ในปี พ.ศ. 2562 “แสงกระสือ” ได้สร้างปรากฎการณ์ให้กับเรื่องราวของผีสาวที่ลอยล่องออกจากร่างพร้อมด้วยเครื่องในสีแดงสดในยามค่ำคืนที่ใครเห็นเป็นต้องผวา หรือที่เรารู้จักกันดีว่า “ผีกระสือ” กลายเป็นภาพยนตร์แนวโรแมนติกผสมแฟนตาซี ที่ว่าด้วยประเด็นของการก้าวข้ามวัย (Coming of Age) ของตัวละครหนุ่มสาวในเรื่อง ซึ่งได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกและทำรายได้ไปไม่น้อยเลยทีเดียว และได้แจ้งเกิด มินนี่ ภัณฑิรา พิพิธยากร นักแสดงสาวรุ่นใหม่ ให้กลายเป็นที่รู้จักและกลายเป็นขวัญใจของใครหลายคน จากการรับบทเป็น “สาย” กระสือสาวในเรื่องนั่นเอง
.
และภาคต่อของแสงกระสือก็มาไวกว่าที่คิด เมื่อบริษัทสร้างภาพยนตร์อย่างเนรมิตรหนังฟิล์มที่กำลังมีโปรเจค I Am Monster ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้ปล่อยภาพยนตร์ในจักรวาลไป 3 เรื่อง กลายเป็นว่า “แสงกระสือ 2” คือภาพยนตร์ในโปรเจคของปีนี้ที่มาก่อนใครเพื่อน โดยในคราวนี้จะมีการเล่าเรื่องราวต่อจากภาคแรก ในอีก 22 ปีให้หลัง ซึ่งตัวละครที่เหลือมามีเพียงแค่ “น้อย” คนเดียว รวมถึงตัวของผู้กำกับก็มีการเปลี่ยนจาก สิทธิศิริ มงคลศิริ มาเป็น ปภังกร ปุญจันทรักษ์ ซึ่งเป็นการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของเจ้าตัวอีกด้วย
ต้องสารภาพตามตรงว่า เมื่อได้เห็นชื่อของเนรมิตรหนังฟิล์มก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะภาพยนตร์ทั้ง 3 เรื่องในปีที่แล้วต่างก็ต้องใช้คำว่า “ไม่ประสบความสำเร็จ” อย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็น แย้ยักษ์ คืนหมีฆ่า และร้อยขา ต่างก็ต้องพบกับชะตากรรมเดียวกัน และเป็นงานยากไปอีกสำหรับแสงกระสือ 2 ที่ความสำเร็จในภาคแรกยิ่งกลายเป็นความคาดหวังให้กับผู้สร้างที่ก็ต้องทำให้สมกับความคาดหวังนั้นเป็นอย่างน้อยที่สุด
.
ตัวแสงกระสือ 2 พยายามที่จะขยายประเด็นเรื่องกระสือในภาคแรกจากเชื้อปรสิตชนิดหนึ่งที่สามารถติดต่อแพร่เชื้อกันได้ให้กลายเป็นว่า เชื้อนี้สามารถส่งต่อกันทางพันธุกรรมได้ด้วย นั่นทำให้ “สาว” ตัวละครหลักของภาคนี้ได้รับเชื้อมาจากพ่อหรือแม่ของเธอสักทางหนึ่ง (ตัวภาพยนตร์ไม่ได้บอกแน่ชัด แต่เรารู้แน่ๆ ว่าเชื้อนี้ถูกส่งต่อมาให้น้อยตอนที่จูบกับสายในภาคแรก) ซึ่งประเด็นนี้สำคัญเพราะมันสามารถจะเปลี่ยนแนว (Genre) ของตัวภาพยนตร์ไปได้เลย จากโรแมนติกแฟนตาซีกลายเป็นทริลเลอร์แฟนตาซี ที่มีกลิ่นอายสยองขวัญรวมอยู่ด้วย และตัวผู้สร้างเองก็น่าจะอยากให้เป็นเช่นนั้น สิ่งที่ยืนยันเรื่องนี้ได้ คือ การใส่ตัวละคร บาทหลวง (โจ คัมมินส์) เข้ามาเป็นหมอและนักวิทยาศาสตร์ในเรื่องเพื่อหาคำตอบและหาทางรักษาสาวให้ได้
อีกเรื่องหนึ่งที่จะทิ้งก็ไม่ได้เพราะมันเป็นอีกแกนสำคัญที่แปะหราอยู่บนชื่อเรื่อง(ภาษาอังกฤษ) และคำโปรยบนโปสเตอร์ นั่นก็คือ เรื่องของความรัก ในภาคนี้ “คล้าว” ได้รับหน้าที่ให้เป็นคนรักของกระสือสาว ซึ่งมีการตีความตัวละครใหม่ โดยกำหนดให้คล้าวเป็นคนผิวเผือก เพื่อให้เขาสามารถเข้าใจสาวได้ดียิ่งกว่าใครๆ รวมถึงพลังพิเศษบางอย่างที่เขามีที่ใส่เข้ามาเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง
ด้วยองค์ประกอบที่ดูจะต่อยอดจากภาคแรกพอสมควร จึงน่าจะคาดหวังได้มากสำหรับแสงกระสือ 2 นี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ก็ต้องบอกว่า ไม่ผิดไปจากที่คาดเท่าไหร่นัก ปัญหาหลักยังคงมีเหมือนเดิม นั่นคือ “การไม่สามารถเล่าเรื่องให้สนุกได้” ซึ่งเป็นปัญหาหลักและปัญหาใหญ่ที่สุดที่ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งควรจะหนีให้ห่างไว้ ไม่เช่นนั้นทุนสร้างกี่พันกี่หมื่นล้านก็ช่วยไม่ได้
.
ไม่สนุกอย่างไร เป็นคำถามที่น่าสนใจ ถ้าจะให้บอกความรู้สึกของการเล่าเรื่อง คงประมาณว่า เป็นการถือกระดาษที่มีกลอนทำนองเสนาะอยู่ในมือ เดินออกไปหน้าชั้นเรียน แล้วอ่านออกมาด้วยการอ่านแบบร้อยแก้ว หรือให้เทียบกับการอ่านข่าว ก็จะเป็นการได้รับรู้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร แล้วจบเลย ไม่เกิดอารมณ์และความรู้สึกร่วมใดๆ ต่อตัวละครทั้งสิ้น แม้จะพยายามยัดซีนดราม่ามาช่วงท้ายก็ตาม (คล้ายจะเลียนแบบภาคแรก) แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ภาพรวมของหนังดีขึ้นเลย ถ้าจะให้สรุป คือ ผู้สร้างทำให้คนดูอินกับหนังไม่ได้เลย
นอกจากความจืดชืดเหมือนประโยคบอกเล่าในการดำเนินเรื่องแล้ว ตลอดเวลากว่า 2 ชั่วโมง 3 นาที (123 นาที) ก็ยังเต็มไปด้วยน้ำและน้ำ คือ เต็มไปด้วยบทสนทนา วันและเวลาที่ผ่านไปอย่างไม่มีจุดหมายของตัวละคร เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตัวละครจะทำอะไรเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น จะเปลี่ยนหมอมั้ย พาลูกเข้าแล็บทดลองมั้ย หนีไปอยู่ต่างประเทศมั้ย(ก็ไม่รู้จะหนีทำไม ไม่มีใครมาตะโกนไล่ที่หน้าบ้านเหมือนภาคแรก) เราจึงได้เห็นแค่ น้อยที่คอยเฝ้าสาวทุกคืน และตอนจะถอดหัว ไฟที่บ้านดับๆ ติดๆ สไตล์หนังผีฝรั่ง แล้วก็กระสือสาวที่ออกไปกินหมูป่า 2-3 ครั้งเท่านั้นเอง
ยังไม่นับรวมสิ่งที่ใส่เข้ามาแล้วก็ไม่รู้ว่าเพื่ออะไร เช่น อนันต์ที่ไปเรียนเมืองนอกแล้วไม่ได้อะไรกลับมา นายหน้าค้าเด็กที่สั่งให้ตามล่ากระสือก็ไม่ได้ขยายความอะไรต่อว่าทำทำไม ตัวละครคล้าวที่ดูจะพิเศษยิ่งกว่าสาวซะอีกแต่ก็ไม่ได้รับการบอกกล่าวที่มา จึงกลายเป็นการเล่าแล้วก็หายไปแบบไร้เยื่อใยมากๆ (พูดอีกทางก็คือ เสียเวลานั่นแหละ)
.
ประเด็นเรื่องความรัก สาวกับคล้าว ที่มีชะตากรรมร่วมกันในการเป็น “ตัวประหลาด” แต่เหมือนเป็นเพียงคำนิยมเรียกคนมาดูเท่านั้น เพราะสิ่งที่เราได้เห็น คือ การพยายามจับวางสองคนนี้ให้ดูเหมือนอยู่ใกล้กันตั้งแต่เด็ก ว่าด้วยความประหลาดนั้นทำให้เหลือเพียงเราสอง แล้วยัดเพลงกับภาพแบบเอ็มวีเพลงรักเข้ามาให้เรารู้ว่า ทั้งสองชอบพอกันนะ แล้วก็เออออเอาว่าทั้งสองชอบกันแหละ แต่ฝั่งคนดูไม่ได้รับรู้ความรู้สึกแบบนั้นเลย หากเทียบกับ สายกับน้อยในภาคแรก ใช้คำว่า ห่างชั้นกันมากพอดู
ความเป็นตัวประหลาดที่เป็นอีกแกนที่ผู้สร้างตั้งใจจะเล่า แต่คงด้วยงบประมาณหรืออะไรบางอย่าง เราแทบไม่เห็นการถูกไล่ ถูกรังเกียจ ถูกตะเพิดในแบบที่สายได้รับเลย (อย่างน้อยที่สุดที่ได้เห็น คือ คล้าว ถูกสายตาของชาวบ้านมองด้วยความฉงนในตอนเข้าเมืองเพียงฉากเดียวเท่านั้น) อาจเป็นเพราะหนังเลือกเล่าตั้งแต่แรกแล้วว่า น้อยพาลูกของเขาออกมาจากสังคมเพื่อต้องการหลีกเลี่ยงการปะทะ แต่นั่นก็ทำให้การถูกขังเดี่ยวในป่ากลายเป็นความน่าเบื่อและประเด็นนี้ก็เลยดันไม่ขึ้นไปโดยปริยาย
จากทั้งหมดทั้งมวลจึงส่งผลต่อฉากจบของเรื่อง ในขณะที่ภาคแรกทำไว้ได้ดีมากๆ (จนมีเสียน้ำตา) แต่ในภาคนี้แทบจะไม่สามารถเรียกความรู้สึกใดๆ ออกมาได้เลย แม้นักแสดงในเรื่องทุกคนจะทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก แต่เหมือนจับปูใส่กระด้ง แต่ละคนก็แสดงในแบบของตัวเองไป เห็นชัดๆเลย พี่น้อย (กฤษดา แคลปป์) ดูจริงจังดูซีเรียสเกินเบอร์มาก ทั้งๆ ที่ตัวสาวเองไม่ได้ทุกข์ร้อนกับการที่ตัวเองต้องกลายเป็นกระสือขนาดนั้นเลย คล้าว (กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม) ตัวละครของเขามีความน่าสนใจอย่างมาก พูดน้อย นิ่งๆ สุขม หล่อ แต่พอไม่มีที่มาที่ไปชัดเจน ก็กลายเป็นว่าตัวละครนี้ไม่มีจุดยืนไปอย่างน่าเสียดาย
ยิ่งตัวของอนันต์ (ภูมิภัทร ถาวรศิริ) พี่ชายของคล้าวก็ดูเหมือนจะดี แต่ช่วงหลังของเรื่องกลับจมหายไปแบบไร้เยื่อใยมาก (อาจจะใช้ในภาคต่อ แต่อยากจะบอกว่าพอก่อน) และที่เสียของที่สุด คือ กระหัง (ปีเตอร์ นพชัย) ที่ถ้าจะถูกใช้งานแค่นี้ ไม่จำเป็นต้องใช้งานปีเตอร์ นพชัย ก็ได้ นั่นทำให้กระสือตัวหลักของเรื่องอย่าง สาว (ชัญญา แม็คคลอรีย์) แม้จะทำได้ดีตามมาตรฐานโดยไม่ต้องติอะไร แต่เราก็ไม่สามารถบอกได้ว่า บทกระสือของเธอในภาคนี้พิเศษอย่างไร
สรุป แสงกระสือ 2 แพ้ให้กับภาคแรกแบบทุกกระบวนท่า อาจจะมีเรื่องเทคนิคพิเศษที่ดูดีขึ้นมา แต่มันก็ไม่ได้เป็นใจความสำคัญที่จะบอกว่าแสงกระสือ 2 มีดีขนาดที่ต้องเข้าไปดูกระสือถอดหัวเพียงอย่างเดียว จึงกลายเป็นภาคต่อที่หากว่าไปสร้างในแบบของตัวเองและไม่ต้องใช้ชื่อ แสงกระสือ ก็อาจจะพอลดความคาดหวังลงได้บ้าง แต่ความอ่อนชั้นในการเล่าเรื่องก็คงหนีไม่พ้นต้องถูกวิจารณ์ในทางลบอยู่ดีนั่นแหละ
ฝากเพจด้วยครับ
Story Decoder
[รีวิว] แสงกระสือ 2 - ภาคต่อที่ถูกสร้างขึ้นมาให้ถูกเปรียบเทียบอย่างจงหนัก
.
และภาคต่อของแสงกระสือก็มาไวกว่าที่คิด เมื่อบริษัทสร้างภาพยนตร์อย่างเนรมิตรหนังฟิล์มที่กำลังมีโปรเจค I Am Monster ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้ปล่อยภาพยนตร์ในจักรวาลไป 3 เรื่อง กลายเป็นว่า “แสงกระสือ 2” คือภาพยนตร์ในโปรเจคของปีนี้ที่มาก่อนใครเพื่อน โดยในคราวนี้จะมีการเล่าเรื่องราวต่อจากภาคแรก ในอีก 22 ปีให้หลัง ซึ่งตัวละครที่เหลือมามีเพียงแค่ “น้อย” คนเดียว รวมถึงตัวของผู้กำกับก็มีการเปลี่ยนจาก สิทธิศิริ มงคลศิริ มาเป็น ปภังกร ปุญจันทรักษ์ ซึ่งเป็นการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของเจ้าตัวอีกด้วย
ต้องสารภาพตามตรงว่า เมื่อได้เห็นชื่อของเนรมิตรหนังฟิล์มก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะภาพยนตร์ทั้ง 3 เรื่องในปีที่แล้วต่างก็ต้องใช้คำว่า “ไม่ประสบความสำเร็จ” อย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็น แย้ยักษ์ คืนหมีฆ่า และร้อยขา ต่างก็ต้องพบกับชะตากรรมเดียวกัน และเป็นงานยากไปอีกสำหรับแสงกระสือ 2 ที่ความสำเร็จในภาคแรกยิ่งกลายเป็นความคาดหวังให้กับผู้สร้างที่ก็ต้องทำให้สมกับความคาดหวังนั้นเป็นอย่างน้อยที่สุด
.
ตัวแสงกระสือ 2 พยายามที่จะขยายประเด็นเรื่องกระสือในภาคแรกจากเชื้อปรสิตชนิดหนึ่งที่สามารถติดต่อแพร่เชื้อกันได้ให้กลายเป็นว่า เชื้อนี้สามารถส่งต่อกันทางพันธุกรรมได้ด้วย นั่นทำให้ “สาว” ตัวละครหลักของภาคนี้ได้รับเชื้อมาจากพ่อหรือแม่ของเธอสักทางหนึ่ง (ตัวภาพยนตร์ไม่ได้บอกแน่ชัด แต่เรารู้แน่ๆ ว่าเชื้อนี้ถูกส่งต่อมาให้น้อยตอนที่จูบกับสายในภาคแรก) ซึ่งประเด็นนี้สำคัญเพราะมันสามารถจะเปลี่ยนแนว (Genre) ของตัวภาพยนตร์ไปได้เลย จากโรแมนติกแฟนตาซีกลายเป็นทริลเลอร์แฟนตาซี ที่มีกลิ่นอายสยองขวัญรวมอยู่ด้วย และตัวผู้สร้างเองก็น่าจะอยากให้เป็นเช่นนั้น สิ่งที่ยืนยันเรื่องนี้ได้ คือ การใส่ตัวละคร บาทหลวง (โจ คัมมินส์) เข้ามาเป็นหมอและนักวิทยาศาสตร์ในเรื่องเพื่อหาคำตอบและหาทางรักษาสาวให้ได้
อีกเรื่องหนึ่งที่จะทิ้งก็ไม่ได้เพราะมันเป็นอีกแกนสำคัญที่แปะหราอยู่บนชื่อเรื่อง(ภาษาอังกฤษ) และคำโปรยบนโปสเตอร์ นั่นก็คือ เรื่องของความรัก ในภาคนี้ “คล้าว” ได้รับหน้าที่ให้เป็นคนรักของกระสือสาว ซึ่งมีการตีความตัวละครใหม่ โดยกำหนดให้คล้าวเป็นคนผิวเผือก เพื่อให้เขาสามารถเข้าใจสาวได้ดียิ่งกว่าใครๆ รวมถึงพลังพิเศษบางอย่างที่เขามีที่ใส่เข้ามาเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง
ด้วยองค์ประกอบที่ดูจะต่อยอดจากภาคแรกพอสมควร จึงน่าจะคาดหวังได้มากสำหรับแสงกระสือ 2 นี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ก็ต้องบอกว่า ไม่ผิดไปจากที่คาดเท่าไหร่นัก ปัญหาหลักยังคงมีเหมือนเดิม นั่นคือ “การไม่สามารถเล่าเรื่องให้สนุกได้” ซึ่งเป็นปัญหาหลักและปัญหาใหญ่ที่สุดที่ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งควรจะหนีให้ห่างไว้ ไม่เช่นนั้นทุนสร้างกี่พันกี่หมื่นล้านก็ช่วยไม่ได้
.
ไม่สนุกอย่างไร เป็นคำถามที่น่าสนใจ ถ้าจะให้บอกความรู้สึกของการเล่าเรื่อง คงประมาณว่า เป็นการถือกระดาษที่มีกลอนทำนองเสนาะอยู่ในมือ เดินออกไปหน้าชั้นเรียน แล้วอ่านออกมาด้วยการอ่านแบบร้อยแก้ว หรือให้เทียบกับการอ่านข่าว ก็จะเป็นการได้รับรู้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร แล้วจบเลย ไม่เกิดอารมณ์และความรู้สึกร่วมใดๆ ต่อตัวละครทั้งสิ้น แม้จะพยายามยัดซีนดราม่ามาช่วงท้ายก็ตาม (คล้ายจะเลียนแบบภาคแรก) แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ภาพรวมของหนังดีขึ้นเลย ถ้าจะให้สรุป คือ ผู้สร้างทำให้คนดูอินกับหนังไม่ได้เลย
นอกจากความจืดชืดเหมือนประโยคบอกเล่าในการดำเนินเรื่องแล้ว ตลอดเวลากว่า 2 ชั่วโมง 3 นาที (123 นาที) ก็ยังเต็มไปด้วยน้ำและน้ำ คือ เต็มไปด้วยบทสนทนา วันและเวลาที่ผ่านไปอย่างไม่มีจุดหมายของตัวละคร เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตัวละครจะทำอะไรเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น จะเปลี่ยนหมอมั้ย พาลูกเข้าแล็บทดลองมั้ย หนีไปอยู่ต่างประเทศมั้ย(ก็ไม่รู้จะหนีทำไม ไม่มีใครมาตะโกนไล่ที่หน้าบ้านเหมือนภาคแรก) เราจึงได้เห็นแค่ น้อยที่คอยเฝ้าสาวทุกคืน และตอนจะถอดหัว ไฟที่บ้านดับๆ ติดๆ สไตล์หนังผีฝรั่ง แล้วก็กระสือสาวที่ออกไปกินหมูป่า 2-3 ครั้งเท่านั้นเอง
ยังไม่นับรวมสิ่งที่ใส่เข้ามาแล้วก็ไม่รู้ว่าเพื่ออะไร เช่น อนันต์ที่ไปเรียนเมืองนอกแล้วไม่ได้อะไรกลับมา นายหน้าค้าเด็กที่สั่งให้ตามล่ากระสือก็ไม่ได้ขยายความอะไรต่อว่าทำทำไม ตัวละครคล้าวที่ดูจะพิเศษยิ่งกว่าสาวซะอีกแต่ก็ไม่ได้รับการบอกกล่าวที่มา จึงกลายเป็นการเล่าแล้วก็หายไปแบบไร้เยื่อใยมากๆ (พูดอีกทางก็คือ เสียเวลานั่นแหละ)
.
ประเด็นเรื่องความรัก สาวกับคล้าว ที่มีชะตากรรมร่วมกันในการเป็น “ตัวประหลาด” แต่เหมือนเป็นเพียงคำนิยมเรียกคนมาดูเท่านั้น เพราะสิ่งที่เราได้เห็น คือ การพยายามจับวางสองคนนี้ให้ดูเหมือนอยู่ใกล้กันตั้งแต่เด็ก ว่าด้วยความประหลาดนั้นทำให้เหลือเพียงเราสอง แล้วยัดเพลงกับภาพแบบเอ็มวีเพลงรักเข้ามาให้เรารู้ว่า ทั้งสองชอบพอกันนะ แล้วก็เออออเอาว่าทั้งสองชอบกันแหละ แต่ฝั่งคนดูไม่ได้รับรู้ความรู้สึกแบบนั้นเลย หากเทียบกับ สายกับน้อยในภาคแรก ใช้คำว่า ห่างชั้นกันมากพอดู
ความเป็นตัวประหลาดที่เป็นอีกแกนที่ผู้สร้างตั้งใจจะเล่า แต่คงด้วยงบประมาณหรืออะไรบางอย่าง เราแทบไม่เห็นการถูกไล่ ถูกรังเกียจ ถูกตะเพิดในแบบที่สายได้รับเลย (อย่างน้อยที่สุดที่ได้เห็น คือ คล้าว ถูกสายตาของชาวบ้านมองด้วยความฉงนในตอนเข้าเมืองเพียงฉากเดียวเท่านั้น) อาจเป็นเพราะหนังเลือกเล่าตั้งแต่แรกแล้วว่า น้อยพาลูกของเขาออกมาจากสังคมเพื่อต้องการหลีกเลี่ยงการปะทะ แต่นั่นก็ทำให้การถูกขังเดี่ยวในป่ากลายเป็นความน่าเบื่อและประเด็นนี้ก็เลยดันไม่ขึ้นไปโดยปริยาย
จากทั้งหมดทั้งมวลจึงส่งผลต่อฉากจบของเรื่อง ในขณะที่ภาคแรกทำไว้ได้ดีมากๆ (จนมีเสียน้ำตา) แต่ในภาคนี้แทบจะไม่สามารถเรียกความรู้สึกใดๆ ออกมาได้เลย แม้นักแสดงในเรื่องทุกคนจะทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก แต่เหมือนจับปูใส่กระด้ง แต่ละคนก็แสดงในแบบของตัวเองไป เห็นชัดๆเลย พี่น้อย (กฤษดา แคลปป์) ดูจริงจังดูซีเรียสเกินเบอร์มาก ทั้งๆ ที่ตัวสาวเองไม่ได้ทุกข์ร้อนกับการที่ตัวเองต้องกลายเป็นกระสือขนาดนั้นเลย คล้าว (กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม) ตัวละครของเขามีความน่าสนใจอย่างมาก พูดน้อย นิ่งๆ สุขม หล่อ แต่พอไม่มีที่มาที่ไปชัดเจน ก็กลายเป็นว่าตัวละครนี้ไม่มีจุดยืนไปอย่างน่าเสียดาย
ยิ่งตัวของอนันต์ (ภูมิภัทร ถาวรศิริ) พี่ชายของคล้าวก็ดูเหมือนจะดี แต่ช่วงหลังของเรื่องกลับจมหายไปแบบไร้เยื่อใยมาก (อาจจะใช้ในภาคต่อ แต่อยากจะบอกว่าพอก่อน) และที่เสียของที่สุด คือ กระหัง (ปีเตอร์ นพชัย) ที่ถ้าจะถูกใช้งานแค่นี้ ไม่จำเป็นต้องใช้งานปีเตอร์ นพชัย ก็ได้ นั่นทำให้กระสือตัวหลักของเรื่องอย่าง สาว (ชัญญา แม็คคลอรีย์) แม้จะทำได้ดีตามมาตรฐานโดยไม่ต้องติอะไร แต่เราก็ไม่สามารถบอกได้ว่า บทกระสือของเธอในภาคนี้พิเศษอย่างไร
สรุป แสงกระสือ 2 แพ้ให้กับภาคแรกแบบทุกกระบวนท่า อาจจะมีเรื่องเทคนิคพิเศษที่ดูดีขึ้นมา แต่มันก็ไม่ได้เป็นใจความสำคัญที่จะบอกว่าแสงกระสือ 2 มีดีขนาดที่ต้องเข้าไปดูกระสือถอดหัวเพียงอย่างเดียว จึงกลายเป็นภาคต่อที่หากว่าไปสร้างในแบบของตัวเองและไม่ต้องใช้ชื่อ แสงกระสือ ก็อาจจะพอลดความคาดหวังลงได้บ้าง แต่ความอ่อนชั้นในการเล่าเรื่องก็คงหนีไม่พ้นต้องถูกวิจารณ์ในทางลบอยู่ดีนั่นแหละ
ฝากเพจด้วยครับ
Story Decoder