บางทีการเดินทางก็เริ่มต้นด้วยคำว่า " GEN 411 วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว " ซึ่งเป็นรายวิชาหนึ่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
การไปเที่ยวครั้งนี้มีผู้ร่วมทริปด้วยกันทั้งหมด 5 คน คือ เกรท นุ่น เพชร เบนซ์ และน้องมงคล น้องเล็กสุดของกลุ่มเรา ถ้าไม่ได้ลงเรียนวิชานี้ พวกเราทั้ง 5 คนก็คงไม่ได้มารู้จักกันและไม่ได้มาบรรจงสรรสร้างกระทู้พันทิปนี้ออกมา
# บันทึกการเดินทางของเด็กบางมด
_____
ถ้าจะให้เล่าว่าทำไมพวกเราถึงเลือกจังหวัดพะเยาและจังหวัดแพร่ ก็คงเป็นเพราะคำว่า
พวกเราอยากนอนโฮมสเตย์
ถ้ากดค้นหาในอินเตอร์เน็ตภาคแรกที่ขึ้นโชว์บนหน้าจอก็คงหนีไม่พ้นภาคเหนืออย่างแน่นอน นั่นจึงทำให้พวกเราหยิบโทรศัพท์คู่ใจขึ้นมาก้มหน้าก้มตาหาสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดภาคเหนือทันที
โดยเป้าหมายในการไปเที่ยวครั้งนี้คือการไปเยือนจังหวัดที่คนไม่นิยมไปเที่ยวและยังไม่ได้รับ
การโปรโมทการท่องเที่ยวมากนัก และพวกเราอยากทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น “เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน” โดยอยากให้ครอบคลุมทั้งการท่องเที่ยว เชิงอนุรักษ์ เชิงวัฒนธรรม เชิงจิตวิญญาณ เชิงอาหาร และเชิงนิเวศ
พะเยาจึงเป็นจังหวัดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของพวกเรา เคยได้ยินคำว่า กว๊านพะเยา มานานมากแล้วแต่พวกเราทั้ง 5 คนยังไม่เคยไปสัมผัสและเห็นด้วยตาจริงๆสักที นั่นจึงทำให้พวกเราไม่ลังเลเลยที่จะปักหมุดจังหวัดนี้เอาไว้ แต่ถ้าไปเที่ยวจังหวัดเดียวมันก็คงไม่จุใจวัยรุ่นอย่างเราเท่าไร ขึ้นเหนือทั้งที
อย่างน้อยก็อยากไปเยือนสัก 2 จังหวัด
แล้วอีกจังหวัด เราจะไปที่ไหนกันดีล่ะ ?
เป็นประโยคคำถามที่ทำให้พวกเราต้องก้มหน้าก้มตาสไลด์จอกันอีกครั้ง ใช้เวลาอยู่นานนับชั่วโมงก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้สักที เพราะบางจังหวัดเพื่อนคนนี้ก็เคยไปแล้ว เพื่อนคนนั้นก็เคยไปแล้ว ช้อยส์การเลือกจังหวัดก็เหลือน้อยลงจนแทบจะไม่มีให้เลือก
" เออ วันที่ 17 เมษายน แพร่มีวันไหลนะ "
แต่แล้วก็เหมือนมีเสียงสวรรค์จากนุ่น ที่ทำให้พวกเราเงยหน้าขึ้นมาแทบพร้อมกัน ตาลุกวาวเป็นประกายกับคำว่าวันไหล
" ไป! "
ไม่ต้องเสียเวลาคิดให้มากนักกับพวกนักศึกษาชั้นปีที่ 4 อย่างพวกเรา 4 คน และน้องมงคลน้องเล็กชั้นปีที่ 3 ก็เห็นด้วย เพราะนี่เป็นปีแรกที่ประเทศไทยกลับมาเปิดให้คนได้เล่นสงกรานต์หลังจากสถานการณ์
โควิด แล้วมีหรือที่เด็กวัยรุ่นอย่างพวกเราจะพลาด
และนี่ก็คงเป็นจุดเริ่มต้นของพวกเราทั้ง 5 คน ที่มาจากต่างกลุ่ม ต่างภาควิชาแต่ต้องร่วมเดินทางไปด้วยกันในทริปนี้
—
16 เมษายน 2566
เวลา 20.00 น.
จังหวัดกรุงเทพมหานคร
เป็นเวลาสองทุ่มตรงพวกเราได้เคลื่อนย้ายพลลงมาจากแท็กซี่ก้าวเท้าเข้าไปในสถานีกลางบางซื่อ
เพื่อขึ้นยานพาหนะที่จะทำให้เราไปถึงจุดหมายปลายทางอย่างจังหวัดแพร่ อำเภอเด่นชัย
เราขึ้นขบวน 107 สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์-เด่นชัย เป็นรถไฟชั้น 2 ประเภทเบาะนั่งแบบพัดลมธรรมดา ราคา 316 บาท
_____
17 เมษายน 2566
เวลา 06.00 น.
พวกเราทั้งหมดได้ตื่นขึ้นมามองวิวข้างทางที่มีหมอกหรือฝุ่นก็ไม่แน่ใจเท่าไรพร้อมกับเสียงประกาศของเจ้าหน้าที่รถไฟที่บอกว่าพวกเราได้เดินทางมาถึงสถานีปลายทางอย่างอำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่แล้ว
หลังจากที่ลงมาจากขบวนรถไฟพวกเราทั้งสามคนก็ให้เบนซ์โทรหานุ่นและเกรททันที เพราะสองคนนี้ได้เดินทางมาที่แพร่ก่อนพวกเรา 1 วันและเนื่องด้วยบ้านของคุณพ่อและคุณแม่ของนุ่นอยู่ที่นี่ พวกเราจึงได้รับการสนับสนุนจากทางบ้านของนุ่นเป็นรถยนต์ 4 ประตู 1 คัน นั่นจึงทำให้พวกเราประหยัดค่าเช่ารถได้อยู่มากโข
เวลา 07.00 น.
ตลาดแพร่ชมภูมิ่ง
ใช้เวลาไม่นานมากนัก จากอำเภอเด่นชัยมุ่งหน้าสู่ตัวเมืองแพร่ สถานที่แรกที่พวกเราทั้ง 5 คนจอดรถแวะ คือตลาดที่ขึ้นชื่อลือนามในยามเช้า “แพร่ชมภูมิ่ง” ที่มีการก่อตั้งมากว่า 60 ปี เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิญอนุรักษ์ มีพ่อค้าแม่ค้าทั่วจังหวัดแพร่ออกมาขายของ ส่วนใหญ่เป็นของพื้นบ้านมานำมาวางขายกัน จนได้รับสโลแกนว่า “ ตลาดคนแพร่” อุดหนุนคนแพร่ เงินทองหมุนเวียน ไม่ไหลไปไหน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชาวบ้านมีรายได้จากการค้าขายเพื่อมาเลี้ยงชีพและคนในครอบครัว
เราได้เจอกับเมี่ยง ของพื้นเมืองทางภาคเหนือ คนภาคเหนือนิยมนำใบเมี่ยงมาหมักจนเกิดรสเปรี้ยว แล้วนำมาอม ทำให้ไม่ง่วงและเกิดความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
เวลา 08.45 น.
เชตวันโฮมสเตย์
หลังจากเดินเที่ยวเลือกของกินกันจนอิ่มใจ พวกเราก็เคลื่อนย้ายขบวนมากันที่โฮมสเตย์ ที่พักของพวกเราในค่ำคืนนี้
เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ไม่มีแอร์ ถูกแบ่งออกเป็น 7 ห้องนอน แถมยังมีที่นอนแบบโฮสเทลอีกต่างหาก โดยเจ้าของโฮมสเตย์แห่งนี้คือ ป้าตู่ ป้าตู่เป็นคนที่ใจดีมากๆ ให้ความรู้สึกเหมือนเรากลับบ้านมาเยี่ยมคุณย่าคุณยาย โดยวันที่เราไปพัก ป้าตู่คิดค่าที่พักพวกเราแค่คนละ 200 บาทเอง
และนี่เป็นอาหารมื้อแรกของเราในแพร่ ที่ได้ทำการซื้อมาจากตลาดแพร่ชมภูมิ่ง มีทั้งกะเพราหน่อไม้ ผัดหมี่สีชมพู ไก่ทอด ก๋วยจั๊บน้ำข้น และไฮไลท์ของเราคือ แกงฮังเล เป็นแกงประจำทางภาคเหนือ มีรสชาติมันๆ ไม่เผ็ดเท่าไรนัก มีหมูนุ่มๆเป็นชิ้นชูใจ โดยรวมแล้วถือว่าอร่อยถูกปากเลยทีเดียว
เวลา 10.30 น.
คาเฟ่ Slope Coffee บ้านเบ้ววและวัดพงษ์สุนันท์
หลังจากได้พักกันพอสมควรแล้ว พวกเราก็ได้ฤกษ์ปั่นจักรยานที่ยืมคุณป้าตู่จากที่โฮมสเตย์ออกมาตามเส้นทางที่มีซอยอยู่ไม่ไกลจากที่พักนัก
รายทางถูกประดับไว้ด้วยร้านคาเฟ่มากมาย
และร้านคาเฟ่ที่พวกเราเลือกคือ คาเฟ่บ้านเบ้วว เป็นบ้านที่ทรุดโทรมตามกาลเวลา ถ้ามองจากด้านข้างจะเห็นได้ชัดเลยว่าบ้านจะลาดเอียดไปทางด้านหลัง โดยบ้านหลังนี้ถูกตกแต่งด้วยไม้เก่าๆอายุร้อยปี มีเครื่องดื่มให้เลือกหลากหลายและขนม ABCD ใส่จานเล็กมาให้ทานเป็นเครื่องเคียงด้วย ภายในร้านมีที่นั่งมุมด้านหลังเป็นสวน
นั่งพักกันพอให้หายร้อนนิดหน่อย พวกเราก็เคลื่อนย้ายตัวเองมาที่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็น วัดพงษ์สุนันท์ ถูกตกแต่งแบบล้านนาทางภาคเหนือ บรรยากาศร่มรื่น วัดสวยสะกดตา
เวลา 12.30 น.
และแล้วช่วงเวลาที่พวกเรารอคอยก็มาถึงวันไหลของจังหวัดแพร่นั่นเอง ไม่รอช้า พวกเรารีบมุ่งหน้าไปหาซื้อปืนฉีดน้ำและดินสอพองกันทันที ภายในสถานที่เล่นวันไหล ที่นี่บรรยากาศคึกคัก ใบหน้าของผู้คนถูกประดับไปด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร
ถือว่าพวกเราโชคดีมากๆ ที่มาทันช่วงเวลาที่เขามีขบวนแห่สืบสานประเพณีสงกรานต์
ที่มาในชื่อว่า “ดอกลมแล้งบาน สงกรานต์เมืองแป้ นุ่งหม้อห้อมแต้งามตา” เป็นงานใหญ่ของจังหวัดที่จัดขึ้นมาเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงประเพณีสงกรานต์(ปี๋ใหม่) ที่เป็นเอกลักษณ์และวิถีชีวิตของชาวแพร่ ส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบเชิญอนุรักษ์ โดยจังหวัดมีนโยบายให้คนแพร่ ”นุ่งผ้าหม้อห้อม ผ้าเมือง อู้กำเมือง กิ๋นอาหารพื้นเมือง
[CR] พะเยา-เขา-เรา-แพร่ 3 วัน 2 คืน
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้