ลูกแมวเราพันธุ์เปอร์เซีย เพศผู้ค่ะ น้องอายุประมาณ 3 ปี 10 เดือน ช่วง 3 เดือนให้หลังมานี้น้องเริ่มมีอาการป่วยเป็นนิ่ว โดยครั้งแรกที่เป็นคือมีอาการคล้ายปัสสาวะอักเสบ (น้องฉี่เป็นเลือดจาง ๆ) ทีนี้เราเลยพาไปหาหมอค่ะ รักษามาเรื่อย ๆ เพราะน้องมีอาการแบบเป็น ๆ หาย ๆ โดยครั้งถัดไปที่ทำให้ทราบว่าน้องเป็นนิ่ว คือ น้องมีอาการฉี่ไม่ออก พอตรวจจึงทราบว่าน้องเป็นนิ่ว(ชนิดสตูไวท์) ในส่วนการรักษาเราก็เคยพาน้องไปรักษาที่คลินิก B ค่ะ โดยการรักษาจะทำการวางยาสลบน้องแล้วสวนท่อฉี่ จากนั้นคาท่อทิ้งไว้ประมาณ 1 อาทิตย์ค่ะ ตอนเอากลับมาดูแลก็คือมีการปรับสูตรอาหารของน้องให้เป็นสูตรที่รักษานิ่วค่ะ น้องดีขึ้นได้พักนึงค่ะ ตอนหลังเริ่มมีพฤติกรรมการฉี่แปลก ๆ คือ ฉี่กระปริกระปรอย ฉี่ไม่เป็นที่ จากนั้นจึงเริ่มฉี่น้อยลงจนฉี่ไม่ออก โดยเราสังเกตจากการที่เราตักกระบะทรายน้องในทุก ๆ เช้า แล้วพบว่าปริมาณมันลดลง จนแทบไม่มีเลย เราเลยคลำกระเพาะปัสสาวะน้อง(ปกติคลำเองไม่ค่อยเจอ) แต่พอรอบนี้คลำเจอค่ะก็คือดูใหญ่มาก เราเลยพาน้องไปสวนท่อที่คลินิก A แต่พบว่าสวนท่อไม่เข้า (ลองสอดแบบไม่ใช้ยาสลบ ใช้เวลานานมากแต่ก็ไม่เข้า) ทางคลินิกก็เลยให้ยามากินแทนค่ะ ถัดมาอีกวันเราก็ร้อนใจเป็นห่วงน้อง เราก็เลยตัดสินใจพาน้องไปรพส. C ค่ะ เป็นรพส. ของมหาลัยแถวบางเขน เราก็เห็นว่ามันก็ดูมีความน่าเชื่อถือด้วย (ทีแรกเราลังเลระหว่าง คลินิก B กับ รพส. C ค่ะ เพราะว่าคลินิก B เป็นคลินิกประจำที่เราเคยพาน้องไปสวนท่อ แล้วหมอก็ดูแลและให้คำปรึกษาดีเลยค่ะ แต่ติดที่ว่าเปิดช้ากว่ารพส. C เราก็เกรงใจว่าถ้าจะโทรไปกวนหมอเค้า เราเลยเลือกว่าถ้างั้นลองไป รพส. C แทนแล้วกัน เพราะเคสการรักษาน้องก็คงจะคล้ายกันคือพาไปสวนท่อฉี่แล้วรับกลับมาดู)
พอเรามาถึงรพส. C ค่ะ ถึงประมาณ 6.30 (คือที่นี่จะเปิดรับคิว 7.30 เริ่มตรวจ 8.30) ก็มีคนมารับคิวก่อนหน้ากันพอสมควรแล้ว เราก็เอ้อโล่งใจ เพราะดูคนก็พาน้องหมาน้องแมวมารักษากันเยอะ ที่นี่ก็คงจะน่าเชื่อถือล่ะนะ เบื้องต้นค่ะ เมื่อได้รับการเรียกคิวแล้ว ก็จะประเมินอาการของน้องเบื้องต้นก่อนว่าฉุกเฉิน ซึ่งน้องฉี่ไม่ออก ก็เลยได้รับการประเมินว่าเป็นเคสฉุกเฉินค่ะ ทีนี้เราก็จะไปโผล่ตรง ER ปรากฏว่าหมอลองบีบฉี่ ฉี่ออกมาค่ะ เป็นสีหลืองอ่อน ๆ (แต่ก่อนหน้านี้เราลองบีบแล้วบีบไม่ออกนะคะ) ทีนี้หมอเลยวัดไข้ดูค่ะ ปรากฎว่าไข้ขึ้นมาที่ 39 องศา แต่เนื่องจากแมวเราขนเยอะ หมอเค้าเลยขอลองโกนขนบริเวณท้องออก แล้วจับน้องไปนั่งเป่าพัดลมค่ะ สักพักกลับมาวัดไข้ใหม่ลดลงมาเหลือ 37 องศา หมอเค้าเลยบอกว่าถ้ายังงั้นจะส่งไปแผนกทั่วไปแทน (ตรงนี้ไม่ได้มีการเจาะระบายฉี่ออกผ่านทางช่องท้องให้ ซึ่งจริงๆควรทำเพราะจะช่วยให้น้องสบายตัวขึ้น)
ถัดมาค่ะเราถึงแผนกทั่วไป คุยอาการและวิธีการรักษาของน้องเบื้องต้น ในส่วนของอาการเราก็เล่าให้ฟังว่าน้องเคยเป็นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ได้รับการรักษามายังไงบ้าง เคยวางยาสวนท่อมาแล้วครั้งหนึ่งนะ ยาที่กินไปมีอะไรบ้าง เราก็เอามาให้ดูเลย ปริมาณน้ำที่เราป้อนน้ำน้องต่อวันอยู่ที่กี่ ml. ก็แจ้งรายละเอียดเค้าไปทุกอย่าง หมอก็แจ้งมาว่าในส่วนวิธีการรักษาจะให้ไปเอกซเรย์เพื่อดูว่าก่อนว่ามีอะไรไปอุดไหม จากนั้นก็จะทำการวางยาสลบแล้วสวนท่อฉี่ โดยจะมีการเจาะระบายฉี่ออกทางหน้าท้องก่อนแล้วก็ตรวจเลือดด้วย
พอเริ่มเข้าวิธีการรักษาขั้นแรกก็คือพาน้องไป x-ray ค่ะ เสร็จแล้วกลับมาคุยผลกับหมอต่อ ผลออกมาคือกระเพาะปัสสาวะน้องเต่งมาก ๆ จากนั้นเลยพาน้องมารอเตรียมทำหัตถกรรมต่อค่ะ (แจ้งก่อนว่าหมอห้องหัตถกรรมกับหมอเจ้าของเคสคือคนละคนกันนะคะ) พอเข้าไปในห้องหัตถกรรม เค้าก็ให้เราออกมารอข้างนอกค่ะ เรารอได้สักพักใหญ่ ๆ ค่ะ หมอเจ้าของเคสเดินมาหาเราแล้วแจ้งว่าน้องมีภาวะหยุดหายใจระหว่างให้ยาสลบ โดยได้มีการทำ CPR ไป 1 ช็อค กำลังจะเพิ่มเป็น 2 ช็อค สุดท้ายน้องไม่ฟื้นค่ะ หมอก็ถามค่ะว่าที่คลินิกเก่าได้แจ้งไหมว่าน้องตอบสนองรุนแรงต่อยาสลบ เราก็บอกว่า ไม่นะคะ เพราะที่น้องเคยได้ยาสลบมาเราก็เอากลับมาดูแลรอน้องฟื้น ไม่ได้ดูมีอะไรที่ผิดปกติ หมอก็แจ้งอีกว่าถ้ายังงั้นอาจจะเป็นเพราะร่างกายน้องอ่อนแอ แต่เราก็สงสัยค่ะเพราะก่อนเข้าไปน้องยังมีสภาพปกติดีอยู่เลย แค่ฉี่ไม่ออกเท่านั้นที่เป็นปัญหา แต่เค้าก็เอาผลเลือดกับค่าไตมาให้ดูค่ะว่าติดเชื้อนะ และค่าไตค่อนข้างสูง (แต่คือน้องยังฉี่เป็นสีเหลืองอยู่เลยนะคะ เห็นจากที่หมอ ER บีบออกมา ยังไม่ได้ฉี่ไม่ออกถึงกับเป็นเลือด << ซึ่งถ้าอยู่ในภาวะนี้เราโอเคเชื่อค่ะว่ามันอ่อนแอจริง ๆ แต่เคสของเรา คือ ก่อนเข้าห้องน้องยังฟังรู้เรื่อง และมีแรงเล่นกับเราอยู่เลย) แต่วันนั้นเราทำอะไรไม่ถูกเลยค่ะ เสียใจมาก ๆ เป็นความรู้สึกที่หัวใจสลายซ้ำแล้วซ้ำอีก เดินร้องไห้อยู่ในรพ. ความรู้สึก คือ พังทุกอย่างค่ะ เพราะเรามีชีวิตอยู่เพื่อเลี้ยงน้อง พอน้องไม่อยู่แล้วมันไปไม่ถูกเลยค่ะ ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไรเลย วันนั้นที่ทำได้คือพาร่างน้องกลับบ้านค่ะ จัดทำพิธีให้น้อง แล้วกลับมาตั้งหลัก โชคดีที่มีคนรอบข้างดีดีคอยซัพพอร์ต
(ภาพผล x-ray ของน้องค่ะ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สุดท้ายค่ะ เราเริ่มตั้งสติได้บ้าง เลยเข้าไปขอผลการรักษาที่รพส. ก็ได้มาดังนี้ค่ะ
1. เราถามเรื่อง step การรักษาว่าสรุปขั้นตอนการรักษาน้องในระหว่างที่อยู่ห้องหัตถกรรมเป็นยังไงบ้าง
ขั้นที่ 1 : แจ้งว่าได้ทำการสวนท่อโดยที่ไม่ได้วางยาสลบ และไม่ได้เจาะระบายน้ำออกทางหน้าท้องก่อน ตลกดีค่ะขั้นนี้ ไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร เพราะว่าก่อนหน้านี้เราแจ้งแล้วว่า เมื่อวานได้มีการพาน้องไปลองสวนท่อฉี่แล้วแต่มันไม่เข้า << ก็คืองงว่าจะทรมานน้องอีกทำไม บวกกับ ผล x-ray ที่ก็จะเห็นว่าท่อปัสสาวะของน้องขยายใหญ่มาก ๆ แล้ว ซึ่งโดยหลักการที่ปรึกษากับสัตวแพทย์ท่านอื่นก็บอกว่า จะต้องเจาะระบายฉี่ออกทางหน้าท้องก่อนถึงจะสามารถลองสวนท่อฉี่ได้ เพราะไม่ยังงั้นน้องจะมีอาการเกร็งทำให้สอดยังไงก็ไม่เข้า ซึ่งมันก็จะเป็นการทรมานน้องให้เจ็บมากขึ้นกว่าเดิม ก็งงอีกว่าแล้วจะให้ x-ray ไปทำไม ถ้าสุดท้ายเห็นผลลัพธ์อยู่ตำตา แต่ไม่เอาไปใช้ต่อ กลับทำอะไรก็ไม่รู้ เราเลยถามต่อว่าทำไมถึงไม่เจาะระบายฉี่ออกทางหน้าท้องก่อนที่จะสวนท้อง ได้รับคำอธิบายมาว่า ที่นี่ทำแบบนี้ เพราะกลัวว่าถ้าเจาะโดยไม่วางยาสลบน้อง แล้วน้องอาจจะดิ้นจนทำให้กระเพาะปัสสาวะแตกได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วลูกแมวหนักแค่ 3.65 โลเองค่ะ คนที่อยู่หัตถกรรมตอนเราเอาน้องไปส่งก็ยืนมุงกันอยู่ 5-6 คน แล้วคือคนที่ยืนอยู่ทั้งหลายนี่จับแมวให้นิ่งไม่ได้เหรอคะ คนเยอะมากนะ และจากที่เราปรึกษาสัตวแพทย์ท่านอื่นเพิ่มเค้าก็บอกว่าโอกาสมันยากมากที่น้องจะดิ้นจนกระเพาะปัสสาวะแตก เพราะว่าน้องเจ็บอยู่ ต่อให้ดิ้นก็ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นที่จะทำให้แตกได้ การระบายฉี่ออกก่อนมันจะทำให้น้องสบายตัวขึ้น จากนั้นจะสงบลง ซึ่งเอาจริง ๆ ถ้ารพส.จะกังวลเรื่องกระเพาะปัสสาวะแตก จากการระบายฉี่ผ่านหน้าท้องโดยไม่ได้วางยาสลบ ก็ควรข้ามขั้นตอนการสวนฉี่โดนที่ไม่ได้ระบายฉี่ออกผ่านช่องท้องก่อนไหมคะ ในความรู้สึกคือเหมือนเป็นขั้นตอนที่ทำให้น้องต้องมาเจ็บตัวฟรี ๆ ไม่ได้อะไรเลยนอกจากความทรมาน
2. เนื่องจากหมอแจ้งว่าน้องเสียระหว่างให้ยาสลบ น้องมีอาการต้านยาสลบ จากนั้นจึงหยุดหายใจไป << เราเลยถามเพิ่มค่ะว่ายาสลบที่ใช้คือยาสลบอะไร ปริมาณเท่าไหร่ ทีแรกเราได้มาแต่ชื่อยาสลบค่ะ ไม่ทราบปริมาณ เราเลยขอให้หมอที่เป็นคนเขียนผลถามเพิ่มจากหมอเจ้าของเคสค่ะ สุดท้ายก็เลยได้ปริมาณมา ตรงนี้หมอแจ้งเพิ่มว่ามี serosang คือ น้ำแดงจาง ๆ ไหลออกมาด้วย เราก็ถามว่ามันคือน้ำอะไร ออกมาได้ไง เค้าก็บอกว่ามันมีโอกาสพบในแมวที่เป็นโรคหัวใจ (เราก็งงน้องอยู่กับเรามาตลอดเกือบ 4 ปีไม่ได้ดูมีอาการว่าจะผิดปกติอะไร อ้าวเป็นโรคหัวใจแบบไม่แสดงอาการเหรอเนี่ย ก็งงไปเลย) ทีนี้เราเลยไปขอผลเพิ่มจากคลินิก B ที่เราเคยพาน้องไปสวนท่อมาค่ะ เราก็ปรึกษาหมอเรื่องตัวยาสลบกับ serosang ซึ่งคำตอบที่ได้ค่ะ คือ
- ยาสลบ : น้องไม่ได้มีอาการไวต่อยาสลบเลย โดยยาสลบที่คลินิก B ใช้ คือ Atropine 0.1 ml , Xylazine 0.3 ml. และ Zolitil 0.2 ml (โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อ และ monitor ตลอด น้องไม่แสดงอาการหลังวางยาสลบใด ๆ เลย) แต่ยาสลบที่ รพส.C ใช้คือ Propofal 2 cc. (น้องมีอาการต้าน จากนั้นจึงหยุดหายใจ) ซึ่งทางคลินิกก็ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่าตัว propofal เนี่ย ปกติแล้วจะใช้กับน้องหมาเป็นส่วนใหญ่ ถ้าเกิดเอามาใช้กับน้องแมว จะพบว่าน้องแมวบางตัวที่ sensitive จะมีอาการแพ้ได้ (เราก็ช็อคไปเลย ตอนคุยกับหมอที่รพส. C ไม่เห็นมีการแจ้งเรื่องนี้เลย ไม่มีการแจ้งเรื่องรายละเอียดของยาสลบที่ใช้ ไม่มีการถามว่าที่เก่าใช้ยาอะไร มีแต่ถามในเรื่องของการงดข้าวงดน้ำ แล้วให้เซ็นต์ยินยอมการวางยาสลบแค่นั้นเลย)
- ในส่วนของ serosang ที่เราสงสัยว่ามันคืออะไรกันแน่ หมอก็บอกเพิ่มมาว่าจริง ๆ มันอาจจะไม่ใช่มาจากแมวที่เป็นโรคหัวใจก็ได้นะ แต่มันอาจเกิดขึ้นได้หลังจากที่น้องเสียไปแล้ว น้ำจึงไหลออกมาก็ได้ และจากที่ปรึกษากับหมอท่านอื่นมาด้วยเค้าก็เปรียบเทียบให้ดูค่ะว่าถ้าน้องเป็นโรคหัวใจจริง ๆ เนี่ย ตัวยา Zolitil ที่คลินิก B ใช้กดการหายใจมากกว่า Propofal ที่ รพส.C ใช้อีก
(ผลการรักษาที่รพส. C)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
(ยาสลบที่ใช้ที่เราถามจาก คลินิก B)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
(ข้อมูลปรึกษาจาพสัตวแพทย์ท่านอื่นเพิ่มเติมค่ะ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สรุปค่ะ
- เรารู้สึกเหมือนรพส.โทษน้องอย่างเดียวเลย ตอนวันที่เสียก็ให้เหตุผลว่าร่างกายน้องอ่อนแอ ไวต่อยาสลบ
- พอรอบไปถามผลการรักษาก็มาบอกว่าน้องมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ
- ไม่มีคำพูดไหนที่โทษตัวเองหรือบอกว่าเป็นความผิดตัวเองเลย ในความรู้สึกก็คือดูปกป้องตัวเองมากไปหน่อย ทั้ง step การรักษาก็แปลก ฉี่ไม่ออกส่งไป er ก็ไม่มีการเจาะระบายให้ก่อน, พอมาหัตถกรรมเห็นผล x-ray อยู่แล้วว่ากระเพาะเต่งมาก แต่ก็ยังพยายามจะสวนท่อต่อ, เรื่องของยาสลบก็น่างง คือเราไม่รู้ไม่ได้จบหมอ แต่ต้องมีความรู้ถึงหมอเลยเหรอ ต้องถามเองไหมว่าวันนี้จะวางยาสลบตัวไหน ใช้ยาอะไร บางทีก็สงสัยว่าเราที่เป็นคนพาน้องไปรักษาต้องถามถึงขั้นนั้นเลยเหรอ ทำไมคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนั้น ๆ ถึงไม่บอก หรือถามเรา เราจะไปรู้ได้ยังไงว่าต้องถามอะไรมั่ง แต่ละตัวต่างกันยังไง จะรู้ไหมว่ามันมีกี่แบบใช้อะไรบ้าง ดีเทลบางอย่างถ้าเราต้องรู้ ต้องขนขวายเองขนาดนี้ ให้เป็นหมอแล้วรักษาเองเลยมั้ย คือเราไว้ใจเค้าเชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญได้นี้ แต่สุดท้ายกลายเป็นลูกเราต้องมาตาย พาไปแบบเชื่อใจมากว่าลูกเราจะต้องหาย แต่สุดท้ายพากลับบ้านแบบไม่มีลมหายใจ
- คนที่ทำงานสายนี้บางคนอาจจะชินกับความตายนะคะ แต่จริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องปกติ มันเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้วอันนี้จริงค่ะ (แต่มันควรเกิดเมื่อสมควรเกิด ถ้ามันเป็นเคสที่สามารถรักษาหายได้ ก็ไม่ควรต้องมาตายหรือเปล่า) และอยากให้รู้ว่าทุกครั้งที่มันเกิดขึ้น มันส่งผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงให้กับคนที่ต้องอยู่ต่อนะคะ เคสนี้อาจจะเห็นว่าแค่แมวตัวนึงตายไป ก็ใช้ชีวิตต่อไปสิ แต่แมวตัวนึงอาจเป็นทั้งชีวิตของคนอีกคนนึงนะคะ สำหรับน้องแมวของเรา ขอบคุณเค้ามากที่ตอนนั้นเข้ามาเป็นเหตุผลให้เรามีชีวิตอยู่ต่อ น้องคือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเราจริง ๆ
- ถ้าเจอคลินิกที่รักษาดีดีๆ ให้รักษาไว้นะคะ
(ภาพน้องก่อนการเข้าทำหัตถกรรมค่ะ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แมวน้อยหนีไปพักผ่อนที่ดาวแมว พาไปรักษาแต่พากลับมาแบบไม่มีลมหายใจ
พอเรามาถึงรพส. C ค่ะ ถึงประมาณ 6.30 (คือที่นี่จะเปิดรับคิว 7.30 เริ่มตรวจ 8.30) ก็มีคนมารับคิวก่อนหน้ากันพอสมควรแล้ว เราก็เอ้อโล่งใจ เพราะดูคนก็พาน้องหมาน้องแมวมารักษากันเยอะ ที่นี่ก็คงจะน่าเชื่อถือล่ะนะ เบื้องต้นค่ะ เมื่อได้รับการเรียกคิวแล้ว ก็จะประเมินอาการของน้องเบื้องต้นก่อนว่าฉุกเฉิน ซึ่งน้องฉี่ไม่ออก ก็เลยได้รับการประเมินว่าเป็นเคสฉุกเฉินค่ะ ทีนี้เราก็จะไปโผล่ตรง ER ปรากฏว่าหมอลองบีบฉี่ ฉี่ออกมาค่ะ เป็นสีหลืองอ่อน ๆ (แต่ก่อนหน้านี้เราลองบีบแล้วบีบไม่ออกนะคะ) ทีนี้หมอเลยวัดไข้ดูค่ะ ปรากฎว่าไข้ขึ้นมาที่ 39 องศา แต่เนื่องจากแมวเราขนเยอะ หมอเค้าเลยขอลองโกนขนบริเวณท้องออก แล้วจับน้องไปนั่งเป่าพัดลมค่ะ สักพักกลับมาวัดไข้ใหม่ลดลงมาเหลือ 37 องศา หมอเค้าเลยบอกว่าถ้ายังงั้นจะส่งไปแผนกทั่วไปแทน (ตรงนี้ไม่ได้มีการเจาะระบายฉี่ออกผ่านทางช่องท้องให้ ซึ่งจริงๆควรทำเพราะจะช่วยให้น้องสบายตัวขึ้น)
ถัดมาค่ะเราถึงแผนกทั่วไป คุยอาการและวิธีการรักษาของน้องเบื้องต้น ในส่วนของอาการเราก็เล่าให้ฟังว่าน้องเคยเป็นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ได้รับการรักษามายังไงบ้าง เคยวางยาสวนท่อมาแล้วครั้งหนึ่งนะ ยาที่กินไปมีอะไรบ้าง เราก็เอามาให้ดูเลย ปริมาณน้ำที่เราป้อนน้ำน้องต่อวันอยู่ที่กี่ ml. ก็แจ้งรายละเอียดเค้าไปทุกอย่าง หมอก็แจ้งมาว่าในส่วนวิธีการรักษาจะให้ไปเอกซเรย์เพื่อดูว่าก่อนว่ามีอะไรไปอุดไหม จากนั้นก็จะทำการวางยาสลบแล้วสวนท่อฉี่ โดยจะมีการเจาะระบายฉี่ออกทางหน้าท้องก่อนแล้วก็ตรวจเลือดด้วย
พอเริ่มเข้าวิธีการรักษาขั้นแรกก็คือพาน้องไป x-ray ค่ะ เสร็จแล้วกลับมาคุยผลกับหมอต่อ ผลออกมาคือกระเพาะปัสสาวะน้องเต่งมาก ๆ จากนั้นเลยพาน้องมารอเตรียมทำหัตถกรรมต่อค่ะ (แจ้งก่อนว่าหมอห้องหัตถกรรมกับหมอเจ้าของเคสคือคนละคนกันนะคะ) พอเข้าไปในห้องหัตถกรรม เค้าก็ให้เราออกมารอข้างนอกค่ะ เรารอได้สักพักใหญ่ ๆ ค่ะ หมอเจ้าของเคสเดินมาหาเราแล้วแจ้งว่าน้องมีภาวะหยุดหายใจระหว่างให้ยาสลบ โดยได้มีการทำ CPR ไป 1 ช็อค กำลังจะเพิ่มเป็น 2 ช็อค สุดท้ายน้องไม่ฟื้นค่ะ หมอก็ถามค่ะว่าที่คลินิกเก่าได้แจ้งไหมว่าน้องตอบสนองรุนแรงต่อยาสลบ เราก็บอกว่า ไม่นะคะ เพราะที่น้องเคยได้ยาสลบมาเราก็เอากลับมาดูแลรอน้องฟื้น ไม่ได้ดูมีอะไรที่ผิดปกติ หมอก็แจ้งอีกว่าถ้ายังงั้นอาจจะเป็นเพราะร่างกายน้องอ่อนแอ แต่เราก็สงสัยค่ะเพราะก่อนเข้าไปน้องยังมีสภาพปกติดีอยู่เลย แค่ฉี่ไม่ออกเท่านั้นที่เป็นปัญหา แต่เค้าก็เอาผลเลือดกับค่าไตมาให้ดูค่ะว่าติดเชื้อนะ และค่าไตค่อนข้างสูง (แต่คือน้องยังฉี่เป็นสีเหลืองอยู่เลยนะคะ เห็นจากที่หมอ ER บีบออกมา ยังไม่ได้ฉี่ไม่ออกถึงกับเป็นเลือด << ซึ่งถ้าอยู่ในภาวะนี้เราโอเคเชื่อค่ะว่ามันอ่อนแอจริง ๆ แต่เคสของเรา คือ ก่อนเข้าห้องน้องยังฟังรู้เรื่อง และมีแรงเล่นกับเราอยู่เลย) แต่วันนั้นเราทำอะไรไม่ถูกเลยค่ะ เสียใจมาก ๆ เป็นความรู้สึกที่หัวใจสลายซ้ำแล้วซ้ำอีก เดินร้องไห้อยู่ในรพ. ความรู้สึก คือ พังทุกอย่างค่ะ เพราะเรามีชีวิตอยู่เพื่อเลี้ยงน้อง พอน้องไม่อยู่แล้วมันไปไม่ถูกเลยค่ะ ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไรเลย วันนั้นที่ทำได้คือพาร่างน้องกลับบ้านค่ะ จัดทำพิธีให้น้อง แล้วกลับมาตั้งหลัก โชคดีที่มีคนรอบข้างดีดีคอยซัพพอร์ต
(ภาพผล x-ray ของน้องค่ะ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สุดท้ายค่ะ เราเริ่มตั้งสติได้บ้าง เลยเข้าไปขอผลการรักษาที่รพส. ก็ได้มาดังนี้ค่ะ
1. เราถามเรื่อง step การรักษาว่าสรุปขั้นตอนการรักษาน้องในระหว่างที่อยู่ห้องหัตถกรรมเป็นยังไงบ้าง
ขั้นที่ 1 : แจ้งว่าได้ทำการสวนท่อโดยที่ไม่ได้วางยาสลบ และไม่ได้เจาะระบายน้ำออกทางหน้าท้องก่อน ตลกดีค่ะขั้นนี้ ไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร เพราะว่าก่อนหน้านี้เราแจ้งแล้วว่า เมื่อวานได้มีการพาน้องไปลองสวนท่อฉี่แล้วแต่มันไม่เข้า << ก็คืองงว่าจะทรมานน้องอีกทำไม บวกกับ ผล x-ray ที่ก็จะเห็นว่าท่อปัสสาวะของน้องขยายใหญ่มาก ๆ แล้ว ซึ่งโดยหลักการที่ปรึกษากับสัตวแพทย์ท่านอื่นก็บอกว่า จะต้องเจาะระบายฉี่ออกทางหน้าท้องก่อนถึงจะสามารถลองสวนท่อฉี่ได้ เพราะไม่ยังงั้นน้องจะมีอาการเกร็งทำให้สอดยังไงก็ไม่เข้า ซึ่งมันก็จะเป็นการทรมานน้องให้เจ็บมากขึ้นกว่าเดิม ก็งงอีกว่าแล้วจะให้ x-ray ไปทำไม ถ้าสุดท้ายเห็นผลลัพธ์อยู่ตำตา แต่ไม่เอาไปใช้ต่อ กลับทำอะไรก็ไม่รู้ เราเลยถามต่อว่าทำไมถึงไม่เจาะระบายฉี่ออกทางหน้าท้องก่อนที่จะสวนท้อง ได้รับคำอธิบายมาว่า ที่นี่ทำแบบนี้ เพราะกลัวว่าถ้าเจาะโดยไม่วางยาสลบน้อง แล้วน้องอาจจะดิ้นจนทำให้กระเพาะปัสสาวะแตกได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วลูกแมวหนักแค่ 3.65 โลเองค่ะ คนที่อยู่หัตถกรรมตอนเราเอาน้องไปส่งก็ยืนมุงกันอยู่ 5-6 คน แล้วคือคนที่ยืนอยู่ทั้งหลายนี่จับแมวให้นิ่งไม่ได้เหรอคะ คนเยอะมากนะ และจากที่เราปรึกษาสัตวแพทย์ท่านอื่นเพิ่มเค้าก็บอกว่าโอกาสมันยากมากที่น้องจะดิ้นจนกระเพาะปัสสาวะแตก เพราะว่าน้องเจ็บอยู่ ต่อให้ดิ้นก็ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นที่จะทำให้แตกได้ การระบายฉี่ออกก่อนมันจะทำให้น้องสบายตัวขึ้น จากนั้นจะสงบลง ซึ่งเอาจริง ๆ ถ้ารพส.จะกังวลเรื่องกระเพาะปัสสาวะแตก จากการระบายฉี่ผ่านหน้าท้องโดยไม่ได้วางยาสลบ ก็ควรข้ามขั้นตอนการสวนฉี่โดนที่ไม่ได้ระบายฉี่ออกผ่านช่องท้องก่อนไหมคะ ในความรู้สึกคือเหมือนเป็นขั้นตอนที่ทำให้น้องต้องมาเจ็บตัวฟรี ๆ ไม่ได้อะไรเลยนอกจากความทรมาน
2. เนื่องจากหมอแจ้งว่าน้องเสียระหว่างให้ยาสลบ น้องมีอาการต้านยาสลบ จากนั้นจึงหยุดหายใจไป << เราเลยถามเพิ่มค่ะว่ายาสลบที่ใช้คือยาสลบอะไร ปริมาณเท่าไหร่ ทีแรกเราได้มาแต่ชื่อยาสลบค่ะ ไม่ทราบปริมาณ เราเลยขอให้หมอที่เป็นคนเขียนผลถามเพิ่มจากหมอเจ้าของเคสค่ะ สุดท้ายก็เลยได้ปริมาณมา ตรงนี้หมอแจ้งเพิ่มว่ามี serosang คือ น้ำแดงจาง ๆ ไหลออกมาด้วย เราก็ถามว่ามันคือน้ำอะไร ออกมาได้ไง เค้าก็บอกว่ามันมีโอกาสพบในแมวที่เป็นโรคหัวใจ (เราก็งงน้องอยู่กับเรามาตลอดเกือบ 4 ปีไม่ได้ดูมีอาการว่าจะผิดปกติอะไร อ้าวเป็นโรคหัวใจแบบไม่แสดงอาการเหรอเนี่ย ก็งงไปเลย) ทีนี้เราเลยไปขอผลเพิ่มจากคลินิก B ที่เราเคยพาน้องไปสวนท่อมาค่ะ เราก็ปรึกษาหมอเรื่องตัวยาสลบกับ serosang ซึ่งคำตอบที่ได้ค่ะ คือ
- ยาสลบ : น้องไม่ได้มีอาการไวต่อยาสลบเลย โดยยาสลบที่คลินิก B ใช้ คือ Atropine 0.1 ml , Xylazine 0.3 ml. และ Zolitil 0.2 ml (โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อ และ monitor ตลอด น้องไม่แสดงอาการหลังวางยาสลบใด ๆ เลย) แต่ยาสลบที่ รพส.C ใช้คือ Propofal 2 cc. (น้องมีอาการต้าน จากนั้นจึงหยุดหายใจ) ซึ่งทางคลินิกก็ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่าตัว propofal เนี่ย ปกติแล้วจะใช้กับน้องหมาเป็นส่วนใหญ่ ถ้าเกิดเอามาใช้กับน้องแมว จะพบว่าน้องแมวบางตัวที่ sensitive จะมีอาการแพ้ได้ (เราก็ช็อคไปเลย ตอนคุยกับหมอที่รพส. C ไม่เห็นมีการแจ้งเรื่องนี้เลย ไม่มีการแจ้งเรื่องรายละเอียดของยาสลบที่ใช้ ไม่มีการถามว่าที่เก่าใช้ยาอะไร มีแต่ถามในเรื่องของการงดข้าวงดน้ำ แล้วให้เซ็นต์ยินยอมการวางยาสลบแค่นั้นเลย)
- ในส่วนของ serosang ที่เราสงสัยว่ามันคืออะไรกันแน่ หมอก็บอกเพิ่มมาว่าจริง ๆ มันอาจจะไม่ใช่มาจากแมวที่เป็นโรคหัวใจก็ได้นะ แต่มันอาจเกิดขึ้นได้หลังจากที่น้องเสียไปแล้ว น้ำจึงไหลออกมาก็ได้ และจากที่ปรึกษากับหมอท่านอื่นมาด้วยเค้าก็เปรียบเทียบให้ดูค่ะว่าถ้าน้องเป็นโรคหัวใจจริง ๆ เนี่ย ตัวยา Zolitil ที่คลินิก B ใช้กดการหายใจมากกว่า Propofal ที่ รพส.C ใช้อีก
(ผลการรักษาที่รพส. C)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
(ยาสลบที่ใช้ที่เราถามจาก คลินิก B)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
(ข้อมูลปรึกษาจาพสัตวแพทย์ท่านอื่นเพิ่มเติมค่ะ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สรุปค่ะ
- เรารู้สึกเหมือนรพส.โทษน้องอย่างเดียวเลย ตอนวันที่เสียก็ให้เหตุผลว่าร่างกายน้องอ่อนแอ ไวต่อยาสลบ
- พอรอบไปถามผลการรักษาก็มาบอกว่าน้องมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ
- ไม่มีคำพูดไหนที่โทษตัวเองหรือบอกว่าเป็นความผิดตัวเองเลย ในความรู้สึกก็คือดูปกป้องตัวเองมากไปหน่อย ทั้ง step การรักษาก็แปลก ฉี่ไม่ออกส่งไป er ก็ไม่มีการเจาะระบายให้ก่อน, พอมาหัตถกรรมเห็นผล x-ray อยู่แล้วว่ากระเพาะเต่งมาก แต่ก็ยังพยายามจะสวนท่อต่อ, เรื่องของยาสลบก็น่างง คือเราไม่รู้ไม่ได้จบหมอ แต่ต้องมีความรู้ถึงหมอเลยเหรอ ต้องถามเองไหมว่าวันนี้จะวางยาสลบตัวไหน ใช้ยาอะไร บางทีก็สงสัยว่าเราที่เป็นคนพาน้องไปรักษาต้องถามถึงขั้นนั้นเลยเหรอ ทำไมคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนั้น ๆ ถึงไม่บอก หรือถามเรา เราจะไปรู้ได้ยังไงว่าต้องถามอะไรมั่ง แต่ละตัวต่างกันยังไง จะรู้ไหมว่ามันมีกี่แบบใช้อะไรบ้าง ดีเทลบางอย่างถ้าเราต้องรู้ ต้องขนขวายเองขนาดนี้ ให้เป็นหมอแล้วรักษาเองเลยมั้ย คือเราไว้ใจเค้าเชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญได้นี้ แต่สุดท้ายกลายเป็นลูกเราต้องมาตาย พาไปแบบเชื่อใจมากว่าลูกเราจะต้องหาย แต่สุดท้ายพากลับบ้านแบบไม่มีลมหายใจ
- คนที่ทำงานสายนี้บางคนอาจจะชินกับความตายนะคะ แต่จริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องปกติ มันเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้วอันนี้จริงค่ะ (แต่มันควรเกิดเมื่อสมควรเกิด ถ้ามันเป็นเคสที่สามารถรักษาหายได้ ก็ไม่ควรต้องมาตายหรือเปล่า) และอยากให้รู้ว่าทุกครั้งที่มันเกิดขึ้น มันส่งผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงให้กับคนที่ต้องอยู่ต่อนะคะ เคสนี้อาจจะเห็นว่าแค่แมวตัวนึงตายไป ก็ใช้ชีวิตต่อไปสิ แต่แมวตัวนึงอาจเป็นทั้งชีวิตของคนอีกคนนึงนะคะ สำหรับน้องแมวของเรา ขอบคุณเค้ามากที่ตอนนั้นเข้ามาเป็นเหตุผลให้เรามีชีวิตอยู่ต่อ น้องคือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเราจริง ๆ
- ถ้าเจอคลินิกที่รักษาดีดีๆ ให้รักษาไว้นะคะ
(ภาพน้องก่อนการเข้าทำหัตถกรรมค่ะ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้