ต่อจากกระทู้เดิม ที่เราทำตัวเอง...
ตอนนี้เรารักษา ตัวเองได้ ประมาณ 3 ปีแล้ว และอาการเริ่มดีขึ้น จากการกินยา พบจิตแพทย์ตามนัด และกำลังใจ
เราเป็นโรคซึมเศร้า เป็นคนที่ทำร้ายตัวเอง ตอนเด็กๆสมัย วัยรุ่น เราชอบระบายความเสียใจ ความโกรธโดยการต่อยกำแพง จนเป็นนิสัย พอต่อยแล้วมันรู้สึกดีขึ้นอันนี้เราคิดไปเอง ตอนนี้คิดได้แล้วว่า ไม่จริง
พอเราโตขึ้นมาช่วงนึงที่เกิดผลกระทบทางจิตใจ ที่เราทำขึ้นเอง เรามีภาวะ นอนหลับเยอะ นอนเท่าไหร่ก็ไม่พอ ซึม ไม่พูดกับใคร เวลานอนคือชอบฝันและเหมือนคนคิดตลอดเวลา และมีความคิดฆ่าตัวตาย จากนั้นเราได้ทำร้ายร่างกายตัวเองขึ้น จนได้เข้าโรงบาล และได้พบกับจิตแพทย์ได้เข้าปรึกษา กินยา แต่อารมณ์รุนแรงก็ยังไม่หาย หมอจึงส่งตัวไปบำบัด กับโรงบาลแห่งหนึ่ง เป็นการบำบัดรวมกันหมด ทั้งยาเสพติด ทั้งคนเป็นโรคไบโพล่า ที่รวมกันอยู่ห้องเดียว ไม่สามารถออกไปไหนได้ อยู่แต่ในห้องมีประตูกั้นอย่างดี และต้องอยู่บนเตียงกินข้าวก็กินบนเตียง อาบน่ำรวมกัน มีห้องน้ำไม่กี่ห้องต้องแย่งกันเข้าเป็นแบบนี้จนครบ 14 วันถึงจะได้ออก เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงโควิด พออยู่ข้างใน ทำให้เราคิดเรื่องราวที่ผ่านมา อยู๋กับตัวเองมากขึ้นทบทวนตัวเองอยู่อย่างนั้น จนถึงเวลาหมออนุญาตให้ออกจากโรงบาล แต่การกินยาอย่างต่อเนื่องเราก็ต้องกินและต้องหาโรงบาลทั้งสองแห่งอยู่ เวลากินยาเรามีอาการสั่น เลยต้องกินยากันสั่น ควบคู่กับยาโรคซึมเศร้า การรักษาของเรา ทำให้ต้องพักงานเพราะทำงานไม่ได้ จากการที่โดนพักงาน เราก็ตั้งใจ ที่จะเลิกและเข้ารักษาอย่างจริงจัง
หมอได้แนะนำให้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อที่จะให้ระบายออกมายิ่งเครียดเท่าไหร่เรายิ่งต้องออกกำลังกายให้นานที่สุดให้จนเหนื่อยจนเลิกคิด
และต้องหากิจกรรมอะไรก็ได้ ที่ทำไม่ให้คิดมาก จมอยู่กับความคิดตัวเอง และไปตามหมอนัด ระบายและบอกอาการกับหมอทุกครั้ง ช่วงแรกๆเรากินยาวันนึง 10 กว่าเม็ด แต่เรารับการรักษา มาแล้ว 3 ปี เราเหลือกินยาอยู่ 3 ตัว กินยาต้านเศร้า ยาปรับอารมณ์ และคล้ายเครียด
ต้องยังกินยาพวกนี้อยู่ประจำ เพราะถ้าไม่กินยา เราจะมีอาการฝันร้ายอยู่ตลอดเวลาตื่นมาก็เสียใจ ฝันเรื่องเดิมๆทุกครั้ง แบบนี้ทุกวัน แต่การใช้ชีวิตเริ่มดีขึ้น
กลับมาหางานใหม่ และเราได้เข้าบริษัทแห่งหนึ่ง เขายอมรับในตัวเราที่เราเป็นโรคซึมเศร้า และเราต้องหยุดงาน เดือนละ 2 ครั้งในการหาหมอ 2 ที่
ช่วงแรกๆงานเราก็มีผิดพลาดบ้างเพราะเราไม่ได้ทำงานมาเกือบปี แต่พอ 3 เดือนผ่านไป เราพยายามทำให้เจ้านายเห็นว่าเราสามารถทำงานได้ ไม่มีปัญหากับการทำงานแล้ว จากที่เรา หาหมอ 2 โรงบาล กลายมา หาหมอ โรงบาลเดียว และรับการรักษาจนตอนนี้ อาการซึมเศร้าของเราเริ่มดีขึ้นตามลำดับ แต่ยังหยุดกินยาไม่ได้ยังต้องเข้าการรับการรักาาอยู่ แต่ จากที่เคยหาหมอเดือนละครั้ง กลายมาหาหมอ 3 เดือนครั้ง ผลข้างเคียงจากยาอาจมีบ้างแต่ก็เล็กน้อย และมันทำให้เรารู้สึกไม่อยากทำร้ายร่างกายตัวเอง หรืออยากฆ่าตัวตายอีก เพราะคนรอบข้างและตัวเรา
จากที่เคยคิดว่าตายๆไปก็จบ แต่ตอนนี้ เราคิดถึงอนาคตและเริ่มต้นใหม่ ยอมเผชิญกับปัญาที่เข้ามา และเอาสิ่งที่ผ่านมาเป็นบทเรียน เชื่อว่าทุกคนจะผ่านมันไปได้ โรคซึมเศร้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต่างกันออกไป แต่เชื่อเถอะ เข้ารับการรักษาคือสิ่งที่ดีที่สุด
ภาวะโรคซึมเศร้า เกิดจากตัวเราเอง
ตอนนี้เรารักษา ตัวเองได้ ประมาณ 3 ปีแล้ว และอาการเริ่มดีขึ้น จากการกินยา พบจิตแพทย์ตามนัด และกำลังใจ
เราเป็นโรคซึมเศร้า เป็นคนที่ทำร้ายตัวเอง ตอนเด็กๆสมัย วัยรุ่น เราชอบระบายความเสียใจ ความโกรธโดยการต่อยกำแพง จนเป็นนิสัย พอต่อยแล้วมันรู้สึกดีขึ้นอันนี้เราคิดไปเอง ตอนนี้คิดได้แล้วว่า ไม่จริง
พอเราโตขึ้นมาช่วงนึงที่เกิดผลกระทบทางจิตใจ ที่เราทำขึ้นเอง เรามีภาวะ นอนหลับเยอะ นอนเท่าไหร่ก็ไม่พอ ซึม ไม่พูดกับใคร เวลานอนคือชอบฝันและเหมือนคนคิดตลอดเวลา และมีความคิดฆ่าตัวตาย จากนั้นเราได้ทำร้ายร่างกายตัวเองขึ้น จนได้เข้าโรงบาล และได้พบกับจิตแพทย์ได้เข้าปรึกษา กินยา แต่อารมณ์รุนแรงก็ยังไม่หาย หมอจึงส่งตัวไปบำบัด กับโรงบาลแห่งหนึ่ง เป็นการบำบัดรวมกันหมด ทั้งยาเสพติด ทั้งคนเป็นโรคไบโพล่า ที่รวมกันอยู่ห้องเดียว ไม่สามารถออกไปไหนได้ อยู่แต่ในห้องมีประตูกั้นอย่างดี และต้องอยู่บนเตียงกินข้าวก็กินบนเตียง อาบน่ำรวมกัน มีห้องน้ำไม่กี่ห้องต้องแย่งกันเข้าเป็นแบบนี้จนครบ 14 วันถึงจะได้ออก เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงโควิด พออยู่ข้างใน ทำให้เราคิดเรื่องราวที่ผ่านมา อยู๋กับตัวเองมากขึ้นทบทวนตัวเองอยู่อย่างนั้น จนถึงเวลาหมออนุญาตให้ออกจากโรงบาล แต่การกินยาอย่างต่อเนื่องเราก็ต้องกินและต้องหาโรงบาลทั้งสองแห่งอยู่ เวลากินยาเรามีอาการสั่น เลยต้องกินยากันสั่น ควบคู่กับยาโรคซึมเศร้า การรักษาของเรา ทำให้ต้องพักงานเพราะทำงานไม่ได้ จากการที่โดนพักงาน เราก็ตั้งใจ ที่จะเลิกและเข้ารักษาอย่างจริงจัง
หมอได้แนะนำให้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อที่จะให้ระบายออกมายิ่งเครียดเท่าไหร่เรายิ่งต้องออกกำลังกายให้นานที่สุดให้จนเหนื่อยจนเลิกคิด
และต้องหากิจกรรมอะไรก็ได้ ที่ทำไม่ให้คิดมาก จมอยู่กับความคิดตัวเอง และไปตามหมอนัด ระบายและบอกอาการกับหมอทุกครั้ง ช่วงแรกๆเรากินยาวันนึง 10 กว่าเม็ด แต่เรารับการรักษา มาแล้ว 3 ปี เราเหลือกินยาอยู่ 3 ตัว กินยาต้านเศร้า ยาปรับอารมณ์ และคล้ายเครียด
ต้องยังกินยาพวกนี้อยู่ประจำ เพราะถ้าไม่กินยา เราจะมีอาการฝันร้ายอยู่ตลอดเวลาตื่นมาก็เสียใจ ฝันเรื่องเดิมๆทุกครั้ง แบบนี้ทุกวัน แต่การใช้ชีวิตเริ่มดีขึ้น
กลับมาหางานใหม่ และเราได้เข้าบริษัทแห่งหนึ่ง เขายอมรับในตัวเราที่เราเป็นโรคซึมเศร้า และเราต้องหยุดงาน เดือนละ 2 ครั้งในการหาหมอ 2 ที่
ช่วงแรกๆงานเราก็มีผิดพลาดบ้างเพราะเราไม่ได้ทำงานมาเกือบปี แต่พอ 3 เดือนผ่านไป เราพยายามทำให้เจ้านายเห็นว่าเราสามารถทำงานได้ ไม่มีปัญหากับการทำงานแล้ว จากที่เรา หาหมอ 2 โรงบาล กลายมา หาหมอ โรงบาลเดียว และรับการรักษาจนตอนนี้ อาการซึมเศร้าของเราเริ่มดีขึ้นตามลำดับ แต่ยังหยุดกินยาไม่ได้ยังต้องเข้าการรับการรักาาอยู่ แต่ จากที่เคยหาหมอเดือนละครั้ง กลายมาหาหมอ 3 เดือนครั้ง ผลข้างเคียงจากยาอาจมีบ้างแต่ก็เล็กน้อย และมันทำให้เรารู้สึกไม่อยากทำร้ายร่างกายตัวเอง หรืออยากฆ่าตัวตายอีก เพราะคนรอบข้างและตัวเรา
จากที่เคยคิดว่าตายๆไปก็จบ แต่ตอนนี้ เราคิดถึงอนาคตและเริ่มต้นใหม่ ยอมเผชิญกับปัญาที่เข้ามา และเอาสิ่งที่ผ่านมาเป็นบทเรียน เชื่อว่าทุกคนจะผ่านมันไปได้ โรคซึมเศร้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต่างกันออกไป แต่เชื่อเถอะ เข้ารับการรักษาคือสิ่งที่ดีที่สุด