สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นเราขอขอบคุณทุกคนที่มาแลกเปลี่ยนหรือแนะนำไว้ก่อนเลยนะคะ
เราเริ่มมีปัญหากับพ่อแม่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แล้วตอนนี้ก็ยังคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงดี มันเริ่มขึ้นช่วงเรียนจบค่ะเรารู้สึกเคว้งมาก อยากหางานทำเพราะอยู่เฉย ๆ แล้วเราคิดฟุ้งซ่านไปมาก เรื่องมันเริ่มขึ้นเพราะเราเรียนจบครูค่ะ แต่ปัญหาคือเราไม่ได้อยากเป็นครูตั้งแต่แรก ในตอนนั้นเราก็คือเด็กตจว. บ้านทำไร่ทำนาค้าขาย แล้วช่วงจะเรียนต่อมหาลัยก็มีโครงการครูคืนถิ่นมาพ่อแม่เห็นว่าดี และเราก็ไม่ได้คิดอะไรไว้ในอนาคตเราก็เลยเรียนค่ะ
เราเรียนได้นะได้ดีด้วยมันไม่ได้ได้ยากในแง่ของการเรียน พ่อแม่ภูมิใจมากที่เราสอบติดเรียนได้ แต่ระหว่างช่วงปี 1 ปี2 เราเคยคุยกับพ่อแม่ว่าไม่ชอบเลย
ไม่อยากทำงานครูเงินกับงานมันไม่คุ้มค่าเลยตอนนั้นจำได้ดีว่าพ่อแม่บอกว่าเรียนไปก่อน
ทุกครั้งเขาจะตอกย้ำด้วยคำว่าเรียนไปก่อน เอาจริงก็ผิดที่เราด้วยไม่รู้ว่าจริง ๆ ตัวเองอยากเรียนอะไร ชีวิตตอนนั้นไม่ได้มีเป้าหมาย
ทุกอย่างก็ผ่านไปค่ะจนเราเรียนจบ เราเป็นเด็กดีของพ่อแม่มาก ๆ คือไม่เคยนอกกรอบพ่อแม่ พ่อแม่คิดว่าควบคุมเราได้มาตลอด
จนเริ่มช่วงปีสุดท้าย เรามีโอกาสไปกทม. เจอคนเจอโลกลองหางาน เหมือนเปิดโลกไปอีกแบบเลยค่ะ และเราได้รู้จักคนหนึ่งที่เขาเป็นเจ้าของกิจการ
เราคุยกับเขาซึมซับอะไรหลาย ๆ อย่าง เราก็เลยคิดว่าเราได้เรียนรู้และเจอโลกไปอีกแบบที่มันห่างไกลจากวิถีชีวิตที่เราอยู่
มันทำให้สิ่งที่คิดว่าเราไม่อยากเป็นครูและมองว่าเรามีศักยภาพมากพอจะไปทำงานอื่นหรือเรียนรู้อย่างอื่นเพิ่มได้ เราเลยลองหางานพบว่าก็มีที่ ๆ รับเข้าทำงานนะคะแต่ค่าใช้จ่ายคงไม่พอในกทม. เราเลยบอกพ่อแม่อีกครั้งเป็นเรื่องใหญ่ว่าไม่อยากเป็นครูจริง ๆ
มันอารมณ์คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า พ่อแม่คาดหวังในตัวเราเยอะมาก อาจเพราะเป็นลูกคนเดียว คาดหวังว่าเราต้องเป็นแบบนี้
ใช้ชีวิตแบบนี้ สังคมต่างจังหวัดลูกฉันได้เป็นข้าราชการนะเขาภูมิใจ เหมือนเขาอยากเป็นอยากเรียนอยากเป็นแต่ไม่ได้ทำ อันนี้เราเข้าใจนะคะ
เขาเลยตั้งใจส่งเสียทำงานเพื่อส่งเราเรียน จนเราเรียนจบประสบความสำเร็จ
เรารู้นะว่าถ้าพูดหรือบอกพ่อแม่ในสิ่งที่คิดพ่อแม่จะเป็นอย่างไร เรารู้ว่าพ่อแม่ผิดหวัง แต่เราก็อยากมีความหวังเหมือนกัน
จริง ๆ ที่บ้านเป็นฐานะปานกลางไม่ได้ลำบากเพราะค้าขาย เราซึมซับการค้าขายจากพ่อแม่
แต่คำหนึ่งที่พ่อเราพูดมาตอนทะเลาะกันแล้วเรารู้สึกแย่รู้สึกสิ้นหวังคือ พ่อวางไว้แล้วว่าอยากให้ลูกเป็นครู "เป็นข้าราชการยังไงก็ดี ไปนั่งกินข้าว
เจอข้าราชการกับแม่ค้า ศักดิ์ศรีและเกียรติมันต่างกัน" เรารับไม่ได้กับสิ่งนี้ ทั้งที่พ่อแม่ก็ทำค้าขายเราก็ไม่รู้คือปมในใจเขาหรอถึงคิดแบบนี้
เกียรติอะไรไม่เคยอยู่ในหัวเราเลย เราเข้าใจนะว่าเปลี่ยนความคิดพ่อแม่ไม่ได้ด้วยความเชื่อที่มีมา 30-40 ปี ล่ะเราจะเปลี่ยนที่เราพ่อแม่ก็ไม่ปล่อย
พ่อแม่ต้องการให้เราอยู่ตรงนั้นอยู่กับเขาตลอดไป ทำงานกลับบ้านอยู่ด้วยกันแต่นั้นมันตรงข้ามกับความคิดเราค่ะ เราเริ่มไม่ชอบสังคมต่างจังหวัดที่อยู่ รู้สึกชอบความเป็นส่วนตัวไม่ชอบใช้ชีวิตตามขี้ปากคนอื่น เราคิดถึงขั้นอยากย้ายที่อยู่ไปเลย เราชอบความสะดวกสบายค่ะ ชอบความเจริญ
เพราะคิดว่าจะสามารถต่อยอดค้าขายหรืออื่น ๆ ได้ในอนาคต กำลังทรัพย์และผู้คนในอำเภอที่เราอยู่มันไม่พอให้เราค้าขายอะไรแล้วจะมีเงิน
เปิดร้านข้าวก็เจ๊งค่ะในวิถีชีวิต พ่อแม่เลยกลัวและห่วงมาก ๆ เพราะเคยเห็นแต่ด้านลบ และมองแค่ด้านดีของข้าราชการครู ทั้งที่ครูเอาจริง ๆ ปีหนึ่งคนลาออกเยอะมากเหมือนกัน
เราแค่มองว่าเราอยากลองทำงานที่สามารถสะสมประสบการณ์ และเอามันมาทำของตัวเองได้ ช่วงนี้เรามีเวลาว่าง 6-7 เดือน
ก่อนจะถูกเรียกไปบรรจุคือยังไงเราก็ต้องไปบรรจุเพราะพ่อแม่ขอร้องและเขาคาดหวัง
ตัวเราก็ไม่ได้อยากทำให้พ่อแม่เสียใจมากกว่านี้และคิดว่าทำให้ก่อนคงดีกว่า ช่วงนี้เราว่างงานและพ่อแม่ไม่อยากให้เราทำงานอยากให้เราอยู่บ้าน
ช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เราอยู่แล้วเรารู้สึกเป็นภาระที่เขาส่งเรียนแล้วยังต้องมาให้เงินใช้เราไม่ชอบสิ่งที่เราคิดเลยขอออกมาหางานทำ
ซึ่งก็มีปัญหาที่พ่อแม่ห่วงมาก ๆ ทะเลาะกันไม่อยากให้มาแต่เราบอกว่าถ้าอยู่ต่อคงแย่เพราะเราร้องไห้ตลอดเวลาเห็นหน้าพ่อแม่
มันเหมือนความกดดัน แผลในใจหรือความเจ็บปวดที่ก็บอกไม่ถูก จากที่เคยกินข้าวพูดกัน เราก็เปลี่ยนไปเพราะความคิดไม่ตรงกัน
และพ่อแม่ก็ไม่พยายามเข้าใจเราเลย เขาจะพูดให้เราคิดแต่สิ่งที่เขาคิดว่าดี ตรงนี้แหละที่เรารู้สึกว่ากดดันและแย่ว่าถ้าวันหนึ่งเราทำไม่ได้ตามที่เขาคาดหวังมันจะทำเขาเสียใจมากใช่ไหม เขาเลยยอมให้เราออกมาหางานทำ
งานในตจว.ก็หายากมากค่ะ เคยไปสมัครเด็กเสริฟเขายังไม่รับเพราะเขากลัวเราออกไปเรียนต่อหรือทนงานไม่ได้เพราะวุฒิป.ตรี
หลังจากที่เราเป็นเด็กดีของพ่อแม่มาตลอดชีวิต จนมาเราต้องดื้อดื้อให้ได้ลองใช้ชีวิตบ้างเราคิดว่าเรายังเด็กยังทำงานหาเงินได้เรียนรู้ได้
ไม่อยากสบายตอนนี้แล้วต่อไปไม่มีอะไร อยากสู้ อยากพยายาม เราไม่คิดจะก้าวเกินกำลัง เรามีแผนคิดว่าถ้าอย่างงี้ดีไม่ดีเราทำยังไง
คือพยายามหาลู่ทางเพื่อให้ตัวเองรอดค่ะ แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนอะไรจากพ่อแม่ในสิ่งที่เราคิด
เราแค่อยากให้พ่อแม่มีความสุขไม่ยึดติดกับเรา มีชีวิตที่อยากใช้ เราจะพยายามไม่รบกวนเงินเขาเพราะอยากให้เขาได้ใช้
และเราก็อยากใช้ชีวิตในแบบของเราบ้าง ไม่เคยคิดทอดทิ้งพ่อแม่นะคะ แต่ตอนนี้มันยังมีเวลาได้ใช้ได้ทำเรากลัวว่าวันหนึ่งเราแก่ไปมากแล้ว
สิ่งที่คิดที่อยากทำไม่ได้ทำอะไรเลยกลายเป็นคนไม่มีเป้าหมาย เรารู้สึกว่าเราไม่เหมาะกับงานที่มันวนลูปยังเด็กหาเงินได้ก็อยากหาค่ะ
พ่อแม่จะมีโอกาสเข้าใจเราบ้างไหมคะ ทำอย่างไงถึงจะดีอยากใช้ชีวิตเองบ้าง ไม่อยากให้เขาฝากทุกอย่างไว้ที่เราถึงแม้เขาจะบอกไม่คาดหวัง ๆ
แต่เวลาเขาพูดเขาคาดหวังค่ะ เขากดให้เราต้องทำต้องเป็น ถ้าเราสอบบรรจุเราก็อยากไปลงที่ที่เป็นเมืองระบบดี ๆ
ที่ยังต่อยอดชายของได้มีแกรปมีไลน์แมน แต่ก็ติดที่เราเหมือนทิ้งพ่อแม่ เพราะเขาเคยพูดว่าแก่ตัวก็หวังให้ลูกดูแล
มีลูกคนเดียวไม่คิดจะดูแลพ่อแม่ตอนแกหรอ มันคือความรู้สึกผิดล้วน ๆ เลยค่ะ ไม่รู้ควรทำอย่างไรจะก้าวข้ามสิ่งเหล่านี้ไปได้
ขอบคุณมาก ๆ นะคะที่ให้เล่าความในใจ
ตอนนี้มีปัญหากับพ่อแม่เพราะไม่เคยให้เราลองใช้ชีวิตเองและเราก็เริ่มต่อต้าน
เราเริ่มมีปัญหากับพ่อแม่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แล้วตอนนี้ก็ยังคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงดี มันเริ่มขึ้นช่วงเรียนจบค่ะเรารู้สึกเคว้งมาก อยากหางานทำเพราะอยู่เฉย ๆ แล้วเราคิดฟุ้งซ่านไปมาก เรื่องมันเริ่มขึ้นเพราะเราเรียนจบครูค่ะ แต่ปัญหาคือเราไม่ได้อยากเป็นครูตั้งแต่แรก ในตอนนั้นเราก็คือเด็กตจว. บ้านทำไร่ทำนาค้าขาย แล้วช่วงจะเรียนต่อมหาลัยก็มีโครงการครูคืนถิ่นมาพ่อแม่เห็นว่าดี และเราก็ไม่ได้คิดอะไรไว้ในอนาคตเราก็เลยเรียนค่ะ
เราเรียนได้นะได้ดีด้วยมันไม่ได้ได้ยากในแง่ของการเรียน พ่อแม่ภูมิใจมากที่เราสอบติดเรียนได้ แต่ระหว่างช่วงปี 1 ปี2 เราเคยคุยกับพ่อแม่ว่าไม่ชอบเลย
ไม่อยากทำงานครูเงินกับงานมันไม่คุ้มค่าเลยตอนนั้นจำได้ดีว่าพ่อแม่บอกว่าเรียนไปก่อน
ทุกครั้งเขาจะตอกย้ำด้วยคำว่าเรียนไปก่อน เอาจริงก็ผิดที่เราด้วยไม่รู้ว่าจริง ๆ ตัวเองอยากเรียนอะไร ชีวิตตอนนั้นไม่ได้มีเป้าหมาย
ทุกอย่างก็ผ่านไปค่ะจนเราเรียนจบ เราเป็นเด็กดีของพ่อแม่มาก ๆ คือไม่เคยนอกกรอบพ่อแม่ พ่อแม่คิดว่าควบคุมเราได้มาตลอด
จนเริ่มช่วงปีสุดท้าย เรามีโอกาสไปกทม. เจอคนเจอโลกลองหางาน เหมือนเปิดโลกไปอีกแบบเลยค่ะ และเราได้รู้จักคนหนึ่งที่เขาเป็นเจ้าของกิจการ
เราคุยกับเขาซึมซับอะไรหลาย ๆ อย่าง เราก็เลยคิดว่าเราได้เรียนรู้และเจอโลกไปอีกแบบที่มันห่างไกลจากวิถีชีวิตที่เราอยู่
มันทำให้สิ่งที่คิดว่าเราไม่อยากเป็นครูและมองว่าเรามีศักยภาพมากพอจะไปทำงานอื่นหรือเรียนรู้อย่างอื่นเพิ่มได้ เราเลยลองหางานพบว่าก็มีที่ ๆ รับเข้าทำงานนะคะแต่ค่าใช้จ่ายคงไม่พอในกทม. เราเลยบอกพ่อแม่อีกครั้งเป็นเรื่องใหญ่ว่าไม่อยากเป็นครูจริง ๆ
มันอารมณ์คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า พ่อแม่คาดหวังในตัวเราเยอะมาก อาจเพราะเป็นลูกคนเดียว คาดหวังว่าเราต้องเป็นแบบนี้
ใช้ชีวิตแบบนี้ สังคมต่างจังหวัดลูกฉันได้เป็นข้าราชการนะเขาภูมิใจ เหมือนเขาอยากเป็นอยากเรียนอยากเป็นแต่ไม่ได้ทำ อันนี้เราเข้าใจนะคะ
เขาเลยตั้งใจส่งเสียทำงานเพื่อส่งเราเรียน จนเราเรียนจบประสบความสำเร็จ
เรารู้นะว่าถ้าพูดหรือบอกพ่อแม่ในสิ่งที่คิดพ่อแม่จะเป็นอย่างไร เรารู้ว่าพ่อแม่ผิดหวัง แต่เราก็อยากมีความหวังเหมือนกัน
จริง ๆ ที่บ้านเป็นฐานะปานกลางไม่ได้ลำบากเพราะค้าขาย เราซึมซับการค้าขายจากพ่อแม่
แต่คำหนึ่งที่พ่อเราพูดมาตอนทะเลาะกันแล้วเรารู้สึกแย่รู้สึกสิ้นหวังคือ พ่อวางไว้แล้วว่าอยากให้ลูกเป็นครู "เป็นข้าราชการยังไงก็ดี ไปนั่งกินข้าว
เจอข้าราชการกับแม่ค้า ศักดิ์ศรีและเกียรติมันต่างกัน" เรารับไม่ได้กับสิ่งนี้ ทั้งที่พ่อแม่ก็ทำค้าขายเราก็ไม่รู้คือปมในใจเขาหรอถึงคิดแบบนี้
เกียรติอะไรไม่เคยอยู่ในหัวเราเลย เราเข้าใจนะว่าเปลี่ยนความคิดพ่อแม่ไม่ได้ด้วยความเชื่อที่มีมา 30-40 ปี ล่ะเราจะเปลี่ยนที่เราพ่อแม่ก็ไม่ปล่อย
พ่อแม่ต้องการให้เราอยู่ตรงนั้นอยู่กับเขาตลอดไป ทำงานกลับบ้านอยู่ด้วยกันแต่นั้นมันตรงข้ามกับความคิดเราค่ะ เราเริ่มไม่ชอบสังคมต่างจังหวัดที่อยู่ รู้สึกชอบความเป็นส่วนตัวไม่ชอบใช้ชีวิตตามขี้ปากคนอื่น เราคิดถึงขั้นอยากย้ายที่อยู่ไปเลย เราชอบความสะดวกสบายค่ะ ชอบความเจริญ
เพราะคิดว่าจะสามารถต่อยอดค้าขายหรืออื่น ๆ ได้ในอนาคต กำลังทรัพย์และผู้คนในอำเภอที่เราอยู่มันไม่พอให้เราค้าขายอะไรแล้วจะมีเงิน
เปิดร้านข้าวก็เจ๊งค่ะในวิถีชีวิต พ่อแม่เลยกลัวและห่วงมาก ๆ เพราะเคยเห็นแต่ด้านลบ และมองแค่ด้านดีของข้าราชการครู ทั้งที่ครูเอาจริง ๆ ปีหนึ่งคนลาออกเยอะมากเหมือนกัน
เราแค่มองว่าเราอยากลองทำงานที่สามารถสะสมประสบการณ์ และเอามันมาทำของตัวเองได้ ช่วงนี้เรามีเวลาว่าง 6-7 เดือน
ก่อนจะถูกเรียกไปบรรจุคือยังไงเราก็ต้องไปบรรจุเพราะพ่อแม่ขอร้องและเขาคาดหวัง
ตัวเราก็ไม่ได้อยากทำให้พ่อแม่เสียใจมากกว่านี้และคิดว่าทำให้ก่อนคงดีกว่า ช่วงนี้เราว่างงานและพ่อแม่ไม่อยากให้เราทำงานอยากให้เราอยู่บ้าน
ช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เราอยู่แล้วเรารู้สึกเป็นภาระที่เขาส่งเรียนแล้วยังต้องมาให้เงินใช้เราไม่ชอบสิ่งที่เราคิดเลยขอออกมาหางานทำ
ซึ่งก็มีปัญหาที่พ่อแม่ห่วงมาก ๆ ทะเลาะกันไม่อยากให้มาแต่เราบอกว่าถ้าอยู่ต่อคงแย่เพราะเราร้องไห้ตลอดเวลาเห็นหน้าพ่อแม่
มันเหมือนความกดดัน แผลในใจหรือความเจ็บปวดที่ก็บอกไม่ถูก จากที่เคยกินข้าวพูดกัน เราก็เปลี่ยนไปเพราะความคิดไม่ตรงกัน
และพ่อแม่ก็ไม่พยายามเข้าใจเราเลย เขาจะพูดให้เราคิดแต่สิ่งที่เขาคิดว่าดี ตรงนี้แหละที่เรารู้สึกว่ากดดันและแย่ว่าถ้าวันหนึ่งเราทำไม่ได้ตามที่เขาคาดหวังมันจะทำเขาเสียใจมากใช่ไหม เขาเลยยอมให้เราออกมาหางานทำ
งานในตจว.ก็หายากมากค่ะ เคยไปสมัครเด็กเสริฟเขายังไม่รับเพราะเขากลัวเราออกไปเรียนต่อหรือทนงานไม่ได้เพราะวุฒิป.ตรี
หลังจากที่เราเป็นเด็กดีของพ่อแม่มาตลอดชีวิต จนมาเราต้องดื้อดื้อให้ได้ลองใช้ชีวิตบ้างเราคิดว่าเรายังเด็กยังทำงานหาเงินได้เรียนรู้ได้
ไม่อยากสบายตอนนี้แล้วต่อไปไม่มีอะไร อยากสู้ อยากพยายาม เราไม่คิดจะก้าวเกินกำลัง เรามีแผนคิดว่าถ้าอย่างงี้ดีไม่ดีเราทำยังไง
คือพยายามหาลู่ทางเพื่อให้ตัวเองรอดค่ะ แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนอะไรจากพ่อแม่ในสิ่งที่เราคิด
เราแค่อยากให้พ่อแม่มีความสุขไม่ยึดติดกับเรา มีชีวิตที่อยากใช้ เราจะพยายามไม่รบกวนเงินเขาเพราะอยากให้เขาได้ใช้
และเราก็อยากใช้ชีวิตในแบบของเราบ้าง ไม่เคยคิดทอดทิ้งพ่อแม่นะคะ แต่ตอนนี้มันยังมีเวลาได้ใช้ได้ทำเรากลัวว่าวันหนึ่งเราแก่ไปมากแล้ว
สิ่งที่คิดที่อยากทำไม่ได้ทำอะไรเลยกลายเป็นคนไม่มีเป้าหมาย เรารู้สึกว่าเราไม่เหมาะกับงานที่มันวนลูปยังเด็กหาเงินได้ก็อยากหาค่ะ
พ่อแม่จะมีโอกาสเข้าใจเราบ้างไหมคะ ทำอย่างไงถึงจะดีอยากใช้ชีวิตเองบ้าง ไม่อยากให้เขาฝากทุกอย่างไว้ที่เราถึงแม้เขาจะบอกไม่คาดหวัง ๆ
แต่เวลาเขาพูดเขาคาดหวังค่ะ เขากดให้เราต้องทำต้องเป็น ถ้าเราสอบบรรจุเราก็อยากไปลงที่ที่เป็นเมืองระบบดี ๆ
ที่ยังต่อยอดชายของได้มีแกรปมีไลน์แมน แต่ก็ติดที่เราเหมือนทิ้งพ่อแม่ เพราะเขาเคยพูดว่าแก่ตัวก็หวังให้ลูกดูแล
มีลูกคนเดียวไม่คิดจะดูแลพ่อแม่ตอนแกหรอ มันคือความรู้สึกผิดล้วน ๆ เลยค่ะ ไม่รู้ควรทำอย่างไรจะก้าวข้ามสิ่งเหล่านี้ไปได้
ขอบคุณมาก ๆ นะคะที่ให้เล่าความในใจ