“เมืองไอจิ” คงจะเป็นชื่อที่คนทั่วไปที่ไม่ได้มีงานอดิเรกเป็นการหมุนลูกโลกดูชื่อประเทศเล่นๆคุ้นหูมากนัก ผมเองก็คงจะเป็นหนึ่งในนั้น ที่ชื่อญี่ปุ่นวนเวียนอยู่กับชีวิตผมในฐานะของเด็กนักเรียนมัธยมปลายที่สนใจการเมือง กฎหมาย สังคม และเศรษฐศาสตร์ ซึ่งก็มีความฝันเล็กๆว่าวันนึงจะไปเดินสะพายกล้องเท่ๆอยู่ซักมุมถนน รอข้ามทางม้าลายแบบไม่ต้องกลัวรถบีบแตรไล่ตลอดช่วงที่สัญญาณไฟยังคงเป็นสีเขียว แต่ใครจะไปรู้ ว่าผมในวัย16ปี จะได้รับโอกาสดีๆที่ทำผมไกลบ้านถึง4,371กิโลเมตรจากห้องนอนเล็กๆที่ลาดพร้าวไปสู่จังหวัดไอจิ
ก่อนจะไปถึงขั้นนั้นได้ ผมต้องฝ่าฟันคนร้อยกว่าคนในการสอบข้อเขียนและการสอบในรอบสัมภาษณ์ ซึ่งผมเองก็รู้ดีว่าผมไม่ได้เชี่ยวชาญด้านภาษาขนาดนั้น เลยพยายามประยุกต์ใช้ความรู้ในส่วนที่ตัวเองถนัดลงไป ซึ่งตลอดทั้งทริปของไอจินี้ ผมได้ต่อยอดองค์ความรู้ของผมไปเยอะมากๆ ชนิดที่รู้สึกเต็มอิ่มในใจเหมือนการอ่านหนังสือจบซัก8เล่ม ผมจึงนิยามการเดินทางของผมในครั้งนี้ว่า เป็นงาน เป็นการ และเป็นเกียรติ มากที่สุดครั้งนึงในชีวิตของผม
ในห้องประชุมของศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ผมก็ตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่า ผมจะพยายามเรียนรู้ให้มากที่สุดก่อนการเดินทางไปที่จังหวัดไอจิ ซึ่งต้องบอกว่าการเดินทางครั้งนี้เราเดินทางภายใต้ชื่อของ สำนักการต่างประเทศ กรุงเทพมหานคร ครับ
ท
ผมเตรียมตัวไม่หนักมากครับ ด้วยความที่ชอบเดินทางเป็นประจำ การจัดการสัมภาระเลยไม่ค่อยเป็นที่น่ากังวลสำหรับที่บ้านผมนัก เพียงแต่ผมซุ่มซ่ามและก็ขี้หลงขี้ลืม จึงเป็นช่วงที่ผมพยายามรวบรวมสติที่ผมมีมาทุ่มให้กับ1สัปดาห์ที่กำลังจะถึง ซึ่งนอกจากการหาซิมเน็ต การเก็บกระเป๋าไปทริปนี้ก็เหมือนการที่ผมเก็บกระเป๋าไปขอนแก่นเลยครับ
ผมเดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิในวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 เวลา 00:15 ก่อนจะเดินทางก็มีคณะอาจารย์แล้วก็ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนมาส่ง เป็นซีนที่น่ารักดีครับ ทุกคนทำตัวเหมือนผมจะไปซัก4ปีเลย🥹🤓
ผมใช้เวลาบนเครื่องบินไป5ชม. บวกกับเวลา Time zone ที่เพิ่มไปอีก 2ชม. เท้าผมเลยได้เหยียบญี่ปุ่น 7โมงเช้า และต้องเริ่มภารกิจเลยทันที สิ่งแรกที่อยากบอกคือวินาทีที่ลมไอจิสัมผัสตัวผม ผมก็รู้สึกว่าคิดถูกมากกับเสื้อผ้าที่ผมเตรียมมา มากไปกว่านั้น ผมรู้สึกว่าการสูดอากาศที่นี่เต็มปอดเหมือนผมได้กลับไปสูดอากาศแถวป่าภาคใต้ทั้งๆที่ผมก็ยืนรอขึ้นรถบัสอยู่สนามบินนาโกย่า หลังจากผมขึ้นรถบัส บัสคันนี้ ก็ค่อยๆพาคณะเราเข้าสู่ตัวเมืองไอจิ
ภาพของเมืองในสายตาผมครั้งแรก ให้ความรู้สึกเหมือนทุกอย่างมันเป๊ะแล้วก็ได้สัดส่วนไปหมดเลยครับ
เราเริ่มจากการไปเลียบๆเคียงๆศาลาว่าการจังหวะไอจิ ด้วยการเข้าห้องประชุมเล็กๆที่ใกล้กับศาลาว่าการ ซึ่งเป็นการฟัง”กำหนดการ” ผมรู้สึกว่าเป็นอะไรที่ญี่ปุ่นมากๆ เราเห็นความมีน้ำใจตลอดทริป แต่ความมีวินัยในการรักษาเวลาที่แม้จะเป็นเรื่องที่ผมได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ ก็ยังคงทำให้ผมรู้สึกเป็นเรื่องมหัศจรรย์ใจกับญี่ปุ่น กำหนดการถูกเขียนมาละเอียดและรัดกุม มีเรื่องของแผนสำรองว่าจะทำอย่างไรเมื่อฝนตกในวันที่มีกิจกรรมกลางแจ้ง ซึ่งทุกอย่างไปเป็นตามแผนและไม่นอกเหนือจากนั้นเลยแม้แต่จำนวนนาทีของเวลาครับ
จากนั้นประมาณ15นาที เราก็เดินทางมาทานข้าวเที่ยงที่มหาวิทยาลัยนาโกย่า
การทานข้าวเที่ยง ซึ่งเป็น”อาหารมื้อแรก”ของผมในญี่ปุ่น จากใจคนไม่คุ้นกับกินอาหารญี่ปุ่น แอบหวังเล็กๆว่าคงจะเป็นอะไรที่ไทยๆมาให้ก่อน แต่เปิดมื้อแรก ก็ญี่ปุ่นทั้งเซ็ทแบบไม่มีไทยผสมเลยครับ ซึ่งเรียกได้ว่าพลิกลิ้นผมสุดขั้ว แต่เอาเข้าจริงๆก็แอบถูกปากแบบอธิบายไม่ถูกเหมือนกัน โดยเฉพาะชาที่ไม่ติดหวานเลย แต่หอมแล้วก็มีความเป็นชาญี่ปุ่นมากๆเลยครับ
จากนั้นก็พาไปเดินดูมหาลัยนาโกย่ากันนิดหน่อย สิ่งที่ผมเห็นตลอดในมหาลัยนาโกย่า คือความใส่ใจในเรื่องของความปลอดภัยมากครับ จังหวะที่ไปเนี่ย มหาลัยนาโกย่ากำลังก่อสร้างพอดี แต่เรื่องความปลอดภัยทางมหาลัยเซฟเนี้ยบมากเลยครับ ขนาดฉากกั้นฝุ่นยังไล่เป็นเลเยอร์ชั้นๆ จนผมไม่มีความรู้สึกว่ามหาลัยนาโกย่ากำลังก่อสร้างเลยครับ
ช่วงบ่ายถึงเย็นเป็นช่วงที่ต่อให้ง่วงแค่ไหน ทุกคนก็จะต้องทำยังไงก็ได้ให้ตื่น ถ้าตอนนั้นผมอยู่ไทยก็คงวิ่งเข้าเซเว่นหากาแฟกินซักแก้วไปแล้ว เพราะบ่ายนั้นเรากำลังจะได้ไปพบท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดไอจิครับ สิ่งที่ผมทำได้เต็มที่ที่สุดคือกินช็อคโกแล็ตให้อะไรหวานๆติดในปากบ้าง เผื่อน้ำตาลในเลือดจะช่วยทำให้ตาตื่น ก่อนจะก้าวขึ้นรถบัส ลมเย็นๆกับแสงแดดบ่ายๆของไอจิทำผมรู้สึกแปลกใหม่มาก เหมือนผมไปในที่ที่ผมไม่เคยไป แถมยังพูดตลกๆกับพี่ล่ามว่ามันเป็นอะไรที่ญี่ปุ่นมากๆ พร้อมได้ยินเสียงตอบกลับว่า “ก็นี่ญี่ปุ่นว้อย”
ตอนถอดแมสสูดอากาศก่อนขึ้นรถบัสให้เต็มปอด ผมก็นึกขึ้นว่าได้ว่า เห้ย รถเมล์ที่นี่เนี่ย มันไม่มีควันเลยนี่วา เลยหันไปถามพี่ล่ามว่า “ที่นี่มันเป็นEV Busรึเปล่าครับ” ก่อนจะได้รับคำอธิบายว่ารถที่นี่เป็นไฮบริด
ผมตัดสินใจจัดทรงสูทของผมเล็กน้อยก่อนไปพบท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดไอจิ นั่งได้ไม่นานท่านผู้ราชการจังหวัดไอจิก็เข้ามา แล้วเราก็ต้องกล่าวคำคารวะครับ ซึ่งผมเองก็ได้เป็นตัวแทนเพื่อนๆพี่ที่ไปร่วมทริปกันในครั้งนี้ ผมพูด พี่ล่ามก็แปล ซึ่งรู้สึกว่าจังหวะเนี่ย เป๊ะเหมือนซ้อมมาซักร้อยรอบเลยครับ
ตามสไตล์ว่าที่หนุ่มรัฐศาสตร์แบบผม ผมอ่านหนังสือเรื่องเกี่ยวกับญี่ปุ่นเยอะมากๆ โดยเฉพาะโมเดลในการกระจายอำนาจของญี่ปุ่น ที่วันนี้เห็นภาพชัดเจนขึ้นจากการตอบคำถามของท่านรองผู้ว่าที่เราได้เห็นว่าไอจิ(ในฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)มีอำนาจในการบริหารจัดการตัวเองมากแค่ไหน
ผมมองท่านรองผู้ว่าอายุห้าสิบกว่าๆกำลังพูดเรื่องการแก้ปัญหาไปพร้อมๆกับการเหลือบมองนาฬิกา ไม่นานนักทุกคนก็ตั้งจะต้องไปถ่ายรูปรวม แต่ผมไม่คิดเลยว่าจะได้มีโอกาสคุยกับท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดไอจิแบบตัวต่อตัวเลย
วันแรกผ่านไปเหมือนแสงไฟผ่านตาเลยครับ เรื่องเดียวที่ผมยังปรับตัวไม่ได้คือเรื่องการกินครับ ชนิดที่ว่าคืนนี้ต้องขออนุญาติพี่ๆไปซื้อของที่7-11 ได้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาหนึ่งถ้วยเต็มๆ ถือว่าอยู่รอดไปครับ55
🔴วันที่2
ผมตื่นมาเช้าก็แอบช็อคอยู่นิดนึงครับ เพราะแสงแดดส่องจ้าเข้าที่หน้าต่าง ในใจคือคิดว่ายังไงก็น่าจะสายแล้วแน่ๆ พอจับนาฬิกามาดู จากไอจิก็ถึงบางอ้อเลยครับ นึกขึ้นได้ว่า ญี่ปุ่นเนี่ยมันพระอาทิตย์ขึ้นก่อนที่อื่นอยู่แล้ว
มื้อเช้าเป็นอาหารโรงแรมครับ ตามกำหนดการ เรากำลังจะไปที่วัดนิไทจิ ซึ่งเป็นวัดไทยในประเทศญี่ปุ่น
พี่ไกด์อธิบายว่า เป็นวัดที่สร้างไว้เป็นฟีลเครื่องขอบคุณ ที่รัชกาลที่5ให้พระราชทานพระบรมสารีริกธาตุจากอินเดียให้ ว่าที่หนุ่มกรมศิลป์แบบผม(อีกแล้ว) ก็รู้สึกสนุกดีครับ ได้มานั่งเชื่อมประวัติศาสตร์ที่เคยอ่านในสถานที่จริงแบบนี้
ช่วงเที่ยง-บ่าย จะเป็นกิจกรรมที่เราจะต้องทำร่วมกับเยาวชนของญี่ปุ่นที่เคยมาเมืองไทยครับ เราไปเดินเล่นกันที่ถนนโอสุ แอบแปะนิดนึงว่าอากาศเริ่มไม่หนาวแล้ว แต่มีลมเข้ามาแทน ซึ่งเราก็แอบกังวลครับ เพราะเช็คมาพยากรณ์อากาศคือวันนี้ฝนจะตก
เราทานอาหารร่วมกับเยาวชนจังหวัดไอจิที่เคยมาแลกเปลี่ยนที่ไทยครับ แล้วจังหวะนี้ของฝากจากแบ้งค้อกของผมก็ได้ออกโรง5555 ผมพกยำยำช้างน้อยกับมาม่ารสต้มยำกุ้งมาฝากเพื่อนๆที่นี่ครับ
หลังจากทานข้าวเสร็จ เราก็แบ่งกลุ่มกันไปเดินเล่นที่ถนนโอสุ ซึ่งผมก็ช็อปไปไม่น้อยอยู่เหมือนกัน
จากนั้นเราก็นั่งรถไปที่ห้องประชุมที่นึงครับ เราจะได้มาทำการdiscussion กันในเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมพร้อมแนวทางและข้อเสนอแนะ ซึ่งลำบากมากที่ต้องแปลทุกอย่างหัวออกมาให้ได้ทันเวลา55 แต่มีพี่สตาฟที่ค่อนข้างเก่งคอยช่วยซัพพอร์ต ทุกอย่างเลยลื่นไหลมากครับ
จากนั้นเราก็ออกไปนำเสนอให้กับเพื่อนๆฟังครับ
จากนั้นก็ต้องบอกมือลาเพื่อนๆญี่ปุ่นแล้ว เป็น10นาทีที่ทุกคนวุ่นวายมากครับ55 แลกIG
ถ่ายรูป จับมือ ฝากของฝาก พูดคุยกันเล็กน้อย เรียกได้ว่าถ้าตอนนั้นมีใครเปิดเพลงซึ้งๆอย่างNobody’s Knowขึ้นมาเนี่ย มีน้ำตาแตกกันแน่นอน
ตอนลงบันไดเลื่อนมาหันกลับไปมองละเห็นภาพนี้แล้วต้องหันังแล้วเดินต่อ น้ำตาซีมออมานิดนึงครับ555
มื้อเย็นมีไปกินชาบูญี่ปุ่นครับ ซึ่งพี่สตาฟญี่ปุ่นบอกว่า เป็นการกินแบบสั่งได้เรื่อยๆไม่จำกัดเลย ผมเลยบอกว่า ก็บุฟเฟ่ต์ใช่มั้ย เขาบอกว่าไม่ เพราะจะมีคนมาเสิร์ฟ555 สรุปคือ บุฟเฟ่ต์เรากับเขาคนละความหมายนะครับ55 บุฟเฟ่ต์ของเราคือกินเท่าไหร่ก็ได้ แต่แบบที่เขาเข้าใจ คือการกินที่เราต้องเดินไปตักอ่ะครับ555 ชาบูที่นี่วัตถุดิบดีมากๆ แต่ผมติดที่น้ำจิ้มครับ ผมไม่เคยต้องการน้ำจิ้มสุกี้ไทยขนาดนี้มาก่อน ผ่านไปสองวันแม้ว่าอาหารจะถูกจัดมาดีแค่ไหน ผมยังมูฟออนจากอาหารไทยไม่ได้ซักทีครับ55
คืนวันนั้น ผมเปิดดูกำหนดการของวันที่3ก็แอบกังวลใจเล็กน้อย เพราะวันที่3 จะเป็นวันที่ต้องไปอยู่กับโฮสต์ตั้งแต่9โมงเช้าจนถึง1ทุ่ม เรียกได้ว่าเต็มวันเลยครับ ซึ่งผมกลัวจะเข้ากับโฮสต์ไม่ได้ กลัวจะเกร็งๆ เลยเรียกได้ว่าแทบจะนอนไม่หลับเลย
Aichi Exchange 2023 เมื่อผมได้รับเกียรติให้เป็นเยาวชนแลกเปลี่ยน ณ เมืองไอจิ ตอนที่1/4
ก่อนจะไปถึงขั้นนั้นได้ ผมต้องฝ่าฟันคนร้อยกว่าคนในการสอบข้อเขียนและการสอบในรอบสัมภาษณ์ ซึ่งผมเองก็รู้ดีว่าผมไม่ได้เชี่ยวชาญด้านภาษาขนาดนั้น เลยพยายามประยุกต์ใช้ความรู้ในส่วนที่ตัวเองถนัดลงไป ซึ่งตลอดทั้งทริปของไอจินี้ ผมได้ต่อยอดองค์ความรู้ของผมไปเยอะมากๆ ชนิดที่รู้สึกเต็มอิ่มในใจเหมือนการอ่านหนังสือจบซัก8เล่ม ผมจึงนิยามการเดินทางของผมในครั้งนี้ว่า เป็นงาน เป็นการ และเป็นเกียรติ มากที่สุดครั้งนึงในชีวิตของผม
ในห้องประชุมของศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ผมก็ตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่า ผมจะพยายามเรียนรู้ให้มากที่สุดก่อนการเดินทางไปที่จังหวัดไอจิ ซึ่งต้องบอกว่าการเดินทางครั้งนี้เราเดินทางภายใต้ชื่อของ สำนักการต่างประเทศ กรุงเทพมหานคร ครับ
ท
ผมเตรียมตัวไม่หนักมากครับ ด้วยความที่ชอบเดินทางเป็นประจำ การจัดการสัมภาระเลยไม่ค่อยเป็นที่น่ากังวลสำหรับที่บ้านผมนัก เพียงแต่ผมซุ่มซ่ามและก็ขี้หลงขี้ลืม จึงเป็นช่วงที่ผมพยายามรวบรวมสติที่ผมมีมาทุ่มให้กับ1สัปดาห์ที่กำลังจะถึง ซึ่งนอกจากการหาซิมเน็ต การเก็บกระเป๋าไปทริปนี้ก็เหมือนการที่ผมเก็บกระเป๋าไปขอนแก่นเลยครับ
ผมเดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิในวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 เวลา 00:15 ก่อนจะเดินทางก็มีคณะอาจารย์แล้วก็ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนมาส่ง เป็นซีนที่น่ารักดีครับ ทุกคนทำตัวเหมือนผมจะไปซัก4ปีเลย🥹🤓
ผมใช้เวลาบนเครื่องบินไป5ชม. บวกกับเวลา Time zone ที่เพิ่มไปอีก 2ชม. เท้าผมเลยได้เหยียบญี่ปุ่น 7โมงเช้า และต้องเริ่มภารกิจเลยทันที สิ่งแรกที่อยากบอกคือวินาทีที่ลมไอจิสัมผัสตัวผม ผมก็รู้สึกว่าคิดถูกมากกับเสื้อผ้าที่ผมเตรียมมา มากไปกว่านั้น ผมรู้สึกว่าการสูดอากาศที่นี่เต็มปอดเหมือนผมได้กลับไปสูดอากาศแถวป่าภาคใต้ทั้งๆที่ผมก็ยืนรอขึ้นรถบัสอยู่สนามบินนาโกย่า หลังจากผมขึ้นรถบัส บัสคันนี้ ก็ค่อยๆพาคณะเราเข้าสู่ตัวเมืองไอจิ
ภาพของเมืองในสายตาผมครั้งแรก ให้ความรู้สึกเหมือนทุกอย่างมันเป๊ะแล้วก็ได้สัดส่วนไปหมดเลยครับ
เราเริ่มจากการไปเลียบๆเคียงๆศาลาว่าการจังหวะไอจิ ด้วยการเข้าห้องประชุมเล็กๆที่ใกล้กับศาลาว่าการ ซึ่งเป็นการฟัง”กำหนดการ” ผมรู้สึกว่าเป็นอะไรที่ญี่ปุ่นมากๆ เราเห็นความมีน้ำใจตลอดทริป แต่ความมีวินัยในการรักษาเวลาที่แม้จะเป็นเรื่องที่ผมได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ ก็ยังคงทำให้ผมรู้สึกเป็นเรื่องมหัศจรรย์ใจกับญี่ปุ่น กำหนดการถูกเขียนมาละเอียดและรัดกุม มีเรื่องของแผนสำรองว่าจะทำอย่างไรเมื่อฝนตกในวันที่มีกิจกรรมกลางแจ้ง ซึ่งทุกอย่างไปเป็นตามแผนและไม่นอกเหนือจากนั้นเลยแม้แต่จำนวนนาทีของเวลาครับ
จากนั้นประมาณ15นาที เราก็เดินทางมาทานข้าวเที่ยงที่มหาวิทยาลัยนาโกย่า
การทานข้าวเที่ยง ซึ่งเป็น”อาหารมื้อแรก”ของผมในญี่ปุ่น จากใจคนไม่คุ้นกับกินอาหารญี่ปุ่น แอบหวังเล็กๆว่าคงจะเป็นอะไรที่ไทยๆมาให้ก่อน แต่เปิดมื้อแรก ก็ญี่ปุ่นทั้งเซ็ทแบบไม่มีไทยผสมเลยครับ ซึ่งเรียกได้ว่าพลิกลิ้นผมสุดขั้ว แต่เอาเข้าจริงๆก็แอบถูกปากแบบอธิบายไม่ถูกเหมือนกัน โดยเฉพาะชาที่ไม่ติดหวานเลย แต่หอมแล้วก็มีความเป็นชาญี่ปุ่นมากๆเลยครับ
จากนั้นก็พาไปเดินดูมหาลัยนาโกย่ากันนิดหน่อย สิ่งที่ผมเห็นตลอดในมหาลัยนาโกย่า คือความใส่ใจในเรื่องของความปลอดภัยมากครับ จังหวะที่ไปเนี่ย มหาลัยนาโกย่ากำลังก่อสร้างพอดี แต่เรื่องความปลอดภัยทางมหาลัยเซฟเนี้ยบมากเลยครับ ขนาดฉากกั้นฝุ่นยังไล่เป็นเลเยอร์ชั้นๆ จนผมไม่มีความรู้สึกว่ามหาลัยนาโกย่ากำลังก่อสร้างเลยครับ
ช่วงบ่ายถึงเย็นเป็นช่วงที่ต่อให้ง่วงแค่ไหน ทุกคนก็จะต้องทำยังไงก็ได้ให้ตื่น ถ้าตอนนั้นผมอยู่ไทยก็คงวิ่งเข้าเซเว่นหากาแฟกินซักแก้วไปแล้ว เพราะบ่ายนั้นเรากำลังจะได้ไปพบท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดไอจิครับ สิ่งที่ผมทำได้เต็มที่ที่สุดคือกินช็อคโกแล็ตให้อะไรหวานๆติดในปากบ้าง เผื่อน้ำตาลในเลือดจะช่วยทำให้ตาตื่น ก่อนจะก้าวขึ้นรถบัส ลมเย็นๆกับแสงแดดบ่ายๆของไอจิทำผมรู้สึกแปลกใหม่มาก เหมือนผมไปในที่ที่ผมไม่เคยไป แถมยังพูดตลกๆกับพี่ล่ามว่ามันเป็นอะไรที่ญี่ปุ่นมากๆ พร้อมได้ยินเสียงตอบกลับว่า “ก็นี่ญี่ปุ่นว้อย”
ตอนถอดแมสสูดอากาศก่อนขึ้นรถบัสให้เต็มปอด ผมก็นึกขึ้นว่าได้ว่า เห้ย รถเมล์ที่นี่เนี่ย มันไม่มีควันเลยนี่วา เลยหันไปถามพี่ล่ามว่า “ที่นี่มันเป็นEV Busรึเปล่าครับ” ก่อนจะได้รับคำอธิบายว่ารถที่นี่เป็นไฮบริด
ผมตัดสินใจจัดทรงสูทของผมเล็กน้อยก่อนไปพบท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดไอจิ นั่งได้ไม่นานท่านผู้ราชการจังหวัดไอจิก็เข้ามา แล้วเราก็ต้องกล่าวคำคารวะครับ ซึ่งผมเองก็ได้เป็นตัวแทนเพื่อนๆพี่ที่ไปร่วมทริปกันในครั้งนี้ ผมพูด พี่ล่ามก็แปล ซึ่งรู้สึกว่าจังหวะเนี่ย เป๊ะเหมือนซ้อมมาซักร้อยรอบเลยครับ
ตามสไตล์ว่าที่หนุ่มรัฐศาสตร์แบบผม ผมอ่านหนังสือเรื่องเกี่ยวกับญี่ปุ่นเยอะมากๆ โดยเฉพาะโมเดลในการกระจายอำนาจของญี่ปุ่น ที่วันนี้เห็นภาพชัดเจนขึ้นจากการตอบคำถามของท่านรองผู้ว่าที่เราได้เห็นว่าไอจิ(ในฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)มีอำนาจในการบริหารจัดการตัวเองมากแค่ไหน
ผมมองท่านรองผู้ว่าอายุห้าสิบกว่าๆกำลังพูดเรื่องการแก้ปัญหาไปพร้อมๆกับการเหลือบมองนาฬิกา ไม่นานนักทุกคนก็ตั้งจะต้องไปถ่ายรูปรวม แต่ผมไม่คิดเลยว่าจะได้มีโอกาสคุยกับท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดไอจิแบบตัวต่อตัวเลย
วันแรกผ่านไปเหมือนแสงไฟผ่านตาเลยครับ เรื่องเดียวที่ผมยังปรับตัวไม่ได้คือเรื่องการกินครับ ชนิดที่ว่าคืนนี้ต้องขออนุญาติพี่ๆไปซื้อของที่7-11 ได้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาหนึ่งถ้วยเต็มๆ ถือว่าอยู่รอดไปครับ55
🔴วันที่2
ผมตื่นมาเช้าก็แอบช็อคอยู่นิดนึงครับ เพราะแสงแดดส่องจ้าเข้าที่หน้าต่าง ในใจคือคิดว่ายังไงก็น่าจะสายแล้วแน่ๆ พอจับนาฬิกามาดู จากไอจิก็ถึงบางอ้อเลยครับ นึกขึ้นได้ว่า ญี่ปุ่นเนี่ยมันพระอาทิตย์ขึ้นก่อนที่อื่นอยู่แล้ว
มื้อเช้าเป็นอาหารโรงแรมครับ ตามกำหนดการ เรากำลังจะไปที่วัดนิไทจิ ซึ่งเป็นวัดไทยในประเทศญี่ปุ่น
พี่ไกด์อธิบายว่า เป็นวัดที่สร้างไว้เป็นฟีลเครื่องขอบคุณ ที่รัชกาลที่5ให้พระราชทานพระบรมสารีริกธาตุจากอินเดียให้ ว่าที่หนุ่มกรมศิลป์แบบผม(อีกแล้ว) ก็รู้สึกสนุกดีครับ ได้มานั่งเชื่อมประวัติศาสตร์ที่เคยอ่านในสถานที่จริงแบบนี้
ช่วงเที่ยง-บ่าย จะเป็นกิจกรรมที่เราจะต้องทำร่วมกับเยาวชนของญี่ปุ่นที่เคยมาเมืองไทยครับ เราไปเดินเล่นกันที่ถนนโอสุ แอบแปะนิดนึงว่าอากาศเริ่มไม่หนาวแล้ว แต่มีลมเข้ามาแทน ซึ่งเราก็แอบกังวลครับ เพราะเช็คมาพยากรณ์อากาศคือวันนี้ฝนจะตก
เราทานอาหารร่วมกับเยาวชนจังหวัดไอจิที่เคยมาแลกเปลี่ยนที่ไทยครับ แล้วจังหวะนี้ของฝากจากแบ้งค้อกของผมก็ได้ออกโรง5555 ผมพกยำยำช้างน้อยกับมาม่ารสต้มยำกุ้งมาฝากเพื่อนๆที่นี่ครับ
หลังจากทานข้าวเสร็จ เราก็แบ่งกลุ่มกันไปเดินเล่นที่ถนนโอสุ ซึ่งผมก็ช็อปไปไม่น้อยอยู่เหมือนกัน
จากนั้นเราก็นั่งรถไปที่ห้องประชุมที่นึงครับ เราจะได้มาทำการdiscussion กันในเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมพร้อมแนวทางและข้อเสนอแนะ ซึ่งลำบากมากที่ต้องแปลทุกอย่างหัวออกมาให้ได้ทันเวลา55 แต่มีพี่สตาฟที่ค่อนข้างเก่งคอยช่วยซัพพอร์ต ทุกอย่างเลยลื่นไหลมากครับ
จากนั้นเราก็ออกไปนำเสนอให้กับเพื่อนๆฟังครับ
จากนั้นก็ต้องบอกมือลาเพื่อนๆญี่ปุ่นแล้ว เป็น10นาทีที่ทุกคนวุ่นวายมากครับ55 แลกIG
ถ่ายรูป จับมือ ฝากของฝาก พูดคุยกันเล็กน้อย เรียกได้ว่าถ้าตอนนั้นมีใครเปิดเพลงซึ้งๆอย่างNobody’s Knowขึ้นมาเนี่ย มีน้ำตาแตกกันแน่นอน
ตอนลงบันไดเลื่อนมาหันกลับไปมองละเห็นภาพนี้แล้วต้องหันังแล้วเดินต่อ น้ำตาซีมออมานิดนึงครับ555
มื้อเย็นมีไปกินชาบูญี่ปุ่นครับ ซึ่งพี่สตาฟญี่ปุ่นบอกว่า เป็นการกินแบบสั่งได้เรื่อยๆไม่จำกัดเลย ผมเลยบอกว่า ก็บุฟเฟ่ต์ใช่มั้ย เขาบอกว่าไม่ เพราะจะมีคนมาเสิร์ฟ555 สรุปคือ บุฟเฟ่ต์เรากับเขาคนละความหมายนะครับ55 บุฟเฟ่ต์ของเราคือกินเท่าไหร่ก็ได้ แต่แบบที่เขาเข้าใจ คือการกินที่เราต้องเดินไปตักอ่ะครับ555 ชาบูที่นี่วัตถุดิบดีมากๆ แต่ผมติดที่น้ำจิ้มครับ ผมไม่เคยต้องการน้ำจิ้มสุกี้ไทยขนาดนี้มาก่อน ผ่านไปสองวันแม้ว่าอาหารจะถูกจัดมาดีแค่ไหน ผมยังมูฟออนจากอาหารไทยไม่ได้ซักทีครับ55
คืนวันนั้น ผมเปิดดูกำหนดการของวันที่3ก็แอบกังวลใจเล็กน้อย เพราะวันที่3 จะเป็นวันที่ต้องไปอยู่กับโฮสต์ตั้งแต่9โมงเช้าจนถึง1ทุ่ม เรียกได้ว่าเต็มวันเลยครับ ซึ่งผมกลัวจะเข้ากับโฮสต์ไม่ได้ กลัวจะเกร็งๆ เลยเรียกได้ว่าแทบจะนอนไม่หลับเลย