Dream Theater: Top of the World Tour 2023 หนึ่งในงานดนตรีที่ดีที่สุดของปีนี้

"อยากให้มาไทย" คำนี้ไม่เคยเกินจริงสำหรับผม กับการได้ดูวงดนตรีที่ฟังมาตั้งแต่เด็ก เป็นอีกหนึ่งใบเบิกทางที่ทำให้ผมอยากเล่นดนตรี และเล่นมันมาจนถึงทุกวันนี้

ขอต้อนรับสู่โรงละครแห่งความฝัน Dream Theater: Top of the World Tour 2023



นับเป็นครั้งที่ 5 แล้วที่ยอดวงโปรเกสสีฟเมทัลจากเมืองลุงแซมมาเยี่ยมเยียนไทยแลนด์บ้านเรา นับตั้งแต่ปี 2006/2008/2012/2017 ตามลำดับ ซึ่งแน่นอน ผมพลาดทุกปี(ฮา) และล่าสุดในปี 2020 ที่จะมาโชว์ในนามคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้ม "Distance Over Time" ก็ต้องถูกยกเลิกไปด้วยสถานการณ์โรคระบาดที่ผ่านมา สามปีให้หลังพวกน้า ๆ เขาก็กลับมาอีกครั้ง และครั้งนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวังหรือเสียดายค่าบัตรแม้แต่บาทเดียวเลย เพราะมัน "คุ้มค่าที่รอจริง ๆ"

แม้โดยรวมจะเล่นเพลงใหม่ซะเยอะ เนื่องจากเป็นโชว์ซัพพอร์ตอัลบั้มใหม่อย่าง "A View from the Top of the World" ซึ่งพูดตรง ๆ ว่าอัลบั้มยุค Post Portnoy นั้นผมแทบไม่ค่อยอินเอาซะเลย แต่แค่การได้ไปยืนเสพดนตรี ดูเหล่าทวยเทพป้อนโน้ตเพลงทุกโน้ต และยัดไทม์ซิกสุดแปลกประหลาดเข้ามาในสองรูเอียส์ นั่นก็คุ้มค่าที่สุดแล้ว โดยพวกน้า ๆ เขาใส่ไม่ยั้งแบบเพลงต่อเพลง มีช่วงหยุดพูดคุยกับแฟนเพลงบ้างนิดหน่อยพอได้หายคิดถึงกัน

ถึงจะเป็นโชว์สำหรับทัวร์เปิดอัลบั้มใหม่ แต่ก็มีเพลงจากอัลบั้มเก่า ๆ อย่าง "6:00", "Caught in a Web","Bridge in the Sky" ไว้เป็นไพ่ล้างกลิ่นเจ๊กอยู่บ้าง รวมไปถึงสามเพลงฮิตอย่าง "Solitary Shell", "About to Crash (Reprise)", "Losing Time/Grand Finale" จากอัลบั้ม "Six Degrees of Inner Turbulence" ที่ขาดไม่ได้เลยคือ "Pull Me Under" เปรียบเสมือนเพลงชาติของวงนี้ ในแบบที่ "ไม่เล่นไม่ได้" และปิดโชว์ด้วย "A View from the Top of the World" เพลงจากอัลบั้มล่าสุดความยาวกว่ายี่สิบนาที ต่อด้วย "The Count of Tuscany" จากอัลบั้ม "Black Clouds & Silver Linings" เป็นเพลงที่ผมชอบมากที่สุดในโชว์นี้ ถูกบรรเลงขึ้นเป็นเพลงสุดท้ายในช่วง encore ความยาวเกือบยี่สิบนาทีเช่นกัน เรียกได้ว่าศิลปินไม่เหนื่อยเล่น คนดูก็ไม่เหนื่อยฟังกันเลยทีเดียว

เรื่อง Performance บนเวที ไม่มีอะไรที่ต้องติเลย เราเคยดูโชว์ Dream Theater ผ่านยูทูปมาอย่างไร สิ่งที่เราเห็นตรงหน้ามันก็เป็นอย่างนั้นไม่ต่างกัน แทบจะตะโกนออกมาว่า "คุณภาพ คุณภาพ คุณภาพ!" ทุกครั้งที่เหล่าน้า ๆ เริ่มใช้มือและนิ้วบรรเลงลงไปที่เครื่องดนตรีราวกับเป็นอวัยวะหนึ่งในร่างกายของพวกเขา เอาที่ชอบที่สุดคงเป็น John Petrucci มือกีตาร์กล้ามโตของวง ที่ซาวด์อลังการมาก ๆ ในขณะที่น้า Jordan Rudess, John Myung ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน ยิ่งท่อนไหนที่เล่น Unison ด้วยกันคือชอบมาก ๆ ซาวด์กลมกลืนกันสุด ๆ ส่วนน้า Mike Mangini นี่ก็เกินคน แทบจะกินกลองเข้าไปแล้ว แอบเสียดายที่แกไม่ใช้เซ็ตกลองสองกระเดื่องชุดใหญ่ มันน่าจะดูอลังการกว่านี้ (อาจจะมีปัจจัยหลายอย่าง ทั้งเรื่องความสะดวกระหว่างโชว์ต่าง ๆ นา ๆ ตรงนี้เข้าใจได้ ไม่ได้ทำให้อรรถรสเสียแต่อย่างใด) สุดท้ายน้า James LaBrie ที่สุ้มเสียงยังคงทรงพลัง อาจจะมีดรอป ๆ บ้างตามวัยที่ร่วงโรย แต่โดยรวมนั้นประทับใจสุด ๆ จนไม่รู้จะเขียนออกมายังไง

เรื่องที่ต้องขอติในงานนี้ สำหรับเราคงจะเป็นเบียร์ที่ราคาแรงไปนิดนึง และเสื้อทัวร์ที่ขายในงาน มีไซซ์ใหญ่สุดแค่ 2XL (อก46) แฟนเพลงในงานนี้ที่ตัวเบิ้ม ๆ หน่อย คงจะผิดหวังกันไปเป็นแถบ ๆ รวมถึงผมด้วย (ฮา) ถ้ามีขายออนไลน์และเพิ่มไซซ์ใหญ่ ๆ บ้างก็คงจะดีนะ

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่