(มีการเปิดเผยวิธีการเล่าเรื่อง)
มีหลายครั้งที่คิดว่าภาพยนตร์สยองขวัญในแนวความเชื่อเรื่องผีไสยศาสตร์และมีการเล่าเรื่องในช่วงเวลาปัจจุบันนั้นจะมาถึงทางตันแล้ว เพราะในขณะที่เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งสวนทางกับความเชื่อเรื่องผีสางนางไม้ที่ค่อยๆ จางหายไป นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ภาพยนตร์ผี(แท้ๆ) ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จในระยะหลัง
.
ซึ่ง “บ้านเช่าบูชายัญ” เป็นภาพยนตร์ที่เข้าข่ายนี้เต็มประตู หนำซ้ำก่อนหน้าจะเข้าฉายนั้นก็แทบไม่มีข่าวคราวอะไรออกมาเลย มาโปรโมทเอาก็เป็นช่วงใกล้จะฉายอยู่ร่อมร่อ แถมหน้าการโปรโมทก็ยังดูทีเล่นทีจริง (จำลองเป็นพาดหัวหนังสือพิมพ์) ทำให้มองไม่ออกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะมาแนวไหนกันแน่ สิ่งเดียวที่พอจะการันตีคุณภาพนอกจากป้ายชื่อ GDH แล้ว ก็เห็นจะเป็นชื่อของผู้กำกับ โสภณ ศักดาพิศิษฏ์ กับผลงานเลื่องชื่อของเขาอย่าง “ลัดดาแลนด์” นี่แหละ
สิ่งที่น่าชื่นชมของ “บ้านเช่าบูชายัญ” เห็นจะอยู่ตรงที่ตัวภาพยนตร์สามารถมอบความระทึกขวัญในแง่ของพฤติกรรมอันน่าสงสัยของตัวละครในเรื่อง และอำนาจบางอย่างที่มองไม่เห็นที่มาในรูปแบบของวิญญาณและบรรยากาศชวนอึดอัดในแทบจะทุกๆ นาทีของเรื่องได้มีน้ำหนักมาก ทั้งๆ ที่สถานที่ไม่ได้เกิดกลางป่าเขา ที่ผ่านไกลผู้คนแต่อย่างใด โดยเล่าผ่านสายตาของตัวละคร “หนิง” (มิว นิษฐา คูหาเปรมกิจ) คุณแม่วัยสาวที่เริ่มสังเกตสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับ “กวิน” (เวียร์ ศุกลวัฒน์ คณารศ) สามีของเธอ และภัยบางอย่างที่กำลังคุกคาม “อิง” ลูกสาววัย 7 ขวบ ซึ่งแม้จะเป็นการเล่าเรื่องที่เราค่อนข้างเห็นกันชินตาในภาพยนตร์ฝั่งฮอลลิวูดที่มักใช้ผู้หญิงดำเนินเรื่องเป็นหลักแต่แแปลกตาในบ้านเรา
ด้วยการเล่าเรื่องผ่านสายตาของหนิง ทำให้ผู้ชมเริ่มจับทางของตัวหนังได้แล้วว่าจะมาในทิศทางไหน ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้กะจะมาในแนวหนังผีแท้ๆ แต่กลับนึกถึงภาพยนตร์จำพวกพิธีกรรม ไสยศาสตร์ มนต์ดำ คล้ายกับงานชั้นยอดอย่าง The Skeleton Key (2005) ที่เน้นเล่าเรื่องไปในทางการสืบสวนเพื่อหาความจริง มากกว่าจะหวีดร้องให้กับผีในเรื่อง แต่ระหว่างนั้นก็เริ่มเอะใจว่า ทำไม บทของเวียร์กลับดูน้อยจนน่าแปลกใจ (จนแอบคิดในใจว่าเอามาเสียของรึเปล่า) แต่ความลุ้น ระทึก ปนหลอนๆ ที่หนิงพบเจอ มันก็สนุกจนแทบทำให้เราไม่ต้องคิดเรื่องนี้เลย
และจริงอย่างที่คิด ผู้กำกับ จิม โสภณ แอบใช้สูตรโกง ในการแบ่งการเล่าเรื่องเป็นสองมุมมอง มุมมองแรกเป็นของหนิงที่เล่าเรื่องและทิ้งปมปริศนาไว้ จนมาถึงส่วนของกวินที่จะเป็นคนเฉลยสิ่งเหล่านั้นผ่านการเล่าย้อนตั้งแต่เหตุการณ์ในอดีตของกวิน ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขาและไปบรรจบกับช่วงเวลาปัจจุบันเพื่อเข้าสู่ฉากจบของเรื่องในที่สุด ซึ่งนับว่าเพิ่มมิติของการเล่าเรื่องได้ดีจริงๆ หลายอย่างที่เฉลยออกมาก็สร้างความประหลาดใจได้ดี
แต่มีข้อดีย่อมมีจุดอ่อน การที่หนังเลือกจะเล่าผ่านมุมมองของสองคน โดยที่คนหลังเป็นคนเฉลยปม แน่นอนว่าความระทึก ชวนลุ้นหาคำตอบในช่วงแรกนั้นก็หายไปจนหมด (แน่ละเป็นช่วงเฉลย) ซึ่งอาจจะดูหนักมือไปหน่อย เพราะเป็นการเฉลยที่เฉลยได้ละเอียดทุกซอกทุกมุม ตอบทุกคำถาม จนกลายเป็นว่าช่วงเฉลยนี้นานพอๆ กับช่วงแรกด้วยซ้ำ บางเหตุการณ์ที่คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรของหนิง กลับมีมุมให้ชวนเซอร์ไพร์สในฝั่งของกวินก็มีอยู่ไม่น้อย กลายเป็นว่าหากใครที่ชอบการเล่าเรื่องแบบเคลียร์ชัดทุกประเด็นน่าจะถูกใจ แต่คนที่อยากคงความระทึกและหาคำตอบเองก็คงหงุดหงิดใจพอควร
ทางด้านนักแสดง มิว นิษฐา ที่รับไม้แรกนั้นทำได้ดีอย่างไม่ต้องสงสัย สามารถนำพาคนดูไปสู่เรื่องราวที่ค่อยๆ ดำมืดได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป รู้สึกถึงความเด็ดเดี่ยวและเด็ดขาดจากตัวละครนี้ ส่วน เวียร์ ศุกลวัฒน์ ที่ทำตัวแปลกๆ มาตั้งแต่ต้น กลับกลายเป็นว่าเราได้เห็นความอ่อนแอและขี้ขลาดของตัวละครนี้ในช่วงหลัง ซึ่งเขาก็สามารถเรียกความสงสารปนความน่าสมเพศออกมาได้ดีเช่นกัน ส่วนอีกคนอย่าง ต่าย เพ็ญพักตร์ ศิริกุล แม้จะมาในลุคที่ดูน่าเกร็งขามเหมาะกับการเป็นหัวหน้าลัทธิประหลาด แต่ก็ยังขาดความกดดันหรือความอาฆาตบางอย่าง ซึ่งก็อาจเป็นข้อดีที่ทำให้เราเดาทางตัวละครนี้ไม่ออกก็ได้
ถ้าจะมีอีกเรื่องที่ติดใจ ก็เห็นจะเป็นเรื่องของการถ่ายทำที่ยังให้ความรู้สึกเหมือนดูละครที่เอาไปฉายบนจอภาพยนตร์อยู่ คล้ายๆ กับบุพเพสันนิวาส ๒ แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะโดยรวมก็ออกมาดี ในเรื่องสถานที่และรายละเอียดต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านดนตรีประกอบและบทสวดในเรื่องที่ออกแบบมาได้ร่วมสมัย เป็นบทสวดที่ฟังแล้วก็ขนลุกขึ้นมาได้ซะเฉยๆ เลย
สรุป บ้านเช่าบูชายัญ ผลงานล่าสุดของผู้กำกับ จิม โสภณ เป็นงานที่โดดเด่นในเรื่องของการเล่าเรื่องที่มีการทำการบ้านมาเป็นอย่างดี เพราะทั้งสนุก น่าติดตาม ในการสืบเสาะความจริงและการดำดิ่งสู่ปริศนา ซึ่งอาจจะไม่ได้เน้นที่ความน่ากลัวแบบหนังผี แต่ก็มีแรงส่งพอจะให้ติดตามได้ไปจนจบเรื่องแบบไม่ต้องมองนาฬิกาเลย
ฝากเพจด้วยนะครับ
Story Decoder
[รีวิว] บ้านเช่าบูชายัญ - ความระทึกปนตื่นเต้นที่ไม่ได้สัมผัสมานานจากภาพยนตร์ไทย
มีหลายครั้งที่คิดว่าภาพยนตร์สยองขวัญในแนวความเชื่อเรื่องผีไสยศาสตร์และมีการเล่าเรื่องในช่วงเวลาปัจจุบันนั้นจะมาถึงทางตันแล้ว เพราะในขณะที่เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งสวนทางกับความเชื่อเรื่องผีสางนางไม้ที่ค่อยๆ จางหายไป นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ภาพยนตร์ผี(แท้ๆ) ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จในระยะหลัง
.
ซึ่ง “บ้านเช่าบูชายัญ” เป็นภาพยนตร์ที่เข้าข่ายนี้เต็มประตู หนำซ้ำก่อนหน้าจะเข้าฉายนั้นก็แทบไม่มีข่าวคราวอะไรออกมาเลย มาโปรโมทเอาก็เป็นช่วงใกล้จะฉายอยู่ร่อมร่อ แถมหน้าการโปรโมทก็ยังดูทีเล่นทีจริง (จำลองเป็นพาดหัวหนังสือพิมพ์) ทำให้มองไม่ออกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะมาแนวไหนกันแน่ สิ่งเดียวที่พอจะการันตีคุณภาพนอกจากป้ายชื่อ GDH แล้ว ก็เห็นจะเป็นชื่อของผู้กำกับ โสภณ ศักดาพิศิษฏ์ กับผลงานเลื่องชื่อของเขาอย่าง “ลัดดาแลนด์” นี่แหละ
สิ่งที่น่าชื่นชมของ “บ้านเช่าบูชายัญ” เห็นจะอยู่ตรงที่ตัวภาพยนตร์สามารถมอบความระทึกขวัญในแง่ของพฤติกรรมอันน่าสงสัยของตัวละครในเรื่อง และอำนาจบางอย่างที่มองไม่เห็นที่มาในรูปแบบของวิญญาณและบรรยากาศชวนอึดอัดในแทบจะทุกๆ นาทีของเรื่องได้มีน้ำหนักมาก ทั้งๆ ที่สถานที่ไม่ได้เกิดกลางป่าเขา ที่ผ่านไกลผู้คนแต่อย่างใด โดยเล่าผ่านสายตาของตัวละคร “หนิง” (มิว นิษฐา คูหาเปรมกิจ) คุณแม่วัยสาวที่เริ่มสังเกตสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับ “กวิน” (เวียร์ ศุกลวัฒน์ คณารศ) สามีของเธอ และภัยบางอย่างที่กำลังคุกคาม “อิง” ลูกสาววัย 7 ขวบ ซึ่งแม้จะเป็นการเล่าเรื่องที่เราค่อนข้างเห็นกันชินตาในภาพยนตร์ฝั่งฮอลลิวูดที่มักใช้ผู้หญิงดำเนินเรื่องเป็นหลักแต่แแปลกตาในบ้านเรา
ด้วยการเล่าเรื่องผ่านสายตาของหนิง ทำให้ผู้ชมเริ่มจับทางของตัวหนังได้แล้วว่าจะมาในทิศทางไหน ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้กะจะมาในแนวหนังผีแท้ๆ แต่กลับนึกถึงภาพยนตร์จำพวกพิธีกรรม ไสยศาสตร์ มนต์ดำ คล้ายกับงานชั้นยอดอย่าง The Skeleton Key (2005) ที่เน้นเล่าเรื่องไปในทางการสืบสวนเพื่อหาความจริง มากกว่าจะหวีดร้องให้กับผีในเรื่อง แต่ระหว่างนั้นก็เริ่มเอะใจว่า ทำไม บทของเวียร์กลับดูน้อยจนน่าแปลกใจ (จนแอบคิดในใจว่าเอามาเสียของรึเปล่า) แต่ความลุ้น ระทึก ปนหลอนๆ ที่หนิงพบเจอ มันก็สนุกจนแทบทำให้เราไม่ต้องคิดเรื่องนี้เลย
และจริงอย่างที่คิด ผู้กำกับ จิม โสภณ แอบใช้สูตรโกง ในการแบ่งการเล่าเรื่องเป็นสองมุมมอง มุมมองแรกเป็นของหนิงที่เล่าเรื่องและทิ้งปมปริศนาไว้ จนมาถึงส่วนของกวินที่จะเป็นคนเฉลยสิ่งเหล่านั้นผ่านการเล่าย้อนตั้งแต่เหตุการณ์ในอดีตของกวิน ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขาและไปบรรจบกับช่วงเวลาปัจจุบันเพื่อเข้าสู่ฉากจบของเรื่องในที่สุด ซึ่งนับว่าเพิ่มมิติของการเล่าเรื่องได้ดีจริงๆ หลายอย่างที่เฉลยออกมาก็สร้างความประหลาดใจได้ดี
แต่มีข้อดีย่อมมีจุดอ่อน การที่หนังเลือกจะเล่าผ่านมุมมองของสองคน โดยที่คนหลังเป็นคนเฉลยปม แน่นอนว่าความระทึก ชวนลุ้นหาคำตอบในช่วงแรกนั้นก็หายไปจนหมด (แน่ละเป็นช่วงเฉลย) ซึ่งอาจจะดูหนักมือไปหน่อย เพราะเป็นการเฉลยที่เฉลยได้ละเอียดทุกซอกทุกมุม ตอบทุกคำถาม จนกลายเป็นว่าช่วงเฉลยนี้นานพอๆ กับช่วงแรกด้วยซ้ำ บางเหตุการณ์ที่คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรของหนิง กลับมีมุมให้ชวนเซอร์ไพร์สในฝั่งของกวินก็มีอยู่ไม่น้อย กลายเป็นว่าหากใครที่ชอบการเล่าเรื่องแบบเคลียร์ชัดทุกประเด็นน่าจะถูกใจ แต่คนที่อยากคงความระทึกและหาคำตอบเองก็คงหงุดหงิดใจพอควร
ทางด้านนักแสดง มิว นิษฐา ที่รับไม้แรกนั้นทำได้ดีอย่างไม่ต้องสงสัย สามารถนำพาคนดูไปสู่เรื่องราวที่ค่อยๆ ดำมืดได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป รู้สึกถึงความเด็ดเดี่ยวและเด็ดขาดจากตัวละครนี้ ส่วน เวียร์ ศุกลวัฒน์ ที่ทำตัวแปลกๆ มาตั้งแต่ต้น กลับกลายเป็นว่าเราได้เห็นความอ่อนแอและขี้ขลาดของตัวละครนี้ในช่วงหลัง ซึ่งเขาก็สามารถเรียกความสงสารปนความน่าสมเพศออกมาได้ดีเช่นกัน ส่วนอีกคนอย่าง ต่าย เพ็ญพักตร์ ศิริกุล แม้จะมาในลุคที่ดูน่าเกร็งขามเหมาะกับการเป็นหัวหน้าลัทธิประหลาด แต่ก็ยังขาดความกดดันหรือความอาฆาตบางอย่าง ซึ่งก็อาจเป็นข้อดีที่ทำให้เราเดาทางตัวละครนี้ไม่ออกก็ได้
ถ้าจะมีอีกเรื่องที่ติดใจ ก็เห็นจะเป็นเรื่องของการถ่ายทำที่ยังให้ความรู้สึกเหมือนดูละครที่เอาไปฉายบนจอภาพยนตร์อยู่ คล้ายๆ กับบุพเพสันนิวาส ๒ แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะโดยรวมก็ออกมาดี ในเรื่องสถานที่และรายละเอียดต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านดนตรีประกอบและบทสวดในเรื่องที่ออกแบบมาได้ร่วมสมัย เป็นบทสวดที่ฟังแล้วก็ขนลุกขึ้นมาได้ซะเฉยๆ เลย
สรุป บ้านเช่าบูชายัญ ผลงานล่าสุดของผู้กำกับ จิม โสภณ เป็นงานที่โดดเด่นในเรื่องของการเล่าเรื่องที่มีการทำการบ้านมาเป็นอย่างดี เพราะทั้งสนุก น่าติดตาม ในการสืบเสาะความจริงและการดำดิ่งสู่ปริศนา ซึ่งอาจจะไม่ได้เน้นที่ความน่ากลัวแบบหนังผี แต่ก็มีแรงส่งพอจะให้ติดตามได้ไปจนจบเรื่องแบบไม่ต้องมองนาฬิกาเลย
ฝากเพจด้วยนะครับ Story Decoder