้าใจได้ง่ายแต่พื้นที่ติดขอบล่างไปนิดๆครับ แน่นอนว่ายังไม่มีภาษาไทยอะไรแต่หลักๆถ้าใครสายนี้น่าจะพอเข้าใจได้อยู่ไม่ยากไปครับ
FEELING
แน่นอนว่าเรื่องของฟีลลิ่งเองนั้นตัวนี้ทำได้ดีเหมือนเดิมไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักที่เบาและทรงที่กระชับกำลังดีในแง่ของคนที่มือขนาดประมาณกลางๆ แต่ถ้าใหญ่กว่านี้อาจจะแอบเล็กไปนิดหน่อยนั้นเอง แต่ส่วนตัวหลังจากที่ใช้งานมาซักพักในการเล่นเกม หรือ แม้แต่ใช้งานทั่วไปบอกเลยว่ามันเบาสบายและแม่นเอาเรื่องครับจริงๆ ก่อนหน้านี้เป็นคนที่ติดเมาส์ไร้สายอยู่แล้วแต่จะเจอน้ำหนักที่หนักและอ้วนๆจนชินไปแบบนั้น แต่เมื่อมาลองตัวนี้ก็แอบติดใจความเบาและอึดของมันเหมือนกันไม่เน้นแสงสีอะไรเยอะ เน้นการใช้งานเป็นหลักตัวนี้สามารถตอบโจทย์ได้แบบน่าแปลกใจและบอดี้ไม่เจาะรูผมมองว่ามันสวยขึ้นเยอะมาก ไม่ดูเป็น Gaming มากเกินไปใครชอบใช้ทำงานก็หยิบมาได้แบบไม่เขินเลยนะ
ส่วนการจับแน่นอนว่ามันอาจจะไม่สามารถเต็มอุ้งมือได้แบบสบายๆถ้าเทียบกับของผมเองแต่การจับแบบจิกๆนิดหน่อยกำลังลงตัว และตัวเมาส์เองไม่ต้องติด Grip ก็สามารถใช้งานได้ไม่หลุดลื่นอะไรนัก รวมถึงฟีลลิ่งการคลิกเองเสียงกลางๆไม่ได้ดังมาก แต่แน่นและเด้งรับได้ดีคล้ายของเดิมแม้จะมีการเปลี่ยนสวิตช์ใหม่ก็ตามครับ รักษาฟีลลิ่งของค่ายไว้ได้ดี แต่แสงสีอะไรเองอาจจะน้อยไปนิดๆ แต่การใช้งานบอกเลยว่าเบาสบายและดีไซน์เรียบร้อยลงตัวขึ้นกว่าเดิม
HYPER X PULSEFIRE HASTE 2 WIRELESS
” น้ำหนักเบา แถมได้เซนเซอร์ใหม่ สวิตช์ใหม่ ในราคาเดิม ! “
ภาพรวมมันกลายเป็นเมาส์ที่ลงตัวและเบามาก รวมถึงงานออกแบบที่ไม่ต้องเจาะรูอะไรทำให้มันน่าใช้งานมากขึ้นหลังจากที่ส่วนตัวนั้นไม่ค่อยชอบอะไรแบบเจาะรูเท่าไรนัก แต่รุ่นนี้กลับทำได้และเบาเท่าเดิม ยังไม่รวมถึง เซนเซอร์ใหม่ สวิตช์ใหม่ รวมถึงการปรับแต่งที่มากขึ้นมันกลายเป็นรุ่นที่ลงตัวมากๆในเรตราคาเท่าเดิมแบบนี้ จุดเด่นของไร้สายคือต้องใช้งานได้ยาวนาน และ ไม่หนัก ซึ่งรุ่นนี้สามารถตอบโจทย์พื้นฐานได้ง่ายและดีมากๆ แม้ว่าแสงสีอาจจะน้อยไปสำหรับสาย RGB แต่ก็แลกกับความเบา และ แบตอึดแบบนี้ก็ถือว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่รับได้กับราคา 2พันกว่าบาท
ข้อดี
- ดีไซน์เรียบสวย ไม่เจาะรูแต่เบาเท่าเดิม
- เซนเซอร์ใหม่ ดีขึ้นปรับได้สูง 26000DPI
- สวิตช์ใหม่ ทนทานกว่าเดิม
- ไร้สาย และ เบา แถม แบตอึด
- มี Grip และ เปลี่ยนฐานเมาส์ได้อิสระ
- Software ปรับแต่งได้หลากหลาย ใช้งานได้ง่าย
ข้อสังเกต
- แสงสีอาจจะน้อยไปในตัวบอดี้
- บอดี้สีขาวในการรักษาระยะยาวอาจจะเลอะง่าย
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้