🌼🌼🌼 ขอนอบน้อมแต่...พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า...พระองค์นั้น 🌼🌼🌼
นิคหะ ที่ ๕
[๑๓] ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส้มวาที: ก็..ถ้าหากท่านมองไปที่สุดแห่งธรรมทั้งปวง..
บุคคล...หมายถึง ..." สิ่ง " ที่เคลื่อนไปเคลื่อนมา(จุติ - อุปฺปตฺต) ผู้ที่เวียนว่ายตายเกิด
ในวัฏฏะ... " สิ่งนั้น "...ที่ใช้คำแทนว่า " บุคคล " ...บุคคลก็จะเป็นสิ่งที่เที่ยง
แต่...ก็นับว่าไม่เที่ยง - ไปได้การเกิด - ไปได้การตาย...
ดังที่พระศาสดาท่านทรงกล่าวไว้ว่า
👇
=============================================================
ทุกข์(อุปาทานขันธ์๕)เท่านั้นที่เกิด-ดับ.. นอกนั้น...ไม่ใช่สิ่งที่..เกิด-ดับ..
สิ่งนั้น..ที่มามีอุปาทาน..สิ่งนั้น..ไม่ใช่ของที่เกิดดับ.. แต่ " เคลื่อนไป(คจฺฉติ) "
แต่..ก็นับว่า (สงฺขํ) " เกิด-ดับ..ไปตามขันธ์๕..โดยอุปาทาน "..บาลีว่า " อนุมิยฺยติ(ตายตาม) "
แต่..จริงๆ แล้ว...เขาไม่ได้ตาย.. สิ่งที่ตาย - สิ่งที่เกิดดับ...มันแต่ขันธ์๕..เท่านั้น
นี่คือ..พุทธวจน
👇
👇
รูปญฺเจ ..........ภิกฺขุ อนุเสติ ตํ อนุมิยฺยติ ยํ อนุมิยฺยติ เตน สงฺขํ คจฺฉติ ฯ
เวทนญฺเจ .......ภิกฺขุ อนุเสติ ตํ อนุมิยฺยติ ยํ อนุมิยฺยติ เตน สงฺขํ คจฺฉติ ฯ
สญฺญญฺเจ .......ภิกฺขุ อนุเสติ ตํ อนุมิยฺยติ ยํ อนุมิยฺยติ เตน สงฺขํ คจฺฉติ ฯ
สงฺขาเร ..........ภิกฺขุ อนุเสติ ตํ อนุมิยฺยติ ยํ อนุมิยฺยติ เตน สงฺขํ คจฺฉติ ฯ
วิญฺญาณญฺเจ ....ภิกฺขุ อนุเสติ ตํ อนุมิยฺยติ ยํ อนุมิยฺยติ เตน สงฺขํ คจฺฉติ ฯ
รูปญฺเจ(ถ้าในรูป) ภิกฺขุ(ภิกษุ ท.!) อนุเสติ(อนุสัย)
ตํ(ด้วยเหตุนั้น) อนุมิยฺยติ(ตายตาม )
ยํ(ผู้ใด(นั้น)) อนุมิยฺยติ(ตายตาม) เตน(นั้น) สงฺขํ(นับว่า) คจฺฉติ(เคลื่อนไป) ฯ
ก็เมื่อ..บุคคล..ไปมีตัณหา-อุปาทาน..ในอุปาทานข้นธ์๕...บุคคลก็นับเข้ากับขันธ์๕..อันเป็นของเกิด-ตาย
=======================================================================
ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคลในสภาวธรรมในสภาวะทั้งปวง โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น
ส้มวาที: ก็..ถ้าหากในสภาวธรรมในสภาวะทั้งปวง ...มี " บุคคล " ...มันก็มี
ส. ท่านจงรับรู้นิคหะ(ติเตียน), หากว่า ท่านหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
ด้วย เหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลในสภาวธรรมทั้งปวง โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์,
ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
แต่ไม่ พึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลในสภาวธรรมทั้งปวง โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดังนี้ ผิด,
แต่ถ้า ไม่พึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลในสภาวธรรมทั้งปวง โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
ก็ต้องไม่ กล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า
พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ แต่ไม่พึงกล่าวว่า
ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลในสภาว ธรรมทั้งปวง โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดังนี้ ผิด ฯลฯ
ส้มวาที: นี่คือสวาวะ..ของ " บุคคล "
👇
ตอนที่...ยังที่ความกำหนัดใน..อุปาทานขันธ์๕
ยังเป็นสัตว์ผู้ยึดติด จะมี " ลักษณะ "
1. ชาตํ -- ยังต้องได้การเกิดชาติ..อีกต่อไป ยังต้องเคลื่อนไป - ยังต้องเคลื่อนมา..อีก
2. ภูตํ -- ยังต้องเป็น.. ยังต้องมีชีวะ - ยังต้องได้เป็นสิ่งที่มีชีวิติอีก.. ยังต้องต้องได้เป็นสัตวนิกายใดๆ อีก
3. กตํ -- ยังต้องกระทำ..ไปใน 3 ทาง..กาย-วาจา-ใจ หรือ บาป - บุญ - อเนญชา...อีก
4. สงฺขตํ -- ยังต้องมีการคิดปรุงแต่งไปใน 3 ทาง..กาย-วาจา-ใจ หรือ บาป - บุญ - อเนญชา...อีก
ตอนที่...ละที่ความกำหนัดใน..อุปาทานขันธ์๕..ได้แล่ว..
เป็นพระอรหันต์ - เป็นนิพพานธาตุ - เป็นอมตะธาตุ
1. อชาตํ -- ไม่เกิดชาติ..อีกต่อไป ไม่เคลื่อนไป - เคลื่อนมา..อีก
2. อภูตํ -- ไม่เป็น.. ไม่เป็นชีวะ - ไม่เป็นสิ่งที่มีชีวิติอีก.. ไม่ต้องเป็นสัตวนิกายใดๆ อีก
3. อกตํ -- ไม่กระทำ..ไปใน 3 ทาง..กาย-วาจา-ใจ หรือ บาป - บุญ - อเนญชา...อีก
4. อสงฺขตํ -- ไม่มีการคิดปรุงแต่งไปใน 3 ทาง..กาย-วาจา-ใจ หรือ บาป - บุญ - อเนญชา...อีก
กถาวัตถุ..ตอนที่ - 13
นิคหะ ที่ ๕
[๑๓] ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส้มวาที: ก็..ถ้าหากท่านมองไปที่สุดแห่งธรรมทั้งปวง..
บุคคล...หมายถึง ..." สิ่ง " ที่เคลื่อนไปเคลื่อนมา(จุติ - อุปฺปตฺต) ผู้ที่เวียนว่ายตายเกิด
ในวัฏฏะ... " สิ่งนั้น "...ที่ใช้คำแทนว่า " บุคคล " ...บุคคลก็จะเป็นสิ่งที่เที่ยง
แต่...ก็นับว่าไม่เที่ยง - ไปได้การเกิด - ไปได้การตาย...
ดังที่พระศาสดาท่านทรงกล่าวไว้ว่า
👇
=============================================================
ทุกข์(อุปาทานขันธ์๕)เท่านั้นที่เกิด-ดับ.. นอกนั้น...ไม่ใช่สิ่งที่..เกิด-ดับ..
สิ่งนั้น..ที่มามีอุปาทาน..สิ่งนั้น..ไม่ใช่ของที่เกิดดับ.. แต่ " เคลื่อนไป(คจฺฉติ) "
แต่..ก็นับว่า (สงฺขํ) " เกิด-ดับ..ไปตามขันธ์๕..โดยอุปาทาน "..บาลีว่า " อนุมิยฺยติ(ตายตาม) "
แต่..จริงๆ แล้ว...เขาไม่ได้ตาย.. สิ่งที่ตาย - สิ่งที่เกิดดับ...มันแต่ขันธ์๕..เท่านั้น
นี่คือ..พุทธวจน
👇
👇
รูปญฺเจ ..........ภิกฺขุ อนุเสติ ตํ อนุมิยฺยติ ยํ อนุมิยฺยติ เตน สงฺขํ คจฺฉติ ฯ
เวทนญฺเจ .......ภิกฺขุ อนุเสติ ตํ อนุมิยฺยติ ยํ อนุมิยฺยติ เตน สงฺขํ คจฺฉติ ฯ
สญฺญญฺเจ .......ภิกฺขุ อนุเสติ ตํ อนุมิยฺยติ ยํ อนุมิยฺยติ เตน สงฺขํ คจฺฉติ ฯ
สงฺขาเร ..........ภิกฺขุ อนุเสติ ตํ อนุมิยฺยติ ยํ อนุมิยฺยติ เตน สงฺขํ คจฺฉติ ฯ
วิญฺญาณญฺเจ ....ภิกฺขุ อนุเสติ ตํ อนุมิยฺยติ ยํ อนุมิยฺยติ เตน สงฺขํ คจฺฉติ ฯ
รูปญฺเจ(ถ้าในรูป) ภิกฺขุ(ภิกษุ ท.!) อนุเสติ(อนุสัย)
ตํ(ด้วยเหตุนั้น) อนุมิยฺยติ(ตายตาม )
ยํ(ผู้ใด(นั้น)) อนุมิยฺยติ(ตายตาม) เตน(นั้น) สงฺขํ(นับว่า) คจฺฉติ(เคลื่อนไป) ฯ
ก็เมื่อ..บุคคล..ไปมีตัณหา-อุปาทาน..ในอุปาทานข้นธ์๕...บุคคลก็นับเข้ากับขันธ์๕..อันเป็นของเกิด-ตาย
=======================================================================
ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคลในสภาวธรรมในสภาวะทั้งปวง โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น
ส้มวาที: ก็..ถ้าหากในสภาวธรรมในสภาวะทั้งปวง ...มี " บุคคล " ...มันก็มี
ส. ท่านจงรับรู้นิคหะ(ติเตียน), หากว่า ท่านหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
ด้วย เหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลในสภาวธรรมทั้งปวง โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์,
ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
แต่ไม่ พึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลในสภาวธรรมทั้งปวง โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดังนี้ ผิด,
แต่ถ้า ไม่พึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลในสภาวธรรมทั้งปวง โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
ก็ต้องไม่ กล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า
พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ แต่ไม่พึงกล่าวว่า
ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลในสภาว ธรรมทั้งปวง โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดังนี้ ผิด ฯลฯ
ส้มวาที: นี่คือสวาวะ..ของ " บุคคล "
👇
ตอนที่...ยังที่ความกำหนัดใน..อุปาทานขันธ์๕
ยังเป็นสัตว์ผู้ยึดติด จะมี " ลักษณะ "
1. ชาตํ -- ยังต้องได้การเกิดชาติ..อีกต่อไป ยังต้องเคลื่อนไป - ยังต้องเคลื่อนมา..อีก
2. ภูตํ -- ยังต้องเป็น.. ยังต้องมีชีวะ - ยังต้องได้เป็นสิ่งที่มีชีวิติอีก.. ยังต้องต้องได้เป็นสัตวนิกายใดๆ อีก
3. กตํ -- ยังต้องกระทำ..ไปใน 3 ทาง..กาย-วาจา-ใจ หรือ บาป - บุญ - อเนญชา...อีก
4. สงฺขตํ -- ยังต้องมีการคิดปรุงแต่งไปใน 3 ทาง..กาย-วาจา-ใจ หรือ บาป - บุญ - อเนญชา...อีก
ตอนที่...ละที่ความกำหนัดใน..อุปาทานขันธ์๕..ได้แล่ว..
เป็นพระอรหันต์ - เป็นนิพพานธาตุ - เป็นอมตะธาตุ
1. อชาตํ -- ไม่เกิดชาติ..อีกต่อไป ไม่เคลื่อนไป - เคลื่อนมา..อีก
2. อภูตํ -- ไม่เป็น.. ไม่เป็นชีวะ - ไม่เป็นสิ่งที่มีชีวิติอีก.. ไม่ต้องเป็นสัตวนิกายใดๆ อีก
3. อกตํ -- ไม่กระทำ..ไปใน 3 ทาง..กาย-วาจา-ใจ หรือ บาป - บุญ - อเนญชา...อีก
4. อสงฺขตํ -- ไม่มีการคิดปรุงแต่งไปใน 3 ทาง..กาย-วาจา-ใจ หรือ บาป - บุญ - อเนญชา...อีก