สวัสดีค่ะ มีแพลนช่วงวันหยุดจะไปไหนกันหรือยังเอ่ย หากยังไม่มีลองเปิดใจดูรีวิวนี้กันก่อนอาจได้ที่เที่ยวใหม่เพิ่มมาก็ได้นะคะ วันนี้จะมาบอกเล่าถึงที่เที่ยวที่พวกเราไปกันมาและเป็นทริปที่ประทับใจมาก ๆ ค่ะ จังหวัดที่พวกเราไปนั้นคือ
อยุธยา หากพูดถึงอยุธยาเราก็จะนึกภาพว่าร้อนมากใช่ไหมค่ะ คิดถูกแล้วอากาศร้อนมากจริง ๆ ยิ่งถ้าไปหน้าร้อนในเดือนเมษายนแบบพวกเราแล้ว แทบไม่อยากออกไปไหนเลย พอนึกได้ว่าที่ที่พวกเราจองกันไปนั้นเป็นสถานที่แบบที่พวกเราไม่เคยไปกันมาก่อนก็อดไม่ได้ที่จะตั้งตารอ สถานที่นั้นคือ โฮมสเตย์หมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ไทรน้อย จังหวัดอยุธยา หมู่บ้านที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง มีรถจากตัวเมืองไปถึง ให้ความรู้สึกอบอุ่น เหมือนเราอยู่บ้านที่มีญาติ ๆ ทำอาหาร ทำกิจกรรมร่วมกันเหนื่อยก็พัก ไม่รักก็พอแฮร่!
เริ่มกันที่กรุงเทพกันก่อนเลยเรานัดเจอกับเพื่อน ๆ ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารคิวรถฟิวเจอร์รังสิต ฝั่งตรมข้ามฟิวเจอร์ติดสะพานลอย เวลา 10.00 น.
นั่งมินิบัสไปตลาดเจ้าพรหม ถึงเวลา 11 โมงกว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้องจริงไหมค่ะ ด้วยเรายังมีเวลาเหลือก่อนถึงเวลานัดที่ตกลงไว้กับโฮมสเตย์ (เวลาเที่ยงตรง) พวกเราจึงไปหาอะไรกินก่อน ระหว่างที่ตกลงนั้นก็ได้นึกขึ้นว่า อีกหนึ่งสิ่งที่ไปอยุธยาแล้วเราจะพบเห็นเยอะ คือ “ก๋วยเตี๋ยว” ไม่ว่าจะเป็นน้ำใส เย็นตาโฟ น้ำตก ต้มยำ ร้านเหล่านี้จะเห็นได้ตามข้างทาง เพื่อนของเราที่เป็นคนที่นี่บอกว่าหากมาอยุธยาแล้วไม่กินก๋วยเตี๋ยวถือว่ามาไม่ถึง แน่นอนว่าพวกเราจะไม่พลาด เราจึงเลือกร้านก๋วยเตี๋ยวยักษ์ใหญ่ที่ขึ้นชื่อในตลาดเจ้าพรหม
ร้านนี้ซ่อนตัวอยู่ในตลาด บรรยากาศเหมือนกับร้านอื่น ๆ ความพิเศษคือมีมังกรคาบแก้ว! งงใช่ไหมค่ะ มันคือ เต้าหู้ยัดไส้หมูสับปรุงรสสูตรเฉพาะของที่ร้าน หลังจากที่เรากินเสร็จแล้วก็ใกล้ถึงเวลานัดพอดี เราจึงเดินไปรอตามจุดที่นัดไว้ คนที่มารับพวกเราคือ คุณแมวการเดินทางจากตลาดไปหมู่บ้านใช้เวลาประมาณ 25 นาที มีคุณมยุรีรอต้อนรับอยู่ด้านนอก
ขอบอกก่อนว่าหากใครอยากมาเที่ยวที่นี่ ต้องจองล่วงหน้าเพื่อดูว่าทางหมู่บ้านสะดวกวันเวลาไหนบ้าง ถึงแม้เราอยากทำกิจกรรมอย่างเดียวไม่นอนค้างคืนเหมือนพวกเราก็ต้องติดต่อก่อนนะคะ เพราะแต่ละกิจกรรมก็เป็นคนในหมู่บ้านที่มาช่วยทำ โฮมสเตย์นี้เป็นเพียงการหารายได้เสริมอีกช่องทางหนึ่งของคนในหมู่บ้านค่ะ พวกเราเลือกที่จะพัก 1 คืนพร้อมกับทำกิจกรรม เราจะเริ่มทำกิจกรรมตอนบ่าย เวลาที่ยังไม่ถึงพวกเราพักผ่อนเก็บกระเป๋า เดินสำรวจรอบ ๆ บ้านส่วนใหญ่ที่จังหวัดนี้เป็นทรงไทย ยกสูง อย่างบ้านที่พวกเราพักมีการต่อเติมที่ด้านล่างเป็นห้องพัก
กิจกรรมแรกที่พวกเราทำนั้นคือ
การปักผ้าสไบมอญ ที่อยู่ในชุดแต่งกายของชาวมอญ พร้อมกับการเรียนรู้ประวัติความเป็นมาของชาวมอญอีกด้วย
ลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์มีชื่อว่า “ดาวล้อมเดือน” ที่มีดาวหลายดวงหรือคนมอญห้อมร้อมพระมหากษัตริย์, ลายปักตรงขอบผ้าชื่อ “ปุยเมฆ” ที่สื่อถึงสวรรค์ โดยรวมแล้วจะสื่อถึงความเคารพ จงรักภักดี นอกจากนี้ยังมีลายดอกมะเขือที่สื่อถึงความอ่อนน้อมอีกด้วย พอยุคสมัยเปลี่ยนคนรุ่นใหม่นิยมความสวยแต่เรียบง่าย จึงมีผลิตภัณฑ์อย่างอื่นและลายเพิ่มขึ้นมา เช่น หมวก กระเป๋าผ้า
ลวดลายทั้งหมดเป็นการปักด้วยมือทั้งหมดรับรองได้ว่าจะไม่ซ้ำใครแน่นอน และใช่ค่ะเราไม่พลาดที่จะอุดหนุนงานฝีมือ ก่อนไปทำกิจกรรมต่อไปพวกเราแวะไหว้พระที่
โบสถ์มหาอุตม์ ซึ่งเป็นโบราณสถาน
โบสถ์แห่งนี้ไม่ได้เปิดตลอดหากต้องการมาสักการะต้องติดต่อคนในหมู่บ้าน โบสถ์ถูกแยกออกจากวัดด้วยถนนทำให้อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน กิจกรรมต่อมาที่พวกเราทำกันคือ
ทำขนมไทย ทองเอกกับจ่ามงกุฎ ลืมบอกว่าในการทำกิจกรรมพวกเรานั่งรถของทางโฮมสเตย์ไปแต่ละสถานที่นะคะ เพราะแต่ละกิจกรรมจะอยู่ในบ้านของคนในชุมชน ถามว่าเดินไปได้ไหมจริง ๆ แล้วเดินได้ค่ะแต่ก็เสียเวลาพอควรจนทำให้กิจกรรมเวลาเคลื่อนได้ กลับมาที่ขนมของเราต่อ ขนมที่นี่จะหวานน้อย พวกเราได้ทำขนมจ่ามงกุฎตั้งแต่การทำส่วนตัวมงกุฎ (ส่วนสีเหลืองส้ม) ไปจนถึงการปั้นทำลวดลายใส่ส่วนฐานและปิดด้วยการแปะทองที่บนยอดมงกุฎ
ความพิเศษที่พวกเราไม่เคยเห็นกันคือ เมล็ดแตงโมฉาบน้ำตาล! บางคนอาจจะบอกว่าเวอร์แต่เราไม่เคยเห็นกันจริง ๆ ตามท้องตลาดจะขายแบบที่เป็นเมล็ดแกะแล้วมาแปะ เพราะลดขั้นตอนการทำที่ยุ่งยาก พอเมล็ดแตงโมหวาน ๆ เจอกับส่วนตัวมงกุฎ ที่หวานน้อย และส่วนฐานที่ใช้เนยจนหอมหลายสิ่งรวมกันจนเกิดความลงตัวอย่างมาก ทองเอกทำง่ายไปเลยค่ะหากเทียบกับจ่ามงกุฎเพียงแค่นำแป้งที่กวนแล้วกดขนมลงพิมพ์ แงะออกมาเป็นอันเสร็จ
หน้าตาน่าทานไหมค่ะฝีมือของพวกเรา พักเบรกด้วยการทำกิจกรรมที่สุขภาพกันดีกว่า
กะลามะพร้าวประดิษฐ์ เป็นตัวช่วยให้เราออกกำลังกายมีทั้งแบบแรกใช้ที่เท้า คอ แขน จะมีกะลา 4 อันเรียงกัน ส่วนที่ใช้กับหลังและบริเวณน่องบนมีกะลา 2 อัน
ระหว่างที่เราลองใช้มีแต่เสียงโอดครวญค่ะ นั่งหน้าคอมทั้งวัน ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย เส้นอย่างตึงความเจ็บแล่นปรี๊ดเลยค่ะ ตัดภาพมาที่คุณน้าผู้สอนตัวอ่อนกว่าพวกเราเยอะค่ะ หลังจากปวดตัวเสร็จเราก็ถูกปลอบประโลมด้วยของกินอีกแล้ว? กิจกรรมนี้เป็นการทำ
หมี่กรอบโบราณ
ความพิเศษของที่นี่คือ พอหมี่ที่ทอดคลุกกับน้ำปรุงแล้วจะไม่แข็งตัวค่ะ จกกินกันมันเลยค่ะ รสชาติเข้มข้นกลมกล่อม ทำเยอะ ๆ แล้วเราก็ช่วยแพ๊คใส่กล่องเพื่อนำไปขายในร้านโอทอป และกิจกรรมสุดท้ายสำหรับวันนี้คือการไปดูการ
ทำอิฐมอญด้วยมือแบบดั้งเดิม ฝุ่นตลบมากต้องหลับตากันเลยทีเดียว
สิ่งที่ทำให้พวกเราตกใจกันคือ การเรียงตัวของอิฐในขั้นตอนเผาค่ะ อิฐเรียงตัวต่อขึ้นสูง ต้องคอยเติมแกรบ เผาตลอดทั้งวันทั้งคืนเป็นเวลา 7 วัน กว่าจะได้ออกมาแต่ละก้อนเนี่ย ทั้งใช้เวลาใช้แรงมากพอสมควร มาถึงจุดนี้ก็เย็นแล้ว ถึงเวลาพักผ่อนพวกเราเดินจากที่พักไปร้านขายของชำเล็ก ๆ เพื่อไปซื้อของกินเล็กน้อยระหว่างรอข้าวเย็นค่ะ ระหว่างทางสัมผัสได้ถึงความเงียบสงบ พอกลับมาก็ได้กินข้าวเย็นกันแล้ว อาหารหลายอย่างข้าวเยอะจนพวกเราอิ่มกันไปเลยค่ะ
ระหว่างนั้นมีคุณมยุรีบอกเล่าถึงโครงการที่ทำโฮมสเตย์นี้ขึ้นมาค่ะ ว่าอยากที่จะให้ผู้สูงอายุในหมู่บ้านมีรายได้เสริมอยู่ได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องคอยพึ่งลูกหลาน จากนั้นแยกย้ายกันไปอาบน้ำเข้านอนค่ะ
เช้าวันถัดมาพวกเราตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้าเพื่อที่จะตักบาตร บรรยากาศเงียบสงบ ไม่ร้อนมากในตอนเช้าทำให้จิตใจเราสงบได้ หลังจากนั้นหลับต่อจนถึง 8 โมงเช้าเพื่อมากินข้าว อาหารเช้าเป็นข้าวต้ม และอาบแต่งตัวเพื่อเริ่มกิจกรรมแรกคือ
ทำยาหม่องที่เราชื่นชอบกันเป็นพิเศษนั่นเอง ที่นี่จะมีผลิตภัณฑ์จากไพล ขมิ้น มะกรูด
ภาชนะที่ใส่มีความหลากหลายมีทั้งแบบทั่วไปและตีตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ ยังมีเทียนหอมและอย่างอื่นขายด้วย เราซื้อกลับไปกันเยอะมากเลยค่ะ
กิจกรรมต่อไปคือ การทำปุ๋ย ไส้เดือนเป็นสัตว์ที่เดี๋ยวนี้เห็นได้ยากมาก ในสถานที่เลี้ยงมองไปในบ่อเราจะไม่เห็นต้องแหวกดินดูถึงจะเห็นค่ะ
บางคนอาจจะยังไม่รู้ปุ๋ยไส้เดือนเราใช้แต่ของเสียของไส้เดือนนะคะ ซึ่งพอเราเลี้ยงไปสักหนึ่งอาทิตย์เราจะเห็นได้ชัดเลยค่ะว่าของเสียจะแยกออกจากดินเดิม ที่บ้านหลังนี้จะปลูกต้นไม้แนวพืชสวน นำผลผลิตไปขายและให้ไส้เดือนกิน ขับรถไปที่วัดหนึ่งจะเห็นร่องรอยน้ำท่วม เห็นเป็นคราบอย่างชัดเจน
แวะกินก๋วยเตี๋ยวเรือที่ร้านเล็ก ๆ ข้างทาง ถึงแม้ชามจะเล็กแต่ความอร่อยสุดยอดมาก มื้อสุดท้ายของที่นี่นับเป็นการปิดจบที่ดีงามมาก และมาถึงกิจกรรมสุดท้ายบางคนคงนึกว่าหมดแล้วใช้ไหมค่ะแต่ยังค่ะ กิจกรรมนี้เป็นการชม
การเพาะไม้มงคล หากสังเกตการตั้งชื่อของคนไทยจะต้องมีความหมายที่ดี ชื่อต้นไม้ส่วนใหญ่จึงเป็นชื่อที่เกี่ยวข้องกับเงินทอง
ชื่อต้นไม้ส่วนใหญ่จึงเป็นชื่อที่เกี่ยวข้องกับเงินทอง และก็ถึงเวลาที่ต้องเก็บข้าวของเพื่อบอกลาที่ที่สุดแสนจะน่ารักแห่งนี้ค่ะ พวกเราชื่นชอบที่แห่งนี้มาก หากมีโอกาสจะกลับมาอีกครั้งค่ะ ผู้คนน่ารัก กิจกรรมหลากหลาย เป็นที่ที่ดีมาก คุณลุงแมวไปส่งที่ตลาดเจ้าพรหมที่เดิม พวกเรานั่งรถตู้สาธารณะไปตลาดบ้านแพน รอคุณแม่ของเพื่อนมารับ หลังจากนี้เราจะเดินทางด้วยรถส่วนตัวนะคะ ก่อนไปที่บ้านเราก็แวะซื้ออาหารที่ตลาดเพื่อที่จะนำไปทำมื้อเย็นในวันนี้ บ้านของเพื่อนจะติดคลอง สไตล์ไทย เป็นชั้นเดียวยกสูง ด้านที่ติดคลองจะเรียกกันว่า “หน้าบ้าน” เป็นด้านที่มีระเบียงและบันไดลงไปที่คลอง ด้านที่มีประตูเข้าออกจากด้านนอกเรียก “หลังบ้าน” ตัดมาที่มื้อเย็นร่วมกันทำอาหารกินกันเอง สนุกไปอีกแบบค่ะ ...การเดินทางของพวกเรายังไม่จบนะคะรอติดตามต่อ
[CR] หนีเมืองใหญ่ไปเมืองเก่า Welcome to my hometown อยุธยาที่เรารัก~
เริ่มกันที่กรุงเทพกันก่อนเลยเรานัดเจอกับเพื่อน ๆ ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารคิวรถฟิวเจอร์รังสิต ฝั่งตรมข้ามฟิวเจอร์ติดสะพานลอย เวลา 10.00 น.
ขอบอกก่อนว่าหากใครอยากมาเที่ยวที่นี่ ต้องจองล่วงหน้าเพื่อดูว่าทางหมู่บ้านสะดวกวันเวลาไหนบ้าง ถึงแม้เราอยากทำกิจกรรมอย่างเดียวไม่นอนค้างคืนเหมือนพวกเราก็ต้องติดต่อก่อนนะคะ เพราะแต่ละกิจกรรมก็เป็นคนในหมู่บ้านที่มาช่วยทำ โฮมสเตย์นี้เป็นเพียงการหารายได้เสริมอีกช่องทางหนึ่งของคนในหมู่บ้านค่ะ พวกเราเลือกที่จะพัก 1 คืนพร้อมกับทำกิจกรรม เราจะเริ่มทำกิจกรรมตอนบ่าย เวลาที่ยังไม่ถึงพวกเราพักผ่อนเก็บกระเป๋า เดินสำรวจรอบ ๆ บ้านส่วนใหญ่ที่จังหวัดนี้เป็นทรงไทย ยกสูง อย่างบ้านที่พวกเราพักมีการต่อเติมที่ด้านล่างเป็นห้องพัก
กิจกรรมแรกที่พวกเราทำนั้นคือ การปักผ้าสไบมอญ ที่อยู่ในชุดแต่งกายของชาวมอญ พร้อมกับการเรียนรู้ประวัติความเป็นมาของชาวมอญอีกด้วย
ลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์มีชื่อว่า “ดาวล้อมเดือน” ที่มีดาวหลายดวงหรือคนมอญห้อมร้อมพระมหากษัตริย์, ลายปักตรงขอบผ้าชื่อ “ปุยเมฆ” ที่สื่อถึงสวรรค์ โดยรวมแล้วจะสื่อถึงความเคารพ จงรักภักดี นอกจากนี้ยังมีลายดอกมะเขือที่สื่อถึงความอ่อนน้อมอีกด้วย พอยุคสมัยเปลี่ยนคนรุ่นใหม่นิยมความสวยแต่เรียบง่าย จึงมีผลิตภัณฑ์อย่างอื่นและลายเพิ่มขึ้นมา เช่น หมวก กระเป๋าผ้า
ลวดลายทั้งหมดเป็นการปักด้วยมือทั้งหมดรับรองได้ว่าจะไม่ซ้ำใครแน่นอน และใช่ค่ะเราไม่พลาดที่จะอุดหนุนงานฝีมือ ก่อนไปทำกิจกรรมต่อไปพวกเราแวะไหว้พระที่โบสถ์มหาอุตม์ ซึ่งเป็นโบราณสถาน
โบสถ์แห่งนี้ไม่ได้เปิดตลอดหากต้องการมาสักการะต้องติดต่อคนในหมู่บ้าน โบสถ์ถูกแยกออกจากวัดด้วยถนนทำให้อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน กิจกรรมต่อมาที่พวกเราทำกันคือ ทำขนมไทย ทองเอกกับจ่ามงกุฎ ลืมบอกว่าในการทำกิจกรรมพวกเรานั่งรถของทางโฮมสเตย์ไปแต่ละสถานที่นะคะ เพราะแต่ละกิจกรรมจะอยู่ในบ้านของคนในชุมชน ถามว่าเดินไปได้ไหมจริง ๆ แล้วเดินได้ค่ะแต่ก็เสียเวลาพอควรจนทำให้กิจกรรมเวลาเคลื่อนได้ กลับมาที่ขนมของเราต่อ ขนมที่นี่จะหวานน้อย พวกเราได้ทำขนมจ่ามงกุฎตั้งแต่การทำส่วนตัวมงกุฎ (ส่วนสีเหลืองส้ม) ไปจนถึงการปั้นทำลวดลายใส่ส่วนฐานและปิดด้วยการแปะทองที่บนยอดมงกุฎ
ความพิเศษที่พวกเราไม่เคยเห็นกันคือ เมล็ดแตงโมฉาบน้ำตาล! บางคนอาจจะบอกว่าเวอร์แต่เราไม่เคยเห็นกันจริง ๆ ตามท้องตลาดจะขายแบบที่เป็นเมล็ดแกะแล้วมาแปะ เพราะลดขั้นตอนการทำที่ยุ่งยาก พอเมล็ดแตงโมหวาน ๆ เจอกับส่วนตัวมงกุฎ ที่หวานน้อย และส่วนฐานที่ใช้เนยจนหอมหลายสิ่งรวมกันจนเกิดความลงตัวอย่างมาก ทองเอกทำง่ายไปเลยค่ะหากเทียบกับจ่ามงกุฎเพียงแค่นำแป้งที่กวนแล้วกดขนมลงพิมพ์ แงะออกมาเป็นอันเสร็จ
หน้าตาน่าทานไหมค่ะฝีมือของพวกเรา พักเบรกด้วยการทำกิจกรรมที่สุขภาพกันดีกว่า กะลามะพร้าวประดิษฐ์ เป็นตัวช่วยให้เราออกกำลังกายมีทั้งแบบแรกใช้ที่เท้า คอ แขน จะมีกะลา 4 อันเรียงกัน ส่วนที่ใช้กับหลังและบริเวณน่องบนมีกะลา 2 อัน
ความพิเศษของที่นี่คือ พอหมี่ที่ทอดคลุกกับน้ำปรุงแล้วจะไม่แข็งตัวค่ะ จกกินกันมันเลยค่ะ รสชาติเข้มข้นกลมกล่อม ทำเยอะ ๆ แล้วเราก็ช่วยแพ๊คใส่กล่องเพื่อนำไปขายในร้านโอทอป และกิจกรรมสุดท้ายสำหรับวันนี้คือการไปดูการทำอิฐมอญด้วยมือแบบดั้งเดิม ฝุ่นตลบมากต้องหลับตากันเลยทีเดียว
สิ่งที่ทำให้พวกเราตกใจกันคือ การเรียงตัวของอิฐในขั้นตอนเผาค่ะ อิฐเรียงตัวต่อขึ้นสูง ต้องคอยเติมแกรบ เผาตลอดทั้งวันทั้งคืนเป็นเวลา 7 วัน กว่าจะได้ออกมาแต่ละก้อนเนี่ย ทั้งใช้เวลาใช้แรงมากพอสมควร มาถึงจุดนี้ก็เย็นแล้ว ถึงเวลาพักผ่อนพวกเราเดินจากที่พักไปร้านขายของชำเล็ก ๆ เพื่อไปซื้อของกินเล็กน้อยระหว่างรอข้าวเย็นค่ะ ระหว่างทางสัมผัสได้ถึงความเงียบสงบ พอกลับมาก็ได้กินข้าวเย็นกันแล้ว อาหารหลายอย่างข้าวเยอะจนพวกเราอิ่มกันไปเลยค่ะ
เช้าวันถัดมาพวกเราตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้าเพื่อที่จะตักบาตร บรรยากาศเงียบสงบ ไม่ร้อนมากในตอนเช้าทำให้จิตใจเราสงบได้ หลังจากนั้นหลับต่อจนถึง 8 โมงเช้าเพื่อมากินข้าว อาหารเช้าเป็นข้าวต้ม และอาบแต่งตัวเพื่อเริ่มกิจกรรมแรกคือ ทำยาหม่องที่เราชื่นชอบกันเป็นพิเศษนั่นเอง ที่นี่จะมีผลิตภัณฑ์จากไพล ขมิ้น มะกรูด
แวะกินก๋วยเตี๋ยวเรือที่ร้านเล็ก ๆ ข้างทาง ถึงแม้ชามจะเล็กแต่ความอร่อยสุดยอดมาก มื้อสุดท้ายของที่นี่นับเป็นการปิดจบที่ดีงามมาก และมาถึงกิจกรรมสุดท้ายบางคนคงนึกว่าหมดแล้วใช้ไหมค่ะแต่ยังค่ะ กิจกรรมนี้เป็นการชมการเพาะไม้มงคล หากสังเกตการตั้งชื่อของคนไทยจะต้องมีความหมายที่ดี ชื่อต้นไม้ส่วนใหญ่จึงเป็นชื่อที่เกี่ยวข้องกับเงินทอง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้