หน้าแรก
คอมมูนิตี้
ห้อง
แท็ก
คลับ
ห้อง
แก้ไขปักหมุด
ดูทั้งหมด
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
แท็ก
แก้ไขปักหมุด
ดูเพิ่มเติม
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
{room_name}
{name}
{description}
กิจกรรม
แลกพอยต์
อื่นๆ
ตั้งกระทู้
เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก
เว็บไซต์ในเครือ
Bloggang
Pantown
PantipMarket
Maggang
ติดตามพันทิป
ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้
เกี่ยวกับเรา
กฎ กติกา และมารยาท
คำแนะนำการโพสต์แสดงความเห็น
นโยบายเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล
สิทธิ์การใช้งานของสมาชิก
ติดต่อทีมงาน Pantip
ติดต่อลงโฆษณา
ร่วมงานกับ Pantip
Download App Pantip
Pantip Certified Developer
3 วัน 3 คืนกับวิถีริมฝั่งโขง ดินแดนที่เผชิญหน้ากับพระอาทิตย์ก่อนผู้ใดในสยาม
กระทู้คำถาม
บันทึกนักเดินทาง
เที่ยวเชิงอนุรักษ์
Backpack
โฮมสเตย์
เที่ยวไทย
สวัสดีครับ พวกเราได้มีโอกาสไปเดินทางเก็บเกี่ยวประสบการณ์ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่จังหวัดอุบลราชธานี อำเภอโขงเจียมเป็นเวลาทั้งหมด 3 วัน 3 คืน ซึ่งการท่องเที่ยวครั้งนี้เริ่มจากการที่เรามีโอกาสในการจัดทริปการท่องเที่ยวเองจากวิชาในมหาวิทยาลัย พวกเราจึงมีข้ออ้างให้กับทริปครั้งนี้ว่าเป็นการไปทำงาน ไม่ใช่ไปเที่ยว(ถึงแม้ว่าเราจะสนุกจนเกือบลืมทำงานเลยก็ตาม) เราได้ทำการรวมตัวกันเพื่อพูดคุยในการเลือกสถานที่ท่องเที่ยวจากการเข้าไปดูคลิปท่องเที่ยวใน Youtube จนได้ไปเจอกับคลิปของ Pigkaploy ที่ได้ไปเที่ยว “ฟ้าใสโฮมสเตย์” ณ โขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี แล้วทั้งกลุ่มเห็นพ้องต้องกันว่าน่าสนใจ(สวย น่าเที่ยว และถูกมาก!!) พวกเราไม่รอช้า จึงทำการโทรไปสอบถามและทำการจองอย่างเสร็จสรรพภายในไม่กี่วัน
เราได้ตกลงกันเดินทางไปในวันที่ 20-23 เมษายน 2566 ซึ่งเป็นช่วงหลังสงกรานต์ทำให้ค่อนข้างน้อยและทำให้ค่าตั๋วเครื่องบินขากลับถูกมาก
เราจึงรีบจองตั๋วกลับกันโดยไม่รีรอ ซึ่งค่าตั๋วเครื่องบินนั้นอยู่ที่ราคา 1,095 บ. เท่านั้นครับ จากนั้นก็เตรียมตัวรอเพื่อที่จะไปเที่ยวโดยขาไปเราจะไปกันด้วยรถทัวร์ครับ เริ่มคืนแรก 20 เมษายน 2566 พวกเรานัดรวมตัวกันตอนเย็นที่ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร หรือหมอชิต2) และออกเดินทางโดยรถทัวร์บริษัท วัฒนาสาคร ทัวร์ เวลา 19.30 น. โดยจะมีสมาชิก 1 คนล่วงหน้าไปก่อนแล้ว เราจึงเหลือกันทั้งหมด 4 คน ที่จะเดินทางไปพร้อมกัน
มาพบกับสมาชิกคนแรกของเรานั่นก็คือ นางสาว สลินนั่นเองนะครับทุกคน เมื่อมาถึงที่ บขส. พวกเราก็ตุนอาหารกันก่อนเลยเพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้องนะครับ
สมาชิกคนต่อไปชื่อ โอ็ต คนนี้ดูท่าจะหิวกว่าเพื่อน จึงไปซัดก๋วยเตี๋ยวโดยไม่รีรอใคร และเมื่อทานเสร็จเราก็จะไปขึ้นรถกันเลยครับ
เช้าวันแรก 21 เมษายน 2566 เราใช้เวลาบนรถทัวร์ไปทั้งหมดราว 12 ชั่วโมง เป็นการเดินทางอันยาวนานและทรมานอย่างหาที่สุดมิได้ (พวกเรานั่งกันจนปวดท้องและเท้าบวม) จนคิดว่าในชีวิตนี้จะไม่ขอนั่งแบบนี้อีกแล้ว แม้ว่ารถจะมีการแวะพักรถ 1 ครั้งแต่ไม่ได้ทำให้ความทรมานนี้หายไปเลย
แนะนำตัวคนที่พาเราไปเที่ยว ไปผจญภัยในทริปนี้นะครับ นั่นก็คือพี่อาทิตย์เจ้าของโฮมสเตย์นั่นเอง เมื่อเราเดินทางมาถึงแล้วพี่อาทิตย์ก็ได้เข้ามารับเราที่ปลายทางสถานีที่จุดจอดรถตำบลนาโพธิ์กลางของเราทัวร์ด้วยกระบะคันเก่งของเขาอย่างเป็นมิตร
นี่คือหน้าที่พักของเรานะครับ และเมื่อไปถึงก็ไม่รอช้าเข้าไปเติมพลังกันอย่างว่องไวด้วยข้าวเช้าฝีมือพี่ๆ ที่ครัวฟ้าใส ระหว่างรอข้าวพี่อาทิตย์ได้เล่าว่า ที่ฟ้าใสโฮมสเตย์เป็นที่พักที่ทำร่วมกับกลุ่มพัฒนาชุมชน ร่วมกับภาครัฐสนับสนุนเพื่อนำเสนอการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เพื่อให้ผู้คนที่มาท่องเที่ยวได้ศึกษาวิถีชีวิตริมโขงอย่างแท้จริง
ต่อมาเราจะแนะนำตัวสมาชิกคนต่อไปนะครับ นั่นก็คือผู้ใหญ่บ้านเสื้อแดงของเรานั่นเอง (อาร์ม) ถือได้ว่าเป็นเดอะแบกของทีมเลยก็ว่าได้ เพราะอาร์มรู้จักวิถีชีวิตของชานบ้านอยู่แล้วและทำเป็นทุกอย่าง กินทุกอย่าง เป็นเดอะแบกของทีมโดยแท้
หลังทานอาหารเสร็จแล้วก็ต่อด้วยการนอนกลางวันที่กระท่อมริมโขง เพื่อรอเพื่อนคนสุดท้ายมาสมทบพร้อมกับรอพี่อาทิตย์ทำธุระเสร็จ ซึ่งในที่กระท่อมก็จะมีที่นอน หมอน มุ้ง และ พัดลมเท่านั้น เมื่อได้เวลาอันสมควรพวกเราทั้งหมดก็ขึ้นกระบะพี่อาทิตย์ ให้พี่อาทิตย์ได้พาเราไปซ้อมติดป่าและหาอาหารเย็นสำหรับวันนี้
ก่อนจะเข้าป่าพวกเราได้แวะไปดูแพะที่พี่อาทิตย์เลี้ยงไว้ น้องๆ น่ารักมากตัวที่เด็กขนนุ่มมากกกก เหมือนกับหมาเลย โดยพี่อาทิตย์และพ่อพี่อาทิตย์ได้กล่าวไว้ว่า การเลี้ยงสัตว์ของชาวอีสานนั้นนอกจากวัวและควายก็ยังมีแพะที่มีหลายครัวเรือนที่ทำเป็นอาชีพหลักและส่งให้กับครัวเรือนที่ต้องการ เมื่อเลี้ยงแพะเสร็จแล้วเราก็เดินเข้าสวนยางพาราของพี่อาทิตย์กันโดยพี่อาทิตย์ได้กล่าวว่าในการเดินป่านั้น น้ำเป็นสิ่งที่สำคัญและหมดได้ง่ายที่สุด ดังนั้นเราจึงมีผลไม้ป่าที่จะช่วยดับกระหายเราได้มากมาย (หลังจากนี้จะเป็นการลองผลไม้แทนการหาอาหารเย็นแทนแล้วครับ 55555)
โดยผลไม้ชนิดแรกที่พี่อาทิตย์แนะนำคือ ลิ้นจี่ป่าที่เปรี้ยวมากกกก ตามด้วยลูกส่านที่มีกลิ่นเหมือนมะเฟืองแต่แทบไม่มีรสชาติใดๆ
ปิดท้ายสวนยางพาราด้วยผลของมะม่วงหิมพานต์ ที่จำเป็นจะต้องตัดหัวและตูดออก ตัวผลมีรสฟาดมากกกก แต่ก็มีน้ำเยอะที่สุดเหมาะที่จะดับกระหายมากที่สุด
หลังจากนั้นเราได้เข้าป่าไผ่กันโดยที่เป้าหมายแรกของเราคือ “ดอกกระเจียว” ซึ่งเป็นพืชล้มลุกที่คนนอีสานนิยมทานกันตอนที่ดอกยังไม่บานโดยเราจะขุดกันตามพื้น เพื่อไปต้มเป็นอาหารเย็นของพวกเรา จากนั้นเราก็เดินต่อไปเพื่อหาหน่อไม้โดยพี่อาทิตย์กล่าวว่าคนอีสานชอบจุดไฟเผาป่าเพราะจุดที่เกิดการเผาป่าจะทำให้เห็นเพาะเกิดหลังจากฝนตกชุ่มๆ อีกทั้งยังมีหน่อไม้ป่าที่จะเกิดดีมากๆ เวลาโดนไฟไหม้เช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีเพราะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดฝุ่น PM 2.5 ซึ่งทางภาคเหนือก็ประสบปัญหาแบบนี้เหมือนกัน (การเผาป่าเพื่อให้เกิดของป่า)
ในป่าไผ่ก็ยังมีลูกหวดที่เกินขึ้นเองตามธรรมชาติมีรสหวานชุ่มคอ ดับกระหายพร้อมรสชาติหวานสดชื่นที่สุดในบรรดาผลไม้ป่าทั้งหมดที่ได้เจอในวันนี้
ปิดท้ายด้วยการแวะเก็บใบขี้เหล็กเพื่อนำไปทำแกงขี้เหล็กเพิ่มเติมสำหรับมื้อเย็น
และสมาชิกคนต่อไปของเรานั้นก็คือคนที่อยู่ตรงกลางนะครับ (ไอซ์) ไอซ์เป็นคนที่ยังไงก็ได้เลยกับทริปนี้พร้อมทำทุกอย่างแต่ก็แอบบ่นว่าเหนื่อยอยู่นะ
หลังถึงที่พักเราก็ไปเก็บของเพื่อที่จะไปเล่นน้ำดังรูปและรอจับกุ้งตอนที่กุ้งออกมาแล้วในช่วงกลางคืน(หลัง 1 ทุ่ม) เพื่อที่จะนำไปทำอาหารอย่างสุดท้ายของเรา
การหากุ้งของเราจะใช้อวนที่มีความกว้างขนาดสองคนถือ ติดไม้ไผ่ไว้สองฝั่งใช้สองคนลากอวนไปใต้น้ำค่อยๆ เดินช้าๆ เลาะตามชายฝั่งโขงไปเรื่อยๆ และ จนกระทั่งได้ระยะหนึ่งแล้วจะทำการยกขึ้นมาบนฝั่งและช่วยกันดูว่ามีกุ้งอยู่ไหมหากมีจะทำการหยิบใส่ถังทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนได้กุ้งที่มากพอทำก้อยกุ้ง
อาหารเย็นของเราในวันนี้ก็จะมี ดอกกระเจียวต้ม แกงขี้เหล็กหนังวัว และก้อยกุ้งแม่น้ำโขง ที่มาจากหยาดเหงื่อและแรงกายของพวกเราหลังจากได้ทานแล้วบอกเลยว่าหายเหนื่อย!!
ตอนแรกเราวางแผนกันจะไปผาชะนะได ซึ่งเป็นที่ที่เหมาะกับการชมพระอาทิตย์ขึ้นกันแต่พี่อาทิตย์บอกว่าเขากำลังปิดปรับปรุงอยู่เราจึงเปลี่ยนแผนมาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่กระท่อมพี่อาทิตย์แทน เช้าวันที่สอง 22 เมษายน หลังจากการชมพระอาทิตย์เราได้ไปเดินแวะตลาดเพื่อหาข้าวเช้า เมื่อไปถึงก็ได้เวลาตลาดวายแล้ว แต่ยังโชคดีที่ยังพอมีร้านอาหารหลงเหลืออยู่ให้เราสามารถหาอาหารทำให้เราอิ่มท้องกัน
หลังจากเติมพลังตอนเช้าแล้วพี่อาทิตย์ได้พาไปเยี่ยมชมการเลี้ยงวัวตามวิถีริมฝั่งโขง
ตกบ่ายด้วยอากาศที่ร้อนเกินไป เราจึงกลับที่พักกัน และนอนพักกันที่กระท่อมเพื่อรออากาศเย็นลง เมื่อตกเย็นคุณพ่อพี่อาทิตย์ได้พาเราล่องเรือไปยังสวนหินใกล้ที่พักที่อยู่กลางแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นบริเวณที่ชาวบ้านจะมาเล่นน้ำ และทำการขึงเบ็ดหาปลาในทะเลไว้กับโขนหินในสวนหินนี้
กลับจากเล่นน้ำพวกเราก็ทำการพักผ่อนด้วยหมูกระทะริมฝั่งโขงเพื่อออมแรงไว้อีเว้นท์สุดท้ายของเราในวันรุ่งขึ้น
เช้าต่อมา
วันที่ 23 เมษายน วันสุดท้ายที่โขงเจียม เช้าวันนี้หลังจากการตื่นนอนพวกเราได้รวมตัวกันและล่องเรือไปกับคุณพ่อเพื่อไปที่ตลาดของชาวประมงน้ำจืดที่โขงเจียม
บรรยากาศของตลาดปลาจะเป็นโขกหินที่มีเรือประมงของชาวบ้านมาจอดรวมกัน และทำการค้าขายปลากัน คุณพ่อฯ ได้แนะนำพวกเราให้กับกลุ่มชาวประมงได้รู้จัก
คุณพ่อฯได้นำปลาหลากหลายชนิดมาเผาให้พวกเราได้ทานกับน้ำจิ้มแจ๋วเป็นอาหารเช้า พร้อมกับ “โบทิดา” สุราขาวจากฝั่งลาวที่รสละมุนลิ้น ลื่นคอ แถมราคาถูก ทางชาวประมงได้เล่าให้ฟังว่า “เขื่อนไซยะบุรีที่ถูกสร้างขึ้นมาทำให้น้ำฝั่งของเราไม่ลดลงเลยจนส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์” ส่งผลให้การประมงแบบยุคสมัยก่อนกำลังจะหมดไป คนรุ่นใหม่นิยมนำเทคโนโลยีมาช่วยมากขึ้นเกินความจำเป็น ทำให้สิ่งผลต่อวัฏจักรชีวิตของสัตว์น้ำ ทำให้สัตว์น้ำเกิดการขาดแคลนและหากดำเนินต่อไปอาจจะทำให้ระบบนิเวศน์ทางน้ำพังทะลายลงได้
สุดท้ายนี้หลังเราล่องเรือกลับมาจากตลาดชาวประมง พวกเราก็ได้ทำการอาบน้ำ ทานข้าวพร้อมนั่งรถไปยังสนามบินเพื่อเดินทางกลับ
▼
กำลังโหลดข้อมูล...
▼
แสดงความคิดเห็น
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
~ : + : ✿ ทริปวันเกิดพ่อ ~ พาพ่อแม่เที่ยวอุบลฯ พักทอแสง โขงเจียม ~ 2 วัน 1 คืน ✿ : + : ~
สวัสดีวันพ่อค่ะเพื่อนๆ ที่รักการเดินทางท่องเที่ยวและถ่ายภาพทุกๆ ท่าน เนื่องในโอกาสวันเกิดคุณพ่อของเรา 7 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา พี่สาวเราเลยจัดทริปครอบครัวขึ้นพาคุณพ่อ คุณแม่ไปเ
ข้าวปุ้นจอมยุ่ง
แก่งช้างหมอบ แก่งหิน หาดทราย และไม้อัศจรรย์แห่งแม่น้ำโขง "ลำแซง "
แก่งช้างหมอบ แก่งหิน หาดทราย และไม้อัศจรรย์แห่งแม่น้ำโขง "ลำแซง " แก่งช้างหมอบ ตั้งอยู่ที่อำเภอเขมราฐ ซึ่งจะตั้งอยู่ห่างจากเมืองอุบลราชธานีประมาณ&n
ไอ้คล้าวผจญภัย
เที่ยว วัดลำดวน อำเภอเมือง จังหวัด หนองคาย
วัดนี้ อยู่ใกล้กับ พระธาตุหล้าหนอง และ ตลาดไทย - ลาว ถนน เลียบริมแม่ น้ำโขง นะครับ
หนี่งหน่อง
จุดชมวิวทะเลหมอก ริมแม่น้ำโขง เดินทางง่ายๆ
ภูห้วยอีสัน อ.สังคม จ.หนองคาย จากตัวจังหวัดหนองคาย ใช้เส้นทางหมายเลข 211 เลาะริมแม่น้ำโขง ระยะทาง 100 กิโลเมตรถ้วน การขึ้นภูห้วยอีสัน จ่ายค่ารถอีแต๊กชาวบ้านคนละ 80 บาท แต่พวกเราเดินขึ้นเอง ออกกำลังก
Trail and travel
ฮ่องละคร หรือ น้ำตกโบกละคร เดินป่าหาเห็ด แค้มป์ริมน้ำตก บ้านตามุย โขงเจียม อุบลราชธานี
ฮ่องละคร หรือ น้ำตกโบกละคร เดินป่าหาเห็ด แค้มป์ริมน้ำตก บ้านตามุย โขงเจียม อุบลราชธานี #น้ำตกโบกละคร หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า #ฮ่องละคร ตั้งอยู่ในเขต
ไอ้คล้าวผจญภัย
[TripNote] ลุงอ้วนอิ่มพากิน : อัมพลเบอร์เกอร์ รอบอ่างบางพระ ชลบุรี
วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2568 - GMT+07:00 🕒 12:35 น. 📌 Ampol Burger สาขาบางพระ (อำพลเบอร์เกอร์ สาขาบางพระ) 💵 995 บาท ★★★★★ เบอร์เกอร์อร่อย ร้านริมป่า น่านั่ง ไปอุดหนุนได้ สลัดกุ้ง น้
ลุงอ้วนอิ่ม
มูลนิธิส่งเสริมคุณธรรม เต๋ก ก๋า จีไน้เกาะ หนองคาย
มูลนิธินี้อยู่ระหว่าง วัดศรีบุญเรือง และ วัดลำดวน ถนนเลียบริมน้ำแม่โขง อำเภอเมืองจังหวัดหนองคาย
หนี่งหน่อง
ไทยรัฐทีวี นั่งเรือไปถ่ายจากกลางแม่น้ำโขง ไม่เจอขึ้นจากน้ำ แต่ขึ้นมาจากฝั่งลาวทั้งนั้น !!
Soft Power อาจจะตกกระแสไปนิดหน่อย แต่ถือว่าเป็นข้อมูลใหม่ ที่สำคัญมากๆ เกี่ยวกับปริศนา "บั้งไฟพญานาค" ครับ หลังจากที่ปีนี้ ทีมข่าวของช่องไทยรัฐทีวี&
parn 256
บ้านท่าล้ง อ.โขงเจียม จ.อุบล ชิวๆชุมชนเล็กๆริมสายน้ำโขง (เดินผาโสก วิถีริมโขง บั้งไฟพญานาค)
บ้านท่าล้ง อ.โขงเจียม จ.อุบล ชิวๆชุมชนเล็กๆริมสายน้ำโขง (ผาโสก วิถีริมโขง ชมบั้งไฟพญานาค) บ้านท่าล้ง อ.โขงเจียม จ.อุบลฯ เป็นชุมชนริมโขงที่มีความสงบร่
ไอ้คล้าวผจญภัย
บ้านแซว…วิถีความสุขริมฝั่งโขง
หกโมงเช้าวันนั้น…เราตื่นขึ้นมายืนมองน้ำ มองฟ้า มองป่า มองสายหมอก…เรายืนอยู่ริมฝั่งโขง ยืนอยู่ที่ ตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย อยู่ในอาณาบริเวณของ บ้านแซวการ์เด้น แอนด์ รีสอร
คน ฟ้า ป่า น้ำ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
บันทึกนักเดินทาง
เที่ยวเชิงอนุรักษ์
Backpack
โฮมสเตย์
เที่ยวไทย
บนสุด
ล่างสุด
อ่านเฉพาะข้อความเจ้าของกระทู้
หน้า:
หน้า
จาก
แชร์ :
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ยอมรับ
3 วัน 3 คืนกับวิถีริมฝั่งโขง ดินแดนที่เผชิญหน้ากับพระอาทิตย์ก่อนผู้ใดในสยาม
สวัสดีครับ พวกเราได้มีโอกาสไปเดินทางเก็บเกี่ยวประสบการณ์ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่จังหวัดอุบลราชธานี อำเภอโขงเจียมเป็นเวลาทั้งหมด 3 วัน 3 คืน ซึ่งการท่องเที่ยวครั้งนี้เริ่มจากการที่เรามีโอกาสในการจัดทริปการท่องเที่ยวเองจากวิชาในมหาวิทยาลัย พวกเราจึงมีข้ออ้างให้กับทริปครั้งนี้ว่าเป็นการไปทำงาน ไม่ใช่ไปเที่ยว(ถึงแม้ว่าเราจะสนุกจนเกือบลืมทำงานเลยก็ตาม) เราได้ทำการรวมตัวกันเพื่อพูดคุยในการเลือกสถานที่ท่องเที่ยวจากการเข้าไปดูคลิปท่องเที่ยวใน Youtube จนได้ไปเจอกับคลิปของ Pigkaploy ที่ได้ไปเที่ยว “ฟ้าใสโฮมสเตย์” ณ โขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี แล้วทั้งกลุ่มเห็นพ้องต้องกันว่าน่าสนใจ(สวย น่าเที่ยว และถูกมาก!!) พวกเราไม่รอช้า จึงทำการโทรไปสอบถามและทำการจองอย่างเสร็จสรรพภายในไม่กี่วัน
เราได้ตกลงกันเดินทางไปในวันที่ 20-23 เมษายน 2566 ซึ่งเป็นช่วงหลังสงกรานต์ทำให้ค่อนข้างน้อยและทำให้ค่าตั๋วเครื่องบินขากลับถูกมาก
เราจึงรีบจองตั๋วกลับกันโดยไม่รีรอ ซึ่งค่าตั๋วเครื่องบินนั้นอยู่ที่ราคา 1,095 บ. เท่านั้นครับ จากนั้นก็เตรียมตัวรอเพื่อที่จะไปเที่ยวโดยขาไปเราจะไปกันด้วยรถทัวร์ครับ เริ่มคืนแรก 20 เมษายน 2566 พวกเรานัดรวมตัวกันตอนเย็นที่ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร หรือหมอชิต2) และออกเดินทางโดยรถทัวร์บริษัท วัฒนาสาคร ทัวร์ เวลา 19.30 น. โดยจะมีสมาชิก 1 คนล่วงหน้าไปก่อนแล้ว เราจึงเหลือกันทั้งหมด 4 คน ที่จะเดินทางไปพร้อมกัน
มาพบกับสมาชิกคนแรกของเรานั่นก็คือ นางสาว สลินนั่นเองนะครับทุกคน เมื่อมาถึงที่ บขส. พวกเราก็ตุนอาหารกันก่อนเลยเพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้องนะครับ
สมาชิกคนต่อไปชื่อ โอ็ต คนนี้ดูท่าจะหิวกว่าเพื่อน จึงไปซัดก๋วยเตี๋ยวโดยไม่รีรอใคร และเมื่อทานเสร็จเราก็จะไปขึ้นรถกันเลยครับ
เช้าวันแรก 21 เมษายน 2566 เราใช้เวลาบนรถทัวร์ไปทั้งหมดราว 12 ชั่วโมง เป็นการเดินทางอันยาวนานและทรมานอย่างหาที่สุดมิได้ (พวกเรานั่งกันจนปวดท้องและเท้าบวม) จนคิดว่าในชีวิตนี้จะไม่ขอนั่งแบบนี้อีกแล้ว แม้ว่ารถจะมีการแวะพักรถ 1 ครั้งแต่ไม่ได้ทำให้ความทรมานนี้หายไปเลย
แนะนำตัวคนที่พาเราไปเที่ยว ไปผจญภัยในทริปนี้นะครับ นั่นก็คือพี่อาทิตย์เจ้าของโฮมสเตย์นั่นเอง เมื่อเราเดินทางมาถึงแล้วพี่อาทิตย์ก็ได้เข้ามารับเราที่ปลายทางสถานีที่จุดจอดรถตำบลนาโพธิ์กลางของเราทัวร์ด้วยกระบะคันเก่งของเขาอย่างเป็นมิตร
นี่คือหน้าที่พักของเรานะครับ และเมื่อไปถึงก็ไม่รอช้าเข้าไปเติมพลังกันอย่างว่องไวด้วยข้าวเช้าฝีมือพี่ๆ ที่ครัวฟ้าใส ระหว่างรอข้าวพี่อาทิตย์ได้เล่าว่า ที่ฟ้าใสโฮมสเตย์เป็นที่พักที่ทำร่วมกับกลุ่มพัฒนาชุมชน ร่วมกับภาครัฐสนับสนุนเพื่อนำเสนอการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เพื่อให้ผู้คนที่มาท่องเที่ยวได้ศึกษาวิถีชีวิตริมโขงอย่างแท้จริง
ต่อมาเราจะแนะนำตัวสมาชิกคนต่อไปนะครับ นั่นก็คือผู้ใหญ่บ้านเสื้อแดงของเรานั่นเอง (อาร์ม) ถือได้ว่าเป็นเดอะแบกของทีมเลยก็ว่าได้ เพราะอาร์มรู้จักวิถีชีวิตของชานบ้านอยู่แล้วและทำเป็นทุกอย่าง กินทุกอย่าง เป็นเดอะแบกของทีมโดยแท้
หลังทานอาหารเสร็จแล้วก็ต่อด้วยการนอนกลางวันที่กระท่อมริมโขง เพื่อรอเพื่อนคนสุดท้ายมาสมทบพร้อมกับรอพี่อาทิตย์ทำธุระเสร็จ ซึ่งในที่กระท่อมก็จะมีที่นอน หมอน มุ้ง และ พัดลมเท่านั้น เมื่อได้เวลาอันสมควรพวกเราทั้งหมดก็ขึ้นกระบะพี่อาทิตย์ ให้พี่อาทิตย์ได้พาเราไปซ้อมติดป่าและหาอาหารเย็นสำหรับวันนี้
ก่อนจะเข้าป่าพวกเราได้แวะไปดูแพะที่พี่อาทิตย์เลี้ยงไว้ น้องๆ น่ารักมากตัวที่เด็กขนนุ่มมากกกก เหมือนกับหมาเลย โดยพี่อาทิตย์และพ่อพี่อาทิตย์ได้กล่าวไว้ว่า การเลี้ยงสัตว์ของชาวอีสานนั้นนอกจากวัวและควายก็ยังมีแพะที่มีหลายครัวเรือนที่ทำเป็นอาชีพหลักและส่งให้กับครัวเรือนที่ต้องการ เมื่อเลี้ยงแพะเสร็จแล้วเราก็เดินเข้าสวนยางพาราของพี่อาทิตย์กันโดยพี่อาทิตย์ได้กล่าวว่าในการเดินป่านั้น น้ำเป็นสิ่งที่สำคัญและหมดได้ง่ายที่สุด ดังนั้นเราจึงมีผลไม้ป่าที่จะช่วยดับกระหายเราได้มากมาย (หลังจากนี้จะเป็นการลองผลไม้แทนการหาอาหารเย็นแทนแล้วครับ 55555)
โดยผลไม้ชนิดแรกที่พี่อาทิตย์แนะนำคือ ลิ้นจี่ป่าที่เปรี้ยวมากกกก ตามด้วยลูกส่านที่มีกลิ่นเหมือนมะเฟืองแต่แทบไม่มีรสชาติใดๆ
ปิดท้ายสวนยางพาราด้วยผลของมะม่วงหิมพานต์ ที่จำเป็นจะต้องตัดหัวและตูดออก ตัวผลมีรสฟาดมากกกก แต่ก็มีน้ำเยอะที่สุดเหมาะที่จะดับกระหายมากที่สุด
หลังจากนั้นเราได้เข้าป่าไผ่กันโดยที่เป้าหมายแรกของเราคือ “ดอกกระเจียว” ซึ่งเป็นพืชล้มลุกที่คนนอีสานนิยมทานกันตอนที่ดอกยังไม่บานโดยเราจะขุดกันตามพื้น เพื่อไปต้มเป็นอาหารเย็นของพวกเรา จากนั้นเราก็เดินต่อไปเพื่อหาหน่อไม้โดยพี่อาทิตย์กล่าวว่าคนอีสานชอบจุดไฟเผาป่าเพราะจุดที่เกิดการเผาป่าจะทำให้เห็นเพาะเกิดหลังจากฝนตกชุ่มๆ อีกทั้งยังมีหน่อไม้ป่าที่จะเกิดดีมากๆ เวลาโดนไฟไหม้เช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีเพราะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดฝุ่น PM 2.5 ซึ่งทางภาคเหนือก็ประสบปัญหาแบบนี้เหมือนกัน (การเผาป่าเพื่อให้เกิดของป่า)
ในป่าไผ่ก็ยังมีลูกหวดที่เกินขึ้นเองตามธรรมชาติมีรสหวานชุ่มคอ ดับกระหายพร้อมรสชาติหวานสดชื่นที่สุดในบรรดาผลไม้ป่าทั้งหมดที่ได้เจอในวันนี้
ปิดท้ายด้วยการแวะเก็บใบขี้เหล็กเพื่อนำไปทำแกงขี้เหล็กเพิ่มเติมสำหรับมื้อเย็น
และสมาชิกคนต่อไปของเรานั้นก็คือคนที่อยู่ตรงกลางนะครับ (ไอซ์) ไอซ์เป็นคนที่ยังไงก็ได้เลยกับทริปนี้พร้อมทำทุกอย่างแต่ก็แอบบ่นว่าเหนื่อยอยู่นะ
หลังถึงที่พักเราก็ไปเก็บของเพื่อที่จะไปเล่นน้ำดังรูปและรอจับกุ้งตอนที่กุ้งออกมาแล้วในช่วงกลางคืน(หลัง 1 ทุ่ม) เพื่อที่จะนำไปทำอาหารอย่างสุดท้ายของเรา
การหากุ้งของเราจะใช้อวนที่มีความกว้างขนาดสองคนถือ ติดไม้ไผ่ไว้สองฝั่งใช้สองคนลากอวนไปใต้น้ำค่อยๆ เดินช้าๆ เลาะตามชายฝั่งโขงไปเรื่อยๆ และ จนกระทั่งได้ระยะหนึ่งแล้วจะทำการยกขึ้นมาบนฝั่งและช่วยกันดูว่ามีกุ้งอยู่ไหมหากมีจะทำการหยิบใส่ถังทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนได้กุ้งที่มากพอทำก้อยกุ้ง
อาหารเย็นของเราในวันนี้ก็จะมี ดอกกระเจียวต้ม แกงขี้เหล็กหนังวัว และก้อยกุ้งแม่น้ำโขง ที่มาจากหยาดเหงื่อและแรงกายของพวกเราหลังจากได้ทานแล้วบอกเลยว่าหายเหนื่อย!!
ตอนแรกเราวางแผนกันจะไปผาชะนะได ซึ่งเป็นที่ที่เหมาะกับการชมพระอาทิตย์ขึ้นกันแต่พี่อาทิตย์บอกว่าเขากำลังปิดปรับปรุงอยู่เราจึงเปลี่ยนแผนมาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่กระท่อมพี่อาทิตย์แทน เช้าวันที่สอง 22 เมษายน หลังจากการชมพระอาทิตย์เราได้ไปเดินแวะตลาดเพื่อหาข้าวเช้า เมื่อไปถึงก็ได้เวลาตลาดวายแล้ว แต่ยังโชคดีที่ยังพอมีร้านอาหารหลงเหลืออยู่ให้เราสามารถหาอาหารทำให้เราอิ่มท้องกัน
หลังจากเติมพลังตอนเช้าแล้วพี่อาทิตย์ได้พาไปเยี่ยมชมการเลี้ยงวัวตามวิถีริมฝั่งโขง
ตกบ่ายด้วยอากาศที่ร้อนเกินไป เราจึงกลับที่พักกัน และนอนพักกันที่กระท่อมเพื่อรออากาศเย็นลง เมื่อตกเย็นคุณพ่อพี่อาทิตย์ได้พาเราล่องเรือไปยังสวนหินใกล้ที่พักที่อยู่กลางแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นบริเวณที่ชาวบ้านจะมาเล่นน้ำ และทำการขึงเบ็ดหาปลาในทะเลไว้กับโขนหินในสวนหินนี้
กลับจากเล่นน้ำพวกเราก็ทำการพักผ่อนด้วยหมูกระทะริมฝั่งโขงเพื่อออมแรงไว้อีเว้นท์สุดท้ายของเราในวันรุ่งขึ้น
เช้าต่อมา
วันที่ 23 เมษายน วันสุดท้ายที่โขงเจียม เช้าวันนี้หลังจากการตื่นนอนพวกเราได้รวมตัวกันและล่องเรือไปกับคุณพ่อเพื่อไปที่ตลาดของชาวประมงน้ำจืดที่โขงเจียม
บรรยากาศของตลาดปลาจะเป็นโขกหินที่มีเรือประมงของชาวบ้านมาจอดรวมกัน และทำการค้าขายปลากัน คุณพ่อฯ ได้แนะนำพวกเราให้กับกลุ่มชาวประมงได้รู้จัก
คุณพ่อฯได้นำปลาหลากหลายชนิดมาเผาให้พวกเราได้ทานกับน้ำจิ้มแจ๋วเป็นอาหารเช้า พร้อมกับ “โบทิดา” สุราขาวจากฝั่งลาวที่รสละมุนลิ้น ลื่นคอ แถมราคาถูก ทางชาวประมงได้เล่าให้ฟังว่า “เขื่อนไซยะบุรีที่ถูกสร้างขึ้นมาทำให้น้ำฝั่งของเราไม่ลดลงเลยจนส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์” ส่งผลให้การประมงแบบยุคสมัยก่อนกำลังจะหมดไป คนรุ่นใหม่นิยมนำเทคโนโลยีมาช่วยมากขึ้นเกินความจำเป็น ทำให้สิ่งผลต่อวัฏจักรชีวิตของสัตว์น้ำ ทำให้สัตว์น้ำเกิดการขาดแคลนและหากดำเนินต่อไปอาจจะทำให้ระบบนิเวศน์ทางน้ำพังทะลายลงได้
สุดท้ายนี้หลังเราล่องเรือกลับมาจากตลาดชาวประมง พวกเราก็ได้ทำการอาบน้ำ ทานข้าวพร้อมนั่งรถไปยังสนามบินเพื่อเดินทางกลับ