"ถ้าม้าแข่งตัวใดบาดเจ็บแข่งต่อไม่ได้อีก มันจะถูกฆ่า.. แล้วถ้าฉันเจ็บจนขี่ม้าต่อไม่ได้ล่ะ ฉันต้องตายเหมือนมันใช่ไหม"
Brady อาศัยอยู่กับ Wayne พ่อของเขา และ Lilly น้องสาววัยรุ่นที่เป็นออทิสติก ในเซาท์ดาโกตา
เขาเคยเป็นนักกีฬาขี่ม้าโรดีโอดาวรุ่ง แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองจากอุบัติเหตุ ทำให้มือขวาอ่อนแรงและมีอาการชัก
พ่อของเบรดี้ทำงานเล็กๆ น้อยๆ เพื่อครอบครัว รายได้จากการดื่มเหล้าและเล่นการพนัน
ครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับรถพ่วง พ่อของเบรดี้ขายม้าของพวกเขา กัส ซึ่งทำให้เบรดี้ไม่พอใจอย่างมาก
เบรดี้รับงานในร้านสะดวกซื้อแถวบ้านเพื่อหาเงินมาจุนเจือทางบ้าน ด้วยเงินเก็บของเขา
เขาตั้งใจที่จะซื้อม้าอีกตัวที่ชื่อว่า อพลอลโล ด้วยความหวังที่ว่าเขาอาจจะได้กลับมาใช้ชีวิตบนหลังอานอีกครั้ง
แม้ว่าแพทย์จะเตือนเขาแล้วก็ตามว่า หากขี่ม้าแข่งอีกเขาอาจจะได้รับอันตรายถึงชีวิต ..เบรดี้ ยังคงไปดูการแข่งโรดีโอ เสมอ ..
เขาสงสัยว่าตัวเองมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรในเมื่อไม่สามารถทำสิ่งที่รักได้อีก
เขาจึงต้องพยายามค้นหาตัวตนใหม่ และในที่สุดเขาก็ตัดสินใจว่าจะกลับเข้าร่วมการแข่งขันอีกครั้ง.....
อย่างที่บอกไว้ครับว่าต่อจาก Songs My Brothers Taught Me ผมจะมารีวิวเรื่องนี้ต่อเลย....
The Rider ผลงานการเขียนบทและกำกับของ โคลอี้ เจา ยังคงเน้นเนื้อเรื่องในถิ่นอเมริกาตอนกลาง
ให้เห็นถึงวิถีชีวิตของผู้คนนอกเมืองใหญ่ซึ่งนักแสดงเกือบทุกคนจะไม่ใช่นักแสดงมืออาชีพ
โดยจะเป็นคนในท้องถิ่นนั้นๆ เพื่อให้ผู้ชมไม่มีความยึดติดในภาพลักษณ์ที่แล้วมาของนักแสดงที่มารับบท
ดังนั้นความสดใหม่จะก่อให้เกิดความน่าเชื่อถือและทำให้เราอินไปกับการแสดงของคนเหล่านั้นได้มากที่สุด
จนเหมือนเรากำลังดูชีวิตจริงของเขาเลยทีเดียวครับ
โคลอี้ เจา พบครูฝึกม้า เบรดี้ ครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม 2014 ระหว่างเดินทางกลับไปยังเขตอนุรักษ์ Pine Ridge
ที่ซึ่งเจา ได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอคือ Songs My Brother Taught Me ...
เจา สนใจ เบรดี้ ในฐานะนักแสดงทันทีและตัดสินใจเขียนบทให้เขา...
เธอเผยว่า ถ้าเขาควบคุมอารมณ์ของม้าได้ บางทีเขาอาจจะควบคุมผู้ชมได้เช่นกัน
เจา เขียนเรื่องราวสองสามเรื่องให้ Jandreau หลังจากพบเขา แต่ไม่มีเรื่องไหนที่ดูแล้วโดนใจ..
จนกระทั่งในปี 2016 เบรดี้ ต้องพบอาการบาดเจ็บเมื่อม้าตัวเก่งเหยียบหัวของเขา..
เบรดี้ มีอาการชักต้องเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลทันที เขาอยู่ในอาการโคม่านานสามวัน และนั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์เรื่องนี้
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีฟุตเทจอุบัติเหตุจริงที่เกิดขึ้นของเบรดี้ และแสดงให้เห็นแผลเป็นบนศีรษะของเขาในหลายฉาก
อาการบาดเจ็บและการฟื้นตัวของเบรดี้ ส่งผลต่อข้อความที่ เจา ต้องการให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สื่อถึงผู้ชมทุกคน
เธอกล่าวว่า : "ฉันหวังว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคนที่ได้ชม ว่าชีวิตของ Jandreau หลังอาการบาดเจ็บนั้นเป็นเช่นไร
และมันจะทำให้ทุกคนมีความหวังต่อไปได้เช่นกัน...”
เจา ตัดสินใจสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ในเดือนสิงหาคม ปี 2016 ด้วยเงินทุนของเธอเอง
โดยใช้บัตรเครดิตของเธอและแฟนหนุ่ม (ผู้กำกับภาพยนตร์ Joshua James Richards) และทีมงานแค่ 6 คน
การถ่ายทำเกิดขึ้นในสถานที่จริงทั้งหมด นักแสดงและตัวประกอบทุกคนเล่นเป็นตัวของตัวเองทั้งสิ้น เช่นเดียวกับ
Lane Scott เพื่อนที่ดีที่สุดในวัยเด็กของ Jandreau ก็ปรากฏตัวในภาพยนตร์นี้ ในบทเพื่อนรุ่นพี่ที่เคยมีอนาคตที่ดีรออยู่ในวงการโรดีโอ
แต่ภายหลังจากประสบอุบัติเหตุ เลน ก็กลายเป็นคนพิการพูดไม่ได้ ต้องนั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น ซึ่งชีวิตจริง
สก็อตต์พิการจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อ 4 ปีก่อนถ่ายทำ และถือเป็นอีก 1 ตัวละครที่สำคัญที่เชื่อมโยงกันกับชีวิตของตัวเอก Jandreau อีกด้วยครับ
(ซีนที่ทั้งคู่เจอกันในหนังแต่ละครั้งนี่ เรียกน้ำตาได้เลยจริงๆ ไม่ได้ถึงขั้นฟูมฟาย แต่มันคือความซาบซึ้งใจครับ)
The Rider เป็นภาพยนตร์ที่แสดงให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของคนที่ไม่ยอมทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเอง
การมีชีวิตอยู่อย่างคนแพ้ที่ไม่ยอมสู้ กับการดิ้นรนเพื่อที่จะผ่านจุดที่แย่ที่สุดไปให้ได้
มุมมองของใครอีกหลายคนอาจใช้คำว่า เหมือนกำลังดันทุรังอยู่ แต่ของแบบนี้ มันอยู่ที่ตัวเราเองตัดสินใจว่าเราจะไปทางไหน
เพราะสุดท้าย เราคือผู้เลือกเอง...
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== The Rider (2017) ลูกผู้ชาย..อาชา..และศักดิ์ศรี ==
"ถ้าม้าแข่งตัวใดบาดเจ็บแข่งต่อไม่ได้อีก มันจะถูกฆ่า.. แล้วถ้าฉันเจ็บจนขี่ม้าต่อไม่ได้ล่ะ ฉันต้องตายเหมือนมันใช่ไหม"
Brady อาศัยอยู่กับ Wayne พ่อของเขา และ Lilly น้องสาววัยรุ่นที่เป็นออทิสติก ในเซาท์ดาโกตา
เขาเคยเป็นนักกีฬาขี่ม้าโรดีโอดาวรุ่ง แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองจากอุบัติเหตุ ทำให้มือขวาอ่อนแรงและมีอาการชัก
พ่อของเบรดี้ทำงานเล็กๆ น้อยๆ เพื่อครอบครัว รายได้จากการดื่มเหล้าและเล่นการพนัน
ครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับรถพ่วง พ่อของเบรดี้ขายม้าของพวกเขา กัส ซึ่งทำให้เบรดี้ไม่พอใจอย่างมาก
เบรดี้รับงานในร้านสะดวกซื้อแถวบ้านเพื่อหาเงินมาจุนเจือทางบ้าน ด้วยเงินเก็บของเขา
เขาตั้งใจที่จะซื้อม้าอีกตัวที่ชื่อว่า อพลอลโล ด้วยความหวังที่ว่าเขาอาจจะได้กลับมาใช้ชีวิตบนหลังอานอีกครั้ง
แม้ว่าแพทย์จะเตือนเขาแล้วก็ตามว่า หากขี่ม้าแข่งอีกเขาอาจจะได้รับอันตรายถึงชีวิต ..เบรดี้ ยังคงไปดูการแข่งโรดีโอ เสมอ ..
เขาสงสัยว่าตัวเองมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรในเมื่อไม่สามารถทำสิ่งที่รักได้อีก
เขาจึงต้องพยายามค้นหาตัวตนใหม่ และในที่สุดเขาก็ตัดสินใจว่าจะกลับเข้าร่วมการแข่งขันอีกครั้ง.....
อย่างที่บอกไว้ครับว่าต่อจาก Songs My Brothers Taught Me ผมจะมารีวิวเรื่องนี้ต่อเลย....
The Rider ผลงานการเขียนบทและกำกับของ โคลอี้ เจา ยังคงเน้นเนื้อเรื่องในถิ่นอเมริกาตอนกลาง
ให้เห็นถึงวิถีชีวิตของผู้คนนอกเมืองใหญ่ซึ่งนักแสดงเกือบทุกคนจะไม่ใช่นักแสดงมืออาชีพ
โดยจะเป็นคนในท้องถิ่นนั้นๆ เพื่อให้ผู้ชมไม่มีความยึดติดในภาพลักษณ์ที่แล้วมาของนักแสดงที่มารับบท
ดังนั้นความสดใหม่จะก่อให้เกิดความน่าเชื่อถือและทำให้เราอินไปกับการแสดงของคนเหล่านั้นได้มากที่สุด
จนเหมือนเรากำลังดูชีวิตจริงของเขาเลยทีเดียวครับ
โคลอี้ เจา พบครูฝึกม้า เบรดี้ ครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม 2014 ระหว่างเดินทางกลับไปยังเขตอนุรักษ์ Pine Ridge
ที่ซึ่งเจา ได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอคือ Songs My Brother Taught Me ...
เจา สนใจ เบรดี้ ในฐานะนักแสดงทันทีและตัดสินใจเขียนบทให้เขา...
เธอเผยว่า ถ้าเขาควบคุมอารมณ์ของม้าได้ บางทีเขาอาจจะควบคุมผู้ชมได้เช่นกัน
เจา เขียนเรื่องราวสองสามเรื่องให้ Jandreau หลังจากพบเขา แต่ไม่มีเรื่องไหนที่ดูแล้วโดนใจ..
จนกระทั่งในปี 2016 เบรดี้ ต้องพบอาการบาดเจ็บเมื่อม้าตัวเก่งเหยียบหัวของเขา..
เบรดี้ มีอาการชักต้องเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลทันที เขาอยู่ในอาการโคม่านานสามวัน และนั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์เรื่องนี้
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีฟุตเทจอุบัติเหตุจริงที่เกิดขึ้นของเบรดี้ และแสดงให้เห็นแผลเป็นบนศีรษะของเขาในหลายฉาก
อาการบาดเจ็บและการฟื้นตัวของเบรดี้ ส่งผลต่อข้อความที่ เจา ต้องการให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สื่อถึงผู้ชมทุกคน
เธอกล่าวว่า : "ฉันหวังว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคนที่ได้ชม ว่าชีวิตของ Jandreau หลังอาการบาดเจ็บนั้นเป็นเช่นไร
และมันจะทำให้ทุกคนมีความหวังต่อไปได้เช่นกัน...”
เจา ตัดสินใจสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ในเดือนสิงหาคม ปี 2016 ด้วยเงินทุนของเธอเอง
โดยใช้บัตรเครดิตของเธอและแฟนหนุ่ม (ผู้กำกับภาพยนตร์ Joshua James Richards) และทีมงานแค่ 6 คน
การถ่ายทำเกิดขึ้นในสถานที่จริงทั้งหมด นักแสดงและตัวประกอบทุกคนเล่นเป็นตัวของตัวเองทั้งสิ้น เช่นเดียวกับ
Lane Scott เพื่อนที่ดีที่สุดในวัยเด็กของ Jandreau ก็ปรากฏตัวในภาพยนตร์นี้ ในบทเพื่อนรุ่นพี่ที่เคยมีอนาคตที่ดีรออยู่ในวงการโรดีโอ
แต่ภายหลังจากประสบอุบัติเหตุ เลน ก็กลายเป็นคนพิการพูดไม่ได้ ต้องนั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น ซึ่งชีวิตจริง
สก็อตต์พิการจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อ 4 ปีก่อนถ่ายทำ และถือเป็นอีก 1 ตัวละครที่สำคัญที่เชื่อมโยงกันกับชีวิตของตัวเอก Jandreau อีกด้วยครับ
(ซีนที่ทั้งคู่เจอกันในหนังแต่ละครั้งนี่ เรียกน้ำตาได้เลยจริงๆ ไม่ได้ถึงขั้นฟูมฟาย แต่มันคือความซาบซึ้งใจครับ)
The Rider เป็นภาพยนตร์ที่แสดงให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของคนที่ไม่ยอมทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเอง
การมีชีวิตอยู่อย่างคนแพ้ที่ไม่ยอมสู้ กับการดิ้นรนเพื่อที่จะผ่านจุดที่แย่ที่สุดไปให้ได้
มุมมองของใครอีกหลายคนอาจใช้คำว่า เหมือนกำลังดันทุรังอยู่ แต่ของแบบนี้ มันอยู่ที่ตัวเราเองตัดสินใจว่าเราจะไปทางไหน
เพราะสุดท้าย เราคือผู้เลือกเอง...
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===