ชลัน
“พ่อไม่ต้องห่วงนะ แม่มีเงิน แม่จะรักษาพ่อเอง เราจะอยู่ด้วยกันนะพ่อ” ยายสาพูดกับผู้เป็นสามี เมื่อทราบว่าสามีเป็นโรคร้ายระยะแรก แค่เพียงระยะแรกเท่านั้น
สามีคู่ทุกข์คู่ยากคู่สุขคู่สม ต้องหายจากโรคนี้ จะอยู่ด้วยกันตราบนานแสนนาน อย่างน้อย ๆ ตนเองต้องตายก่อนสามีล่ะ ไม่อยากทนทุกข์เสียใจหากสามีต้องตายก่อน
ยายสานั่งถักตุ๊กตาไหมพรมอยู่ในบ้าน ณ ห้องนั่งเล่น จนทุกวันนี้ยายสาก็ยังไม่เลิกถักมันเลย อยู่กันสองคนตายายพร้อมหลานชายอีกสองคนที่ยังเล็กอยู่ ส่วนตาถมนั่งจิบชาอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เช่นกัน
“แม่จะไปรบกวนลูก ๆ เขาทำไม โรคของพ่อมันไม่หายหรอก” ตาถมพูด ปรายตามองผู้เป็นภรรยาที่กำลังนั่งถักตุ๊กตาไหมพรมอยู่ นานกี่ปีแล้วที่เห็นภรรยายังถักมันอยู่เช่นนี้ ตาถมจำได้ก็ตั้งแต่หลังแต่งงานมาเรื่อย ๆ จนมีลูกด้วยกันสามคน มีหลานอีกสองคน ยายสาก็ยังถักอยู่อย่างนั้น
ตาถมไม่ทุกข์ไม่ร้อนทุกคนเกิดมาย่อมจากไป ไม่มีใครหนีพ้นความตายได้ ตนเองไม่กลัวความตายด้วย เพราะผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านโลกมาคุ้มนักแล้ว
“แม่ไม่ได้จะรบกวนลูก ๆ มันหรอก แม่มีเงินเก็บของแม่เอง แม่มีเงินเก็บในธนาคารตั้งล้านกว่าบาทแหนะ” ยายสาพูดอย่างภาคภูมิใจ ที่ตนเองสามารถถักตุ๊กตาไหมพรมขายทำเงินได้ขนาดนี้
ตาถมขมวดคิ้วเข้าหากัน ไม่อยากเชื่อว่า ภรรยาจะถักตุ๊กตาขายได้เงินมากมายขนาดนี้ ตนเองไม่เคยรู้มาก่อนเลย เพราะตอนหนุ่ม ๆ ไม่ค่อยอยู่บ้านเท่าไหร่นัก มัวแต่ทำงาน พึ่งจะอยู่ติดบ้านก็ตอนเกษียณแถมยังมาป่วยเป็นโรคร้ายอีก
“แม่จะเล่าอะไรให้ฟังนะ” ยายสาพูดปนยิ้ม
ย้อนกลับไปสามสิบกว่าปี ณ โรงแรมแห่งหนึ่ง กำลังจัดงานแต่งงานอย่างรื่นเริง ที่ฉากเวทีเขียนว่า ‘สมรัก สมรส’ ระหว่างนางสาวสาครกับนายถมทอง มีเพื่อน ๆ ญาติมิตรมาร่วมแสดงความยินดีด้วยมากมาย สาครและถมทองรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
“อยู่กันจนแก่เฒ่า มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองน้าถมทองกับสาคร” เพื่อน ๆ อวยพรระหว่างรดน้ำสังข์
“ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรน้าทั้งสองคน หนักนิดเบาหน่อยอภัยให้แก่กันและกันนะ” ญาติ ๆ อวยพรระหว่างรดน้ำสังข์
หลังรดน้ำสังข์เสร็จแขกทุกคนก็ทยอยกลับ พ่อของสาครก็ได้เดินเข้ามาคุยด้วย “แต่งงานเป็นผัวเป็นเมียกันแล้ว วันไหนโกรธผัวให้ลูกซื้อด้ายมาถักตุ๊กตานะ แล้วลูกจะใจเย็นลง” พ่อได้บอกเอาไว้ สาครพยักหน้าตอบรับ “หนักนิดเบาหน่อยอภัยให้กันและกันนะ” พ่อได้สอนเอาไว้
หลังแต่งงานสาครก็ได้นั่งถักตุ๊กตาไหมพรมเรื่อยมา ถักอยู่เป็นประจำ แรกก็นาน ๆ ครั้งได้นั่งถักที พอมีลูกคนที่สองสาครนั่งถักตุ๊กตาไหมพรมแทบทุกวัน โดยที่ถมทองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เนื่องจากทั้งสองคนไม่เคยมีปากเสียงทะเลาะอะไรกันเลย มีบ้างก็นิด ๆ หน่อย ๆ ก็หายโกรธกันไป ไม่ถึงขั้นรุนแรงเหมือนคู่อื่น ๆ
สาครไม่คิดจะเถียงอยู่แล้ว จำคำที่พ่อบอกเอาไว้ตอนแต่งงาน อย่าทะเลาะกัน อย่าเถียงกัน ถ้าโกรธผัวให้หาซื้อไหมพรมมาถักตุ๊กตาแทน แล้วจะใจเย็นลง
ตั้งแต่มีลูกคนที่สองสาครก็ได้นั่งถักตุ๊กตาไม่เว้นแต่ละวันกันเลยทีเดียว พอถักทุกวันก็ได้ตุ๊กตาหลายตัว จึงคิดจะเปลี่ยนความโกรธเป็นเงินดีกว่า จึงนำตุ๊กตาไหมพรมที่ถักได้นำเอาไปขาย ขายไปเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน มีคนซื้อก็ขาย
สาครไม่เคยได้พักผ่อนเลย เพราะพ่อสอนเอาไว้ว่า ถ้าวันไหนผัวทำไม่ดีมา โกรธผัวมากอย่าไปด่าไปว่าเขา ให้ถักตุ๊กตา โกรธทุกวันก็ถักทุกวัน สาครจึงไม่เคยได้พักผ่อนเลย พอหายโกรธก็นำตุ๊กตาไปวางขายเช่นเดิม
“แม่ก็เลยมีเงินเก็บไง เพราะพ่อของแม่บอกว่าเมื่อไหร่ที่แม่โกรธพ่อให้แม่ถักตุ๊กตา”
“อ้อ เป็นแบบนี้นี่เอง พ่อไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะแม่” ตาถมพูด ซึ้งในน้ำใจของภรรยามาก ๆ
“อือใช่! พ่อไม่เคยรู้หรอกว่าแม่ถักได้วัน ๆ หนึ่งไม่รู้กี่ตัวต่อกี่ตัว เพราะ… เพราะทำให้กูโกรธทุกวัน! ในวันที่มืงแอบไปมีเมียน้อยเนี่ย กุนั่งถักตุ๊กตานำไปขายได้เงินมาเป็นล้าน ๆ เลยไอ้ถมทอง หึหึ” สาครจ้องหน้าถมทองตาเขม่น
ถมทองอ้าปากค้าง ตาเหลือกตาค้างทันทีที่สาครพูดจบ ตาเหลือกตาค้างเพราะตกใจตลอดที่ผ่านมาเป็นระยะเวลากว่าสามสิบปี คิดว่าตนเองซ่อนเมียน้อยไว้เนียนที่สุดแล้ว ไม่คิดว่าผู้เป็นภรรยาจะทราบเรื่องนี้มาโดยตลอด เนื่องจากไม่เคยทะเลาะหรือมีปากเสียงอะไรกันเลยสำหรับเรื่องผู้หญิง และ เรื่องเมียน้อยของตนเอง
กลับมาบ้านวัน ๆ ก็เห็นแต่สาครผู้เป็นภรรยานั่งถักตุ๊กตาไหมพรมอยู่อย่างนั้น ก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร อยากถักก็ปล่อยให้ถักไป จนมาถึงวันนี้! สาครผู้เป็นภรรยาก็ยังนั่งถักตุ๊กตาอยู่ ขณะนี้ตนเองก็ยังไม่ทันได้เลิกกับเมียน้อยด้วยเหมือนกัน เพราะป่วยจึงได้กลับมาอยู่บ้าน
“อ้าวพ่อ! ตาถม! พ่อเป็นอะไร ปลาวาฬเอ้ยวิ่งไปบอกเพื่อนบ้านมาช่วยตาหน่อยเร็วลูก ตาช็อก!” สาครตะโกนบอกหลานชายคนโต มือก็เขย่าเรียกตาถมที่กำลังตัวแข็งทื่อ ช็อกไปกับสิ่งที่ตนเองพูดเมื่อครู่
“นิพนธ์กลับบ้านด่วน พ่อแกช็อก! โทรบอกน้อง ๆ ด้วยให้รีบกลับบ้าน" รีบโทรศัพท์หาลูกชายคนโต มือก็เขย่าเรียกสามีคู่ทุกข์คู่ยากคู่สุขคู่สมตลอดเวลา
…………………………
“เสียใจด้วยนะคุณพี่สาคร คุณพี่ถมทองเขาไปดีแล้วล่ะ”
“ตาถมทำไมไปเร็วจัง ยังแข็งแรงอยู่เลย คนตายก็ตายไปแล้ว คนอยู่ก็สู้ต่อไปนะยายสา” คนข้างบ้านกุมมือยายสาปลอบโยน
“พ่อป่วยเป็นมะเร็ง ทำไมหมอบอกว่าพ่อเสียชีวิตเพราะช็อก หัวใจหยุดเต้นล่ะแม่ แม่พ่อช็อกเรื่องอะไร” ลูก ๆ และ เพื่อน ๆ ญาติมิตรถามถึงเรื่องราวของถมทอง สาครไม่ตอบอะไรอีกทั้งไม่มีน้ำตาสักหยดด้วย
“พ่อแกเค้าหมดเวรหมดกรรมละ” ยายสาหรือนางสาครพูดเพียงเท่านี้….
จบ….
เกินคำว่ารัก
ชลัน
“พ่อไม่ต้องห่วงนะ แม่มีเงิน แม่จะรักษาพ่อเอง เราจะอยู่ด้วยกันนะพ่อ” ยายสาพูดกับผู้เป็นสามี เมื่อทราบว่าสามีเป็นโรคร้ายระยะแรก แค่เพียงระยะแรกเท่านั้น
สามีคู่ทุกข์คู่ยากคู่สุขคู่สม ต้องหายจากโรคนี้ จะอยู่ด้วยกันตราบนานแสนนาน อย่างน้อย ๆ ตนเองต้องตายก่อนสามีล่ะ ไม่อยากทนทุกข์เสียใจหากสามีต้องตายก่อน
ยายสานั่งถักตุ๊กตาไหมพรมอยู่ในบ้าน ณ ห้องนั่งเล่น จนทุกวันนี้ยายสาก็ยังไม่เลิกถักมันเลย อยู่กันสองคนตายายพร้อมหลานชายอีกสองคนที่ยังเล็กอยู่ ส่วนตาถมนั่งจิบชาอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เช่นกัน
“แม่จะไปรบกวนลูก ๆ เขาทำไม โรคของพ่อมันไม่หายหรอก” ตาถมพูด ปรายตามองผู้เป็นภรรยาที่กำลังนั่งถักตุ๊กตาไหมพรมอยู่ นานกี่ปีแล้วที่เห็นภรรยายังถักมันอยู่เช่นนี้ ตาถมจำได้ก็ตั้งแต่หลังแต่งงานมาเรื่อย ๆ จนมีลูกด้วยกันสามคน มีหลานอีกสองคน ยายสาก็ยังถักอยู่อย่างนั้น
ตาถมไม่ทุกข์ไม่ร้อนทุกคนเกิดมาย่อมจากไป ไม่มีใครหนีพ้นความตายได้ ตนเองไม่กลัวความตายด้วย เพราะผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านโลกมาคุ้มนักแล้ว
“แม่ไม่ได้จะรบกวนลูก ๆ มันหรอก แม่มีเงินเก็บของแม่เอง แม่มีเงินเก็บในธนาคารตั้งล้านกว่าบาทแหนะ” ยายสาพูดอย่างภาคภูมิใจ ที่ตนเองสามารถถักตุ๊กตาไหมพรมขายทำเงินได้ขนาดนี้
ตาถมขมวดคิ้วเข้าหากัน ไม่อยากเชื่อว่า ภรรยาจะถักตุ๊กตาขายได้เงินมากมายขนาดนี้ ตนเองไม่เคยรู้มาก่อนเลย เพราะตอนหนุ่ม ๆ ไม่ค่อยอยู่บ้านเท่าไหร่นัก มัวแต่ทำงาน พึ่งจะอยู่ติดบ้านก็ตอนเกษียณแถมยังมาป่วยเป็นโรคร้ายอีก
“แม่จะเล่าอะไรให้ฟังนะ” ยายสาพูดปนยิ้ม
ย้อนกลับไปสามสิบกว่าปี ณ โรงแรมแห่งหนึ่ง กำลังจัดงานแต่งงานอย่างรื่นเริง ที่ฉากเวทีเขียนว่า ‘สมรัก สมรส’ ระหว่างนางสาวสาครกับนายถมทอง มีเพื่อน ๆ ญาติมิตรมาร่วมแสดงความยินดีด้วยมากมาย สาครและถมทองรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
“อยู่กันจนแก่เฒ่า มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองน้าถมทองกับสาคร” เพื่อน ๆ อวยพรระหว่างรดน้ำสังข์
“ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรน้าทั้งสองคน หนักนิดเบาหน่อยอภัยให้แก่กันและกันนะ” ญาติ ๆ อวยพรระหว่างรดน้ำสังข์
หลังรดน้ำสังข์เสร็จแขกทุกคนก็ทยอยกลับ พ่อของสาครก็ได้เดินเข้ามาคุยด้วย “แต่งงานเป็นผัวเป็นเมียกันแล้ว วันไหนโกรธผัวให้ลูกซื้อด้ายมาถักตุ๊กตานะ แล้วลูกจะใจเย็นลง” พ่อได้บอกเอาไว้ สาครพยักหน้าตอบรับ “หนักนิดเบาหน่อยอภัยให้กันและกันนะ” พ่อได้สอนเอาไว้
หลังแต่งงานสาครก็ได้นั่งถักตุ๊กตาไหมพรมเรื่อยมา ถักอยู่เป็นประจำ แรกก็นาน ๆ ครั้งได้นั่งถักที พอมีลูกคนที่สองสาครนั่งถักตุ๊กตาไหมพรมแทบทุกวัน โดยที่ถมทองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เนื่องจากทั้งสองคนไม่เคยมีปากเสียงทะเลาะอะไรกันเลย มีบ้างก็นิด ๆ หน่อย ๆ ก็หายโกรธกันไป ไม่ถึงขั้นรุนแรงเหมือนคู่อื่น ๆ
สาครไม่คิดจะเถียงอยู่แล้ว จำคำที่พ่อบอกเอาไว้ตอนแต่งงาน อย่าทะเลาะกัน อย่าเถียงกัน ถ้าโกรธผัวให้หาซื้อไหมพรมมาถักตุ๊กตาแทน แล้วจะใจเย็นลง
ตั้งแต่มีลูกคนที่สองสาครก็ได้นั่งถักตุ๊กตาไม่เว้นแต่ละวันกันเลยทีเดียว พอถักทุกวันก็ได้ตุ๊กตาหลายตัว จึงคิดจะเปลี่ยนความโกรธเป็นเงินดีกว่า จึงนำตุ๊กตาไหมพรมที่ถักได้นำเอาไปขาย ขายไปเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน มีคนซื้อก็ขาย
สาครไม่เคยได้พักผ่อนเลย เพราะพ่อสอนเอาไว้ว่า ถ้าวันไหนผัวทำไม่ดีมา โกรธผัวมากอย่าไปด่าไปว่าเขา ให้ถักตุ๊กตา โกรธทุกวันก็ถักทุกวัน สาครจึงไม่เคยได้พักผ่อนเลย พอหายโกรธก็นำตุ๊กตาไปวางขายเช่นเดิม
“แม่ก็เลยมีเงินเก็บไง เพราะพ่อของแม่บอกว่าเมื่อไหร่ที่แม่โกรธพ่อให้แม่ถักตุ๊กตา”
“อ้อ เป็นแบบนี้นี่เอง พ่อไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะแม่” ตาถมพูด ซึ้งในน้ำใจของภรรยามาก ๆ
“อือใช่! พ่อไม่เคยรู้หรอกว่าแม่ถักได้วัน ๆ หนึ่งไม่รู้กี่ตัวต่อกี่ตัว เพราะ… เพราะทำให้กูโกรธทุกวัน! ในวันที่มืงแอบไปมีเมียน้อยเนี่ย กุนั่งถักตุ๊กตานำไปขายได้เงินมาเป็นล้าน ๆ เลยไอ้ถมทอง หึหึ” สาครจ้องหน้าถมทองตาเขม่น
ถมทองอ้าปากค้าง ตาเหลือกตาค้างทันทีที่สาครพูดจบ ตาเหลือกตาค้างเพราะตกใจตลอดที่ผ่านมาเป็นระยะเวลากว่าสามสิบปี คิดว่าตนเองซ่อนเมียน้อยไว้เนียนที่สุดแล้ว ไม่คิดว่าผู้เป็นภรรยาจะทราบเรื่องนี้มาโดยตลอด เนื่องจากไม่เคยทะเลาะหรือมีปากเสียงอะไรกันเลยสำหรับเรื่องผู้หญิง และ เรื่องเมียน้อยของตนเอง
กลับมาบ้านวัน ๆ ก็เห็นแต่สาครผู้เป็นภรรยานั่งถักตุ๊กตาไหมพรมอยู่อย่างนั้น ก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร อยากถักก็ปล่อยให้ถักไป จนมาถึงวันนี้! สาครผู้เป็นภรรยาก็ยังนั่งถักตุ๊กตาอยู่ ขณะนี้ตนเองก็ยังไม่ทันได้เลิกกับเมียน้อยด้วยเหมือนกัน เพราะป่วยจึงได้กลับมาอยู่บ้าน
“อ้าวพ่อ! ตาถม! พ่อเป็นอะไร ปลาวาฬเอ้ยวิ่งไปบอกเพื่อนบ้านมาช่วยตาหน่อยเร็วลูก ตาช็อก!” สาครตะโกนบอกหลานชายคนโต มือก็เขย่าเรียกตาถมที่กำลังตัวแข็งทื่อ ช็อกไปกับสิ่งที่ตนเองพูดเมื่อครู่
“นิพนธ์กลับบ้านด่วน พ่อแกช็อก! โทรบอกน้อง ๆ ด้วยให้รีบกลับบ้าน" รีบโทรศัพท์หาลูกชายคนโต มือก็เขย่าเรียกสามีคู่ทุกข์คู่ยากคู่สุขคู่สมตลอดเวลา
…………………………
“เสียใจด้วยนะคุณพี่สาคร คุณพี่ถมทองเขาไปดีแล้วล่ะ”
“ตาถมทำไมไปเร็วจัง ยังแข็งแรงอยู่เลย คนตายก็ตายไปแล้ว คนอยู่ก็สู้ต่อไปนะยายสา” คนข้างบ้านกุมมือยายสาปลอบโยน
“พ่อป่วยเป็นมะเร็ง ทำไมหมอบอกว่าพ่อเสียชีวิตเพราะช็อก หัวใจหยุดเต้นล่ะแม่ แม่พ่อช็อกเรื่องอะไร” ลูก ๆ และ เพื่อน ๆ ญาติมิตรถามถึงเรื่องราวของถมทอง สาครไม่ตอบอะไรอีกทั้งไม่มีน้ำตาสักหยดด้วย
“พ่อแกเค้าหมดเวรหมดกรรมละ” ยายสาหรือนางสาครพูดเพียงเท่านี้….
จบ….