สวัดดีครับวันนเราจะมาชวนเพื่อนๆไปเที่ยวเพรชบุรีแบบ 3 วัน 2 คืนกันครับ ที่อำเภอบ้านลาดกันครับ
การเดินทางของเรา
9:30 เราเริ่มเดินทางกันที่หัวลำโพง ขบวนที่ 261 รถไฟธรรมดา กรุงเทพ-หัวหิน
โดยเราซื้อตั๋วไปลงที่เขาทะโมน แต่แนะนำให้ไปลงที่สถานี เพรชบุรีเพราะ เดินทางง่ายกว่า
ค่าตั๋วอยู่ที่คนละ 36 บาท เราไปกัน 4 คน รวมเป็น 144 บาท
เราใช้เวลาบนรถไฟประมาณ 3-4 ชม บนรถไฟ
บนรถไฟจะมีน้ำขนมขายบนรถไฟตลอด เพื่อนๆสามารถซื้อของมากินได้ แต่เราอยากแนะนำให้พกน้ำเปล่าไป เนื่องจากตอนที่เราไป อากาศค่อนข้างร้อนเพราะไปช่วงเดือนเมษา
13:20 เมื่อเราถึงที่สถานีรถไฟ เขาทะโมนแล้ว เราจะเห็นจากรูปว่าสถานนีกำลังรีโนเวทอยู่ เราเลยอยากแนะนำคนที่อยากเที่ยวตาม ให้ลงที่สถานีเพรชบุรี เมื่อเราถึงแล้วเราจะโทรหาที่พักให้มารับเราเข้าไปที่พัก
โดยเราพักกันที่ สวนป่าท่าชื่นโฮมสเตย์ เราพักกันเป็นเวลา 3 วัน 2 คืน คือละ400บาท
กิจกรรมแรกที่เราทำกันคือเราปั่นจักรยานพื้นที่รอบ โดยพื้นที่รอบเป็น สวนมีเล้าไก่ ห่าน แล้วบ่อเต่า ให้เราได้เดินชม
หลังจากเราเดินรอบที่พัก เราได้ยืมจักรยานของที่พักปั่นไปยังพื้นที่ในชุมชนโดยวัดแรกที่เราไปมีชื่อว่า”วัดถ้ำรงค์” โดยวัดแห่งนี้จะหลวงพ่อดำ ที่คาดว่ามีอายุมากกว่า 800 ปีมาแล้ว ซึ่งเป็นองค์พระพุทธรูปที่คนในพื้นเคารพนับถือ และชอบคนมาบนบานกัน
และถัดมาในพื้นที่ใกล้เคียงจะมีเหมือนเป็นถ้ำโพรง ที่มีบันไดเดินขึ้นโดยคนในพืนที่เรียกกันว่า”ถ้ำพัง”
และจากการที่เราขึ่นไปจะสังเกตได้ว่าพระพุทธรูปที่อยู่ข้างบนนั้นค่อยข้างที่จะ มีลักษณะที่พัง แตกหัก
ไม่สมบูรณ์ จากการที่เราพูดคุยกับคนในพื้นที่แล้ว เราพบว่าคนในพื้นค่อยข้างที่จะมีความเชื่อว่าของที่วัดถ้ำพังค่อยข้างแรงไม่ควรไป ลบหลู่ เพราะเค้าเชื่อว่าของค่อนข้างแรง
ตอนเย็นเราทำการเดินทางไปยังตลาด ทางเราแนะนำว่าให้เหมารถหรือให้จ้างที่พักไป เพราะระยะระหว่างพักไปตลาดนั้นค่อยข้างไกลประมาณ 3 กิโลเมตร เราได้ทำการซื้อของ ขนมมากิน
โดยเราไปถึงตลาดช่วงเย็นๆของวัน แดดค่อยข้างร่มพอสมควร เราเดินซื้อของขนม เราได้พูดคุยกันพ่อค้าแม่ค้าในตลาด จนเราไปเจอคุณแม่ขายมะม่วงสังเกตเห็นพวกเราถ่ายคลิป เค้าจึงบอกให้ถ่ายรูปให้หน่อย พร้อมให้มะม่วงเรามา 2 ลูก
เราเดินซื้อของมากมาย ทั่งของคาวและของหวานไม่ว่าจะเป็น ขนมครก โรตี โดยตลาดที่เราไปส่วนใหญ่เป็นของทะเล ซื้อขายหอยแมลงภู่
ตอนเย็นถือว่าโชคดีมากเพราะที่พักเค้ามีงานเลี้ยงเค้าทำอาหารเพื่อเราด้วยซึ่งที่เค้าทำมีหนึ่งอย่างที่พวกเราชอบมากคือ “หลนหอยดอง” ซึ้งเป็นอาหารพื้นถิ่น
เช้าวันต่อมาเราได้ทำการเดินทางไปที่ สวนตาลลุงถนอมโดยเดินทางเข้าข้างหน้าเป็น คาเฟ่ มีเมนูกาแฟทั่วไปแต่จุดเด่นของที่นี้คือ จะใส่ลูกตาลเข้าไปด้วย ส่วน จขพ สั่งน้ำตาลสดมะนาวโซดา รสชาติออกหวาน อมเปรี้ยวลูกตาลเนื้อแน่น อร่อยมาก
ซึ่งในที่นี้ไม่ได้มีแค่คาเฟ่ แต่มีสวนตาลให้เดินชม ถ่ายรูป ช๊อปปิ้งซื้อของฝากได้
จากนั้นตอนบ่ายเราไปทำขนมตาลกันที่
โดยเค้าก็สอนตั้งแต่การทำเนื้อตาล ขั้นตอนการทำ และนี้ผลงานของเราที่เราทำขึ้นมา
และคุณป้ายังสอนการดูลูกตาล และยังเอาลูกตาลสดให้เรากินด้วย ลูกตาลหวานอร่อยมาก อยากให้ลองกิน
ป้าสมจิตรเค้าใจดีมาก พูดคุยสนุกโดยบ้านของป้าสมจิตรนั้นมีสุนัขหนึ่งตัวเป็นมิตรมากชอบเล่นกับคนมาก
จากนั่นเราก็กลับที่พักไปพักผ่อนกินข้าวเย็น…
วันที่3 เราได้ดูการโชว์ปีนต้นตาล สดๆจากต้น
และเค้าก็ทำการแกะสดๆให้เรากิน ตาลที่เรากินสดๆอันนี้คือลูกตาลอ่อน ส่วนใหญ่ที่เราเจอคือเอาไปทำลอยแก้ว
แถมคุณลุง เจ้าของที่พักยังพาเราไปเก็บรังผึ้ง แบบสดๆกันอีกด้วย
และนี้คือน้ำผึ่งที่หอมมาก คุณลุงบอกเราว่าเป็นผึ่งธรรมชาติ หอมกลิ่นดอกไม้มาก กลิ่นหอมสุด เรายังได้ชมการใช้ชีวิตของเค้า ว่าเค้าใช้ชีวิตยังไง
ถือว่าเป็น 3 วันสองคืนที่เรามีความสุขมากๆ ไม่เคยคิดว่าการมาเพรชบุรีจะได้มาทำกิจกรรมไรแบบนี้
ตอนขากลับ เราได้คุณลุงไปส่งที่สถานีเพรชบุรี
ขากลับเรามาขึ้นสถานีรถไฟ เพรชบุรี ไปลงที่สถานนีกรุงเทพ หรือหัวลำโพง
ค่าตั๋วขากลับ 34 บาท
ระหว่างทางเราได้เจอเหตุการณ์ประทับใจคือ นักท่องเที่ยว 2 คนโชว์เปิดหมวนบนขบวนรถไฟ
เรามาถึงกรุงเทพเวลาประมาณ 2 ทุ่ม
เราไปทริปกัน 3 วัน 2 คืน เป็นอีกหนึ่งทริปที่น่าจดจำและประทับใจมากๆ เพราะเราไม่เคยคิดว่าเพรชบุรี จะมีพื้นที่แบบนี้ด้วย เราได้ไปทำ workshop ทำขนม ได้ไป ชมสวนตาลดูการใช้ชีวิต ได้ไปตลาดในชุมชน ถือว่าเป็นประสมการณ์ที่ดีมากๆอีกอันนึง
สุดท้ายนี้อยากให้คนอยากไปเที่ยว ออกไปเที่ยวเลย เก็บกระเป๋าแล้วเดินออกไปสู่ที่ๆเราอยากไป ไปพักผ่อนในวันที่เราเหนื่อยล้า ไปใช้ชีวิตชิวๆ แบบไม่ต้องคิดอะไร แค่เราได้ใช้ชีวิตก็พอ
สุดท้ายขอให้นักเดินทางทุกคน ท่องเที่ยวแบบมีความสุข
[CR] ชวนเที่ยวเพรชบุรี ที่ไม่ได้มีดีแค่ทะเล ที่เขาทโมน
การเดินทางของเรา
9:30 เราเริ่มเดินทางกันที่หัวลำโพง ขบวนที่ 261 รถไฟธรรมดา กรุงเทพ-หัวหิน
โดยเราซื้อตั๋วไปลงที่เขาทะโมน แต่แนะนำให้ไปลงที่สถานี เพรชบุรีเพราะ เดินทางง่ายกว่า
ค่าตั๋วอยู่ที่คนละ 36 บาท เราไปกัน 4 คน รวมเป็น 144 บาท
เราใช้เวลาบนรถไฟประมาณ 3-4 ชม บนรถไฟ
บนรถไฟจะมีน้ำขนมขายบนรถไฟตลอด เพื่อนๆสามารถซื้อของมากินได้ แต่เราอยากแนะนำให้พกน้ำเปล่าไป เนื่องจากตอนที่เราไป อากาศค่อนข้างร้อนเพราะไปช่วงเดือนเมษา
13:20 เมื่อเราถึงที่สถานีรถไฟ เขาทะโมนแล้ว เราจะเห็นจากรูปว่าสถานนีกำลังรีโนเวทอยู่ เราเลยอยากแนะนำคนที่อยากเที่ยวตาม ให้ลงที่สถานีเพรชบุรี เมื่อเราถึงแล้วเราจะโทรหาที่พักให้มารับเราเข้าไปที่พัก
โดยเราพักกันที่ สวนป่าท่าชื่นโฮมสเตย์ เราพักกันเป็นเวลา 3 วัน 2 คืน คือละ400บาท
กิจกรรมแรกที่เราทำกันคือเราปั่นจักรยานพื้นที่รอบ โดยพื้นที่รอบเป็น สวนมีเล้าไก่ ห่าน แล้วบ่อเต่า ให้เราได้เดินชม
หลังจากเราเดินรอบที่พัก เราได้ยืมจักรยานของที่พักปั่นไปยังพื้นที่ในชุมชนโดยวัดแรกที่เราไปมีชื่อว่า”วัดถ้ำรงค์” โดยวัดแห่งนี้จะหลวงพ่อดำ ที่คาดว่ามีอายุมากกว่า 800 ปีมาแล้ว ซึ่งเป็นองค์พระพุทธรูปที่คนในพื้นเคารพนับถือ และชอบคนมาบนบานกัน
และถัดมาในพื้นที่ใกล้เคียงจะมีเหมือนเป็นถ้ำโพรง ที่มีบันไดเดินขึ้นโดยคนในพืนที่เรียกกันว่า”ถ้ำพัง”
และจากการที่เราขึ่นไปจะสังเกตได้ว่าพระพุทธรูปที่อยู่ข้างบนนั้นค่อยข้างที่จะ มีลักษณะที่พัง แตกหัก
ไม่สมบูรณ์ จากการที่เราพูดคุยกับคนในพื้นที่แล้ว เราพบว่าคนในพื้นค่อยข้างที่จะมีความเชื่อว่าของที่วัดถ้ำพังค่อยข้างแรงไม่ควรไป ลบหลู่ เพราะเค้าเชื่อว่าของค่อนข้างแรง
ตอนเย็นเราทำการเดินทางไปยังตลาด ทางเราแนะนำว่าให้เหมารถหรือให้จ้างที่พักไป เพราะระยะระหว่างพักไปตลาดนั้นค่อยข้างไกลประมาณ 3 กิโลเมตร เราได้ทำการซื้อของ ขนมมากิน
โดยเราไปถึงตลาดช่วงเย็นๆของวัน แดดค่อยข้างร่มพอสมควร เราเดินซื้อของขนม เราได้พูดคุยกันพ่อค้าแม่ค้าในตลาด จนเราไปเจอคุณแม่ขายมะม่วงสังเกตเห็นพวกเราถ่ายคลิป เค้าจึงบอกให้ถ่ายรูปให้หน่อย พร้อมให้มะม่วงเรามา 2 ลูก
เราเดินซื้อของมากมาย ทั่งของคาวและของหวานไม่ว่าจะเป็น ขนมครก โรตี โดยตลาดที่เราไปส่วนใหญ่เป็นของทะเล ซื้อขายหอยแมลงภู่
ตอนเย็นถือว่าโชคดีมากเพราะที่พักเค้ามีงานเลี้ยงเค้าทำอาหารเพื่อเราด้วยซึ่งที่เค้าทำมีหนึ่งอย่างที่พวกเราชอบมากคือ “หลนหอยดอง” ซึ้งเป็นอาหารพื้นถิ่น
เช้าวันต่อมาเราได้ทำการเดินทางไปที่ สวนตาลลุงถนอมโดยเดินทางเข้าข้างหน้าเป็น คาเฟ่ มีเมนูกาแฟทั่วไปแต่จุดเด่นของที่นี้คือ จะใส่ลูกตาลเข้าไปด้วย ส่วน จขพ สั่งน้ำตาลสดมะนาวโซดา รสชาติออกหวาน อมเปรี้ยวลูกตาลเนื้อแน่น อร่อยมาก
ซึ่งในที่นี้ไม่ได้มีแค่คาเฟ่ แต่มีสวนตาลให้เดินชม ถ่ายรูป ช๊อปปิ้งซื้อของฝากได้
จากนั้นตอนบ่ายเราไปทำขนมตาลกันที่
โดยเค้าก็สอนตั้งแต่การทำเนื้อตาล ขั้นตอนการทำ และนี้ผลงานของเราที่เราทำขึ้นมา
และคุณป้ายังสอนการดูลูกตาล และยังเอาลูกตาลสดให้เรากินด้วย ลูกตาลหวานอร่อยมาก อยากให้ลองกิน
ป้าสมจิตรเค้าใจดีมาก พูดคุยสนุกโดยบ้านของป้าสมจิตรนั้นมีสุนัขหนึ่งตัวเป็นมิตรมากชอบเล่นกับคนมาก
จากนั่นเราก็กลับที่พักไปพักผ่อนกินข้าวเย็น…
วันที่3 เราได้ดูการโชว์ปีนต้นตาล สดๆจากต้น
และเค้าก็ทำการแกะสดๆให้เรากิน ตาลที่เรากินสดๆอันนี้คือลูกตาลอ่อน ส่วนใหญ่ที่เราเจอคือเอาไปทำลอยแก้ว
แถมคุณลุง เจ้าของที่พักยังพาเราไปเก็บรังผึ้ง แบบสดๆกันอีกด้วย
และนี้คือน้ำผึ่งที่หอมมาก คุณลุงบอกเราว่าเป็นผึ่งธรรมชาติ หอมกลิ่นดอกไม้มาก กลิ่นหอมสุด เรายังได้ชมการใช้ชีวิตของเค้า ว่าเค้าใช้ชีวิตยังไง
ถือว่าเป็น 3 วันสองคืนที่เรามีความสุขมากๆ ไม่เคยคิดว่าการมาเพรชบุรีจะได้มาทำกิจกรรมไรแบบนี้
ตอนขากลับ เราได้คุณลุงไปส่งที่สถานีเพรชบุรี
ขากลับเรามาขึ้นสถานีรถไฟ เพรชบุรี ไปลงที่สถานนีกรุงเทพ หรือหัวลำโพง
ค่าตั๋วขากลับ 34 บาท
ระหว่างทางเราได้เจอเหตุการณ์ประทับใจคือ นักท่องเที่ยว 2 คนโชว์เปิดหมวนบนขบวนรถไฟ
เรามาถึงกรุงเทพเวลาประมาณ 2 ทุ่ม
เราไปทริปกัน 3 วัน 2 คืน เป็นอีกหนึ่งทริปที่น่าจดจำและประทับใจมากๆ เพราะเราไม่เคยคิดว่าเพรชบุรี จะมีพื้นที่แบบนี้ด้วย เราได้ไปทำ workshop ทำขนม ได้ไป ชมสวนตาลดูการใช้ชีวิต ได้ไปตลาดในชุมชน ถือว่าเป็นประสมการณ์ที่ดีมากๆอีกอันนึง
สุดท้ายนี้อยากให้คนอยากไปเที่ยว ออกไปเที่ยวเลย เก็บกระเป๋าแล้วเดินออกไปสู่ที่ๆเราอยากไป ไปพักผ่อนในวันที่เราเหนื่อยล้า ไปใช้ชีวิตชิวๆ แบบไม่ต้องคิดอะไร แค่เราได้ใช้ชีวิตก็พอ
สุดท้ายขอให้นักเดินทางทุกคน ท่องเที่ยวแบบมีความสุข
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้