ครั้งแรกที่ได้เห็น poster เรื่องนี้ ความรู้สึกของผมคิดว่าคงจะคล้ายกับภาพยนตร์เรื่อง Twilight ที่ประมาณว่าด้วยเรื่องของรัก 3 เศร้า เรา 3 คนแน่ ๆ ซึ่งหลังจากดูจบก็ยังคงมีความคิดเช่นนั้นอยู่ แต่ไม่ได้หวือหวาหรือนำเสนอตรง ๆ กันไปอย่างนั้น เพราะเนื้อเรื่องมันมีอะไรให้เล่ามากกว่านั้น อย่างเช่น ประเด็นคดีฆาตกรรม ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้เนื้อเรื่องเข้มข้นแถมบทที่ได้รับการขัดเกลามาจากนิยายมาก่อนแล้วมันจึงช่วยส่งเสริมขับเคลื่อนให้การดำเนินเรื่องไปในทิศทางเดียวกันได้อย่างราบรื่น แถมถูกสร้างจากนวนิยายที่ขายดีติดอันดับโลกด้วยจึงเป็นเครื่องยืนยันของเนื้องานได้อย่างเต็มที่เช่นกัน ส่วนตัวผมไม่เคยอ่านหรือรู้จักพื้นเพมาก่อนจึงบอกไม่ได้ว่าทั้งตัวนิยายหรือหนังอย่างไหนดีกว่ากัน แต่สิ่งที่สัมผัสได้อยู่ก็คือ การเดินเรื่องดูจะเดินตามรอยบทประพันธ์อยู่ไม่น้อย อาจมีแต่งเติมใส่องค์ทรงเครื่องบ้างตามจินตานาการ แต่บรรยากาศต่าง ๆ แอบคล้ายกลิ่นอายนิยายของ Nicholas Sparks อยู่เหมือนกัน ขณะเดียวกันระหว่างทางยังคงทิ้ง Message บางอย่างเพื่อสื่อสารออกมาเป็นระยะเช่นกัน ข้อดีของความไม่รู้อีกอย่างคือ เราจะสนุกกับภาพที่ปรากฎเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายโดยไร้ข้อกังขาใด ๆ เป็นอุปสรรคต่อการดูเพื่อซึมซับอรรถรสนั่นเอง
ส่วนตัวผมชอบ part ของการสืบสวนคดีมากกว่า part ความสัมพันธ์ของเธอกับฉันกับฉัน ตรงที่เราได้เข้ามามีส่วนร่วมกับในเหตุการณ์ไปพร้อมกับนางเอก ร่วมกันแกะปมการสงสัย สืบหาคนร้าย ซักถามพยานแต่ละคน รวมถึงการขึ้นโรงขึ้นศาล พร้อมกับไปคิดตามไปด้วยกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เราเชื่อมต่อกับหนังได้ง่ายกว่าการมุ่งเน้นไปที่การเปิดศึกชิงรักหักสวาทตามสไตล์หนังโรแมนติกเพียงอย่างเดียว โดยหนังจะเล่าสลับช่วงเวลาผ่านมุมมองของนางเอกไปตั้งแต่เด็กยันสาว สลับไปมาแต่ละ Timeline ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นจนถึงช่วงเวลาปัจจุบันที่นางเอกตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม ขณะเดียวกันก็ได้เกิดพัฒนาการทางกายภาพและจิตใจของตัวนางเอกจากเด็กไร้เดียงสาไปสู่สาวน้อยผู้อ่อนนอกแต่แข็งในไปทีละนิดอย่างเรียบง่าย สบาย ๆ ซึ่งนำเสนอได้น่าสนใจ น่าติดตาม เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อนเท่าไหร่ แต่มีเนือย ๆ ช้า ๆ บ้างเป็นระยะเช่นกัน
พูดถึงเรื่องงานภาพยอมรับจากใจว่าสวยงามมาก มุมกล้องถ่ายบรรยากาศของดงป่าต้นไม้เขียวขจี หรือ แม่น้ำโทนสี Pastel เข้ากับสไตล์ย้อนยุคจนกลบความเบาบางของบทได้ดี เหมือนหลุดมาจากนิทานปรัมปราอย่างไงอย่างนั้น แม้ Details รายทางจะเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ความกระอักกระอ่วนทางศีลธรรมของมนุษย์อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะช่วงกลางเรื่องเรียกว่าเนือยอยู่พอสมควรไปกับเรื่องราวของนางเอกมากไปหน่อย โดยเฉพาะไปเน้นที่ Scene โรแมนติกที่ไม่ได้รู้สึกชวนจิ้นเหมือน Twilight แม้แต่น้อย ด้วยความที่ไม่ได้เป็นหนังที่มีจังหวะเร่งรีบด้วยฉากตื่นเต้นใด ๆ จึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอธิบายในความสัมพันธ์ระหว่างนางเอกกับพระเอกเป็นส่วนมาก มันเลยยิ่งเดินช้าเข้าไปอีก ยิ่งช่วงท้ายนี้แผ่วลงไปเยอะ เหมือนจะหมดแรงเล่า เมื่อเทียบกับตอนเปิดเรื่องที่มีพลัง Impact มากกว่านี้ ถ้าเทน้ำหนักไปที่การสืบสวนคดีความมากกว่านี้ผมว่าหนังจะน่าติดตามกว่านี้ ยังดีที่ได้พลังนักแสดงนำอย่าง Daisy Edgar Jones ดาราสาวดาวรุ่งจาก Fresh ( 2022 ) ช่วยแบกเรื่องได้อยู่รอดปลอดภัยทั้งเรื่องแถมบทส่งเสริมให้เสน่ห์ของเธอเปล่งประกายออกมามาก นอกจากนี้ยังได้ 2 พระเอกดาวรุ่งอีกเช่นกันอย่าง Taylor John Smith จาก Blacklight ( 2022 ) และ Harris Dickinson จาก Triangle of Sadness ( 2022 ) แข่งกันหล่อมาช่วยสร้างสีสันเพื่อเปิดศึกชิงนางให้แก่สาวแท้สาวเทียมให้ตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ได้ง่าย แม้บทจะไม่ได้เน้นเท่านางเอก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เช่นกัน รวมถึงได้คุณลุง David Strathairn จาก The Bourne Ultimatum ( 2007 ) รับบทเป็นทนายความของนางเอก เป็นแสงสว่างคนสำคัญอีกคนที่ช่วยต่อเติมชิ้นส่วนที่หายไปให้สมบูรณ์แบบขึ้น
ในระยะเวลา 2 ชั่วโมง 5 นาที ความรู้สึกของผมอยู่ในระดับปานกลาง ไม่ได้ชอบมาก และ ไม่แย่เกินไป อารมณ์ที่ได้จะมีกลิ่นความอมขมกลืนลอยตลอด จะสวีทโรแมนติกก็ไม่ใช่ หรือ จะเคร่งเครียดกดดันก็ทำได้ไม่สุดอีก ยังดีที่ได้วัตถุดิบดี บทประพันธ์ดี และ ได้ทีมงานที่เชื่อมือได้อย่างผู้กำกับสาว Olivia Newman จาก First Match ( 2018 ) ผลงานหนัง Drama กีฬา ค่าย Netflix มาชิมลางกำกับงานใหญ่เป็นครั้งแรก แล้วได้นักแสดงสาว Reese Witherspoon จาก Legally Blonde 1-2 ( 2001-2003 ) มาเป็น Producer เรื่องนี้ แถมได้นักร้องสาวอย่าง Taylor Swift มาร่วมร้องเพลงประกอบหนังชื่อ Carolina ร่วมกัน ทำได้น่าประทับใจการเล่าเรื่องมีการสลับ Timeline ทำให้เพิ่มความซับซ้อนของบทให้มีทิศทางไม่มั่นคงแต่มีชั้นเชิง มีจังหวะสับขาหลอกให้ซับซ้อนได้เป็นระยะ นอกนั้นสามารถคุม theme อยู่กับร่องกับรอย อยู่ใน way ที่กำหนดไว้ดี แม้ Details บางอย่างเล็กน้อยจะหล่นหายไปบ้าง ปมบางอย่างยังไม่สามารถเคลียร์ให้ชัดเจนแถมตัดทิ้งออกไปดื้อ ๆ ซะงั้นจนงงอย่างเห็น ๆ บทสรุปแม้จะหักมุมแต่ก็พอพอจะเดาทางบ้างได้อยู่แต่ก็หาทางจบได้น่าประทับใจ ไม่ได้ยัดเยียดความเป็น Feminist ลูกผู้หญิงจนเกินหน้าเกินตา ซึ่งตลอดทางหนังพยายามสื่อสารอะไรหลายอย่างกับเราอยู่นั่นแหล่ะ
สำหรับใครที่ชอบเสพเพื่อความบันเทิง ความสนุกในอารมณ์ระทึกขวัญค่อนข้างจะผิดหวังหน่อย แต่ถ้าใครเป็น fan club นิยายเรื่องนี้อยู่แล้ว หรือ ชื่นชอบแนวโรแมนติกผสมดราม่าปนจิตวิทยา ให้ความหมายกับชีวิต หรือ ชอบน้อง Daisy Edgar Jones ล่ะก็ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ถือว่าเรื่องนี้เธอได้แสดงศักยภาพในฝีมือการแสดงของตนเองออกมาได้อย่างเต็มที่อีกเรื่องนึงเลยครับ
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share รีวิวของผม EMCONCEPT เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไปกัน ขอบคุณครับ
[CR] No.24 Where the Crawdads Sing : ปมลับซึมลึก ยิ่งปล่อยไว้นาน ก็ยิ่งถอนยาก
ครั้งแรกที่ได้เห็น poster เรื่องนี้ ความรู้สึกของผมคิดว่าคงจะคล้ายกับภาพยนตร์เรื่อง Twilight ที่ประมาณว่าด้วยเรื่องของรัก 3 เศร้า เรา 3 คนแน่ ๆ ซึ่งหลังจากดูจบก็ยังคงมีความคิดเช่นนั้นอยู่ แต่ไม่ได้หวือหวาหรือนำเสนอตรง ๆ กันไปอย่างนั้น เพราะเนื้อเรื่องมันมีอะไรให้เล่ามากกว่านั้น อย่างเช่น ประเด็นคดีฆาตกรรม ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้เนื้อเรื่องเข้มข้นแถมบทที่ได้รับการขัดเกลามาจากนิยายมาก่อนแล้วมันจึงช่วยส่งเสริมขับเคลื่อนให้การดำเนินเรื่องไปในทิศทางเดียวกันได้อย่างราบรื่น แถมถูกสร้างจากนวนิยายที่ขายดีติดอันดับโลกด้วยจึงเป็นเครื่องยืนยันของเนื้องานได้อย่างเต็มที่เช่นกัน ส่วนตัวผมไม่เคยอ่านหรือรู้จักพื้นเพมาก่อนจึงบอกไม่ได้ว่าทั้งตัวนิยายหรือหนังอย่างไหนดีกว่ากัน แต่สิ่งที่สัมผัสได้อยู่ก็คือ การเดินเรื่องดูจะเดินตามรอยบทประพันธ์อยู่ไม่น้อย อาจมีแต่งเติมใส่องค์ทรงเครื่องบ้างตามจินตานาการ แต่บรรยากาศต่าง ๆ แอบคล้ายกลิ่นอายนิยายของ Nicholas Sparks อยู่เหมือนกัน ขณะเดียวกันระหว่างทางยังคงทิ้ง Message บางอย่างเพื่อสื่อสารออกมาเป็นระยะเช่นกัน ข้อดีของความไม่รู้อีกอย่างคือ เราจะสนุกกับภาพที่ปรากฎเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายโดยไร้ข้อกังขาใด ๆ เป็นอุปสรรคต่อการดูเพื่อซึมซับอรรถรสนั่นเอง
ส่วนตัวผมชอบ part ของการสืบสวนคดีมากกว่า part ความสัมพันธ์ของเธอกับฉันกับฉัน ตรงที่เราได้เข้ามามีส่วนร่วมกับในเหตุการณ์ไปพร้อมกับนางเอก ร่วมกันแกะปมการสงสัย สืบหาคนร้าย ซักถามพยานแต่ละคน รวมถึงการขึ้นโรงขึ้นศาล พร้อมกับไปคิดตามไปด้วยกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เราเชื่อมต่อกับหนังได้ง่ายกว่าการมุ่งเน้นไปที่การเปิดศึกชิงรักหักสวาทตามสไตล์หนังโรแมนติกเพียงอย่างเดียว โดยหนังจะเล่าสลับช่วงเวลาผ่านมุมมองของนางเอกไปตั้งแต่เด็กยันสาว สลับไปมาแต่ละ Timeline ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นจนถึงช่วงเวลาปัจจุบันที่นางเอกตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม ขณะเดียวกันก็ได้เกิดพัฒนาการทางกายภาพและจิตใจของตัวนางเอกจากเด็กไร้เดียงสาไปสู่สาวน้อยผู้อ่อนนอกแต่แข็งในไปทีละนิดอย่างเรียบง่าย สบาย ๆ ซึ่งนำเสนอได้น่าสนใจ น่าติดตาม เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อนเท่าไหร่ แต่มีเนือย ๆ ช้า ๆ บ้างเป็นระยะเช่นกัน
พูดถึงเรื่องงานภาพยอมรับจากใจว่าสวยงามมาก มุมกล้องถ่ายบรรยากาศของดงป่าต้นไม้เขียวขจี หรือ แม่น้ำโทนสี Pastel เข้ากับสไตล์ย้อนยุคจนกลบความเบาบางของบทได้ดี เหมือนหลุดมาจากนิทานปรัมปราอย่างไงอย่างนั้น แม้ Details รายทางจะเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ความกระอักกระอ่วนทางศีลธรรมของมนุษย์อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะช่วงกลางเรื่องเรียกว่าเนือยอยู่พอสมควรไปกับเรื่องราวของนางเอกมากไปหน่อย โดยเฉพาะไปเน้นที่ Scene โรแมนติกที่ไม่ได้รู้สึกชวนจิ้นเหมือน Twilight แม้แต่น้อย ด้วยความที่ไม่ได้เป็นหนังที่มีจังหวะเร่งรีบด้วยฉากตื่นเต้นใด ๆ จึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอธิบายในความสัมพันธ์ระหว่างนางเอกกับพระเอกเป็นส่วนมาก มันเลยยิ่งเดินช้าเข้าไปอีก ยิ่งช่วงท้ายนี้แผ่วลงไปเยอะ เหมือนจะหมดแรงเล่า เมื่อเทียบกับตอนเปิดเรื่องที่มีพลัง Impact มากกว่านี้ ถ้าเทน้ำหนักไปที่การสืบสวนคดีความมากกว่านี้ผมว่าหนังจะน่าติดตามกว่านี้ ยังดีที่ได้พลังนักแสดงนำอย่าง Daisy Edgar Jones ดาราสาวดาวรุ่งจาก Fresh ( 2022 ) ช่วยแบกเรื่องได้อยู่รอดปลอดภัยทั้งเรื่องแถมบทส่งเสริมให้เสน่ห์ของเธอเปล่งประกายออกมามาก นอกจากนี้ยังได้ 2 พระเอกดาวรุ่งอีกเช่นกันอย่าง Taylor John Smith จาก Blacklight ( 2022 ) และ Harris Dickinson จาก Triangle of Sadness ( 2022 ) แข่งกันหล่อมาช่วยสร้างสีสันเพื่อเปิดศึกชิงนางให้แก่สาวแท้สาวเทียมให้ตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ได้ง่าย แม้บทจะไม่ได้เน้นเท่านางเอก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เช่นกัน รวมถึงได้คุณลุง David Strathairn จาก The Bourne Ultimatum ( 2007 ) รับบทเป็นทนายความของนางเอก เป็นแสงสว่างคนสำคัญอีกคนที่ช่วยต่อเติมชิ้นส่วนที่หายไปให้สมบูรณ์แบบขึ้น
ในระยะเวลา 2 ชั่วโมง 5 นาที ความรู้สึกของผมอยู่ในระดับปานกลาง ไม่ได้ชอบมาก และ ไม่แย่เกินไป อารมณ์ที่ได้จะมีกลิ่นความอมขมกลืนลอยตลอด จะสวีทโรแมนติกก็ไม่ใช่ หรือ จะเคร่งเครียดกดดันก็ทำได้ไม่สุดอีก ยังดีที่ได้วัตถุดิบดี บทประพันธ์ดี และ ได้ทีมงานที่เชื่อมือได้อย่างผู้กำกับสาว Olivia Newman จาก First Match ( 2018 ) ผลงานหนัง Drama กีฬา ค่าย Netflix มาชิมลางกำกับงานใหญ่เป็นครั้งแรก แล้วได้นักแสดงสาว Reese Witherspoon จาก Legally Blonde 1-2 ( 2001-2003 ) มาเป็น Producer เรื่องนี้ แถมได้นักร้องสาวอย่าง Taylor Swift มาร่วมร้องเพลงประกอบหนังชื่อ Carolina ร่วมกัน ทำได้น่าประทับใจการเล่าเรื่องมีการสลับ Timeline ทำให้เพิ่มความซับซ้อนของบทให้มีทิศทางไม่มั่นคงแต่มีชั้นเชิง มีจังหวะสับขาหลอกให้ซับซ้อนได้เป็นระยะ นอกนั้นสามารถคุม theme อยู่กับร่องกับรอย อยู่ใน way ที่กำหนดไว้ดี แม้ Details บางอย่างเล็กน้อยจะหล่นหายไปบ้าง ปมบางอย่างยังไม่สามารถเคลียร์ให้ชัดเจนแถมตัดทิ้งออกไปดื้อ ๆ ซะงั้นจนงงอย่างเห็น ๆ บทสรุปแม้จะหักมุมแต่ก็พอพอจะเดาทางบ้างได้อยู่แต่ก็หาทางจบได้น่าประทับใจ ไม่ได้ยัดเยียดความเป็น Feminist ลูกผู้หญิงจนเกินหน้าเกินตา ซึ่งตลอดทางหนังพยายามสื่อสารอะไรหลายอย่างกับเราอยู่นั่นแหล่ะ
สำหรับใครที่ชอบเสพเพื่อความบันเทิง ความสนุกในอารมณ์ระทึกขวัญค่อนข้างจะผิดหวังหน่อย แต่ถ้าใครเป็น fan club นิยายเรื่องนี้อยู่แล้ว หรือ ชื่นชอบแนวโรแมนติกผสมดราม่าปนจิตวิทยา ให้ความหมายกับชีวิต หรือ ชอบน้อง Daisy Edgar Jones ล่ะก็ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ถือว่าเรื่องนี้เธอได้แสดงศักยภาพในฝีมือการแสดงของตนเองออกมาได้อย่างเต็มที่อีกเรื่องนึงเลยครับ
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share รีวิวของผม EMCONCEPT เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไปกัน ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้