https://www.bangkokbiznews.com/blogs/finance/stock/1063367
VI เป็น Concept หรือแนวทางการลงทุนแบบใหม่ที่เกิดขึ้นและนำโดย “นักลงทุนรุ่นใหม่” ที่มักมีการศึกษาสูงและศึกษาทฤษฎีการลงทุนใหม่ที่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะจาก วอเร็น บัฟเฟตต์ สิ่งที่พวกเขาทำก็คือ การลงทุนในหุ้นนั้นจะต้องมีการ “วิเคราะห์” ธุรกิจของบริษัทอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่ด้านของการตลาด การผลิต คุณสมบัติของผู้บริหาร และสุดท้ายด้านการเงินและผลประกอบการที่จะบอกถึงคุณภาพและอนาคตของการเติบโตของธุรกิจ นอกจากนั้น ยังต้องวิเคราะห์ถึงการแข่งขันในอุตสาหกรรมด้วยว่าสามารถต่อสู้กับคู่แข่งได้ดีแค่ไหน พูดง่าย ๆ ถ้าเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับธุรกิจเลยก็ยากที่จะเป็น VI
ก่อนที่จะเข้าลงทุน VI ยังต้องวิเคราะห์ว่า “ราคาหุ้น” นั้นจะต้องถูกพอที่จะทำให้มี “Margin of Safety” หรือ “ส่วนเผื่อความปลอดภัย” เพียงพอหรือไม่? นั่นก็คือ มันถูกกว่ามูลค่าของบริษัทที่คิดจากความแข็งแกร่งและผลประกอบการของบริษัทในปีนั้นและปีต่อ ๆ ไปอีกยาวนาน มากน้อยแค่ไหน เพื่อที่จะได้เกิดความปลอดภัยในกรณีที่อาจจะวิเคราะห์ตัวบริษัทผิดพลาดหรือมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเข้ามากระทบกิจการของบริษัทรุนแรง
หลักการของ วอเร็น บัฟเฟตต์ นั้น เพิ่มเติมขึ้นมาจาก VI ดั้งเดิมแบบของ เบน เกรแฮม ตรงที่มักจะเลือกเฉพาะกิจการที่แข็งแกร่งและมีความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืน และ “เติบโต” เร็วด้วย ดังนั้น นักลงทุนไทยที่เป็น VI ตั้งแต่เริ่มแรก จึงเน้นว่า หุ้น VI คือหุ้นของกิจการที่ “ดี” และ “โตเร็ว” ด้วย โดยที่คำว่าดีก็คือเป็นกิจการที่มีกำไรดี และคำว่าโตก็คือ กำไรเพิ่มขึ้นเร็ว—จากตัวเลขที่เห็นในขณะนั้น และจากการวิเคราะห์ไปข้างหน้า
Concept หรือแนวคิดของหุ้น“Growth” นั้น เน้นว่าจะต้องเป็นหุ้นที่ธุรกิจ “โตเร็ว” หรือโตเร็วมาก ที่นำเสนอโดย ฟิลิป ฟิสเชอร์ ซึ่งก็มักจะเกิดขึ้นจากบริษัทที่ขายสินค้าเกี่ยวกับเทคโนโลยี หรือบริษัทที่มีรูปแบบหรือการจัดโครงสร้างใหม่ในการทำธุรกิจที่เหนือกว่าแบบเดิมในอุตสาหกรรม หุ้นลักษณะนี้จะเติบโตเร็วมาก ถ้าซื้อไว้ราคาหุ้นก็จะวิ่งขึ้นไปเร็วและสูงมาก ดังนั้น เรื่องของราคาหุ้นว่าถูกหรือแพงก็ไม่ใช่ประเด็น เพราะวันหนึ่งกำไรของบริษัทก็จะเพิ่มขึ้นมากจนคุ้มค่ากับราคาที่เราจ่าย
มองจากประเด็นของตัวธุรกิจที่จะต้องวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งและต้องเป็นธุรกิจที่ “ดี” ก็จะพบว่าหุ้น Growth นั้นแทบจะเหมือนกับหุ้น VI แนว วอเร็น บัฟเฟตต์ จะแตกต่างก็อยู่ที่ว่าราคาของหุ้นนั้น ในกรณีหุ้น Growth เราจะไม่ค่อยสนใจว่าจะแพงหรือถูก เหตุผลก็คือ ส่วนใหญ่แล้วมูลค่าของหุ้น Growth นั้น ประเมินได้ยากมาก เพราะมันขึ้นอยู่กับการเติบโตของกำไรในอนาคตอันยาวไกลว่าจะมากน้อยแค่ไหน
และถ้าตั้งสมมุติฐานผิดแม้เพียงเล็กน้อย มูลค่าที่คำนวณได้จะต่างไปมากมหาศาล ดังนั้น พวกเล่นหุ้น Growth จึงไม่ค่อยจะสนใจหาว่าราคาหุ้นที่เหมาะสมจะเข้าซื้อเป็นเท่าไร พวกเขาจะสนใจแต่ว่า ถ้าราคาหุ้นยังวิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ก็ซื้อไป ไม่ต้องดูราคาว่าถูกหรือแพง อาจจะเรียกว่าดู “โมเมนตัม” และถ้าหุ้นเริ่มลงก็อาจจะขาย
ในตลาดหุ้นไทยในช่วงเร็ว ๆ นี้ ยังมีหุ้นอีกกลุ่มหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นที่นิยมและเป็นหุ้นที่ “ดีสุดยอด” เพราะราคาหุ้นขึ้นไปเร็วและสูงมาก บางทีภายในเวลาไม่กี่เดือนหรือแค่ 2-3 ปีราคาหรือมูลค่าหุ้นขึ้นไปหลายเท่าตัว นอกจากนั้น ธุรกิจก็ “ดี” มีกำไรเติบโตแบบ “ก้าวกระโดด” บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่ “มีอนาคต” ที่สำคัญผู้บริหารมี “วิสัยทัศน์” ที่ก้าวไกลและพยายามนำบริษัทให้เติบโตในระดับ “แสนล้านบาท”
แต่สิ่งหนึ่งที่คนอาจจะไม่รู้ก็คือ หุ้นของบริษัทที่หมุนเวียนซื้อ-ขายในตลาดมักจะมีน้อยเมื่อเทียบกับขนาดโดยรวมของบริษัท และผู้บริหารหรือนักลงทุนรายใหญ่บางรายก็อาจจะเข้าไปกวาดซื้อหุ้นของบริษัทจำนวนมาก ซึ่งทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปเร็วและสูงกว่าหุ้น Growth คือภายในเวลาไม่กี่เดือนหรือภายใน 1-2 ปี ราคาหุ้นอาจจะขึ้นไปเป็น 10 เท่า ซึ่งหุ้นเหล่านี้ผมเรียกว่าเป็น หุ้นCorner หรือหุ้นที่ถูก Corner คือถูกซื้อจนหมดซึ่งทำให้ราคาสูงขึ้นไปอย่างแทบจะเป็นไปไม่ได้
แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่แยกได้ยากจากหุ้น Growth เพราะมันมักจะมีกำไรที่เติบโตแรงช่วงเร็ว ๆ นี้ อยู่ในอุตสาหกรรมที่อาจจะเป็น “อนาคตของโลก” ผู้บริหารหรือนักลงทุนรายใหญ่เข้าไปกวาดซื้อและให้ความเห็นต่อสาธารณชน อาจจะรวมถึงการที่บริษัทจะโตเป็น “แสนล้านบาท”แม้ว่าขณะนั้นบริษัทยังเล็กมาก เช่นเดียวกับในส่วนของราคาว่าอะไรคือราคาหุ้นที่เหมาะสมที่มักไม่มีใครสนใจ ดังนั้น ตราบใดที่ราคาหุ้นในตลาดยังขึ้นอยู่ นั่นก็คือราคาที่เหมาะสม
ข้อสรุปของผมก็คือ เส้นแบ่งว่าหุ้นตัวไหนเป็นหุ้น Value ที่เน้นแนว Growth หรือซุปเปอร์สต็อก กับหุ้น Growth ในนิยามแบบวิชาการที่นำเสนอโดยฟิลิป ฟิสเชอร์ และหุ้นที่ถูก Corner ในตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้นั้น “บางมาก” นั่นก็คือ มันยากที่จะบอก เวลาที่ผ่านไปเท่านั้นที่จะบอกได้ชัดเจนว่าหุ้นตัวไหนที่จริงแล้วเป็นหุ้นอะไร
เพราะเมื่อถึงเวลานั้น หุ้นที่เป็น Value ก็มักจะ “อยู่ทน”คือขึ้นไปเรื่อยๆ อาจจะช้าๆ ส่วนหุ้น Growth เองนั้น เวลาที่ธุรกิจหรือตลาดหุ้นไม่เอื้ออำนวย ราคาก็อาจจะทยอยถอยลงไปเรื่อย ๆ แล้วก็หยุดลงในจุดที่เหมาะสม และหุ้น Corner เองนั้น มีโอกาสสูงว่า ราคาจะลงไปในระดับ “หายนะ”
เส้นแบ่งบาง ๆ ระหว่างหุ้น Value-Growth-Corner ดร.นิเวศน์
VI เป็น Concept หรือแนวทางการลงทุนแบบใหม่ที่เกิดขึ้นและนำโดย “นักลงทุนรุ่นใหม่” ที่มักมีการศึกษาสูงและศึกษาทฤษฎีการลงทุนใหม่ที่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะจาก วอเร็น บัฟเฟตต์ สิ่งที่พวกเขาทำก็คือ การลงทุนในหุ้นนั้นจะต้องมีการ “วิเคราะห์” ธุรกิจของบริษัทอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่ด้านของการตลาด การผลิต คุณสมบัติของผู้บริหาร และสุดท้ายด้านการเงินและผลประกอบการที่จะบอกถึงคุณภาพและอนาคตของการเติบโตของธุรกิจ นอกจากนั้น ยังต้องวิเคราะห์ถึงการแข่งขันในอุตสาหกรรมด้วยว่าสามารถต่อสู้กับคู่แข่งได้ดีแค่ไหน พูดง่าย ๆ ถ้าเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับธุรกิจเลยก็ยากที่จะเป็น VI
ก่อนที่จะเข้าลงทุน VI ยังต้องวิเคราะห์ว่า “ราคาหุ้น” นั้นจะต้องถูกพอที่จะทำให้มี “Margin of Safety” หรือ “ส่วนเผื่อความปลอดภัย” เพียงพอหรือไม่? นั่นก็คือ มันถูกกว่ามูลค่าของบริษัทที่คิดจากความแข็งแกร่งและผลประกอบการของบริษัทในปีนั้นและปีต่อ ๆ ไปอีกยาวนาน มากน้อยแค่ไหน เพื่อที่จะได้เกิดความปลอดภัยในกรณีที่อาจจะวิเคราะห์ตัวบริษัทผิดพลาดหรือมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเข้ามากระทบกิจการของบริษัทรุนแรง
หลักการของ วอเร็น บัฟเฟตต์ นั้น เพิ่มเติมขึ้นมาจาก VI ดั้งเดิมแบบของ เบน เกรแฮม ตรงที่มักจะเลือกเฉพาะกิจการที่แข็งแกร่งและมีความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืน และ “เติบโต” เร็วด้วย ดังนั้น นักลงทุนไทยที่เป็น VI ตั้งแต่เริ่มแรก จึงเน้นว่า หุ้น VI คือหุ้นของกิจการที่ “ดี” และ “โตเร็ว” ด้วย โดยที่คำว่าดีก็คือเป็นกิจการที่มีกำไรดี และคำว่าโตก็คือ กำไรเพิ่มขึ้นเร็ว—จากตัวเลขที่เห็นในขณะนั้น และจากการวิเคราะห์ไปข้างหน้า
Concept หรือแนวคิดของหุ้น“Growth” นั้น เน้นว่าจะต้องเป็นหุ้นที่ธุรกิจ “โตเร็ว” หรือโตเร็วมาก ที่นำเสนอโดย ฟิลิป ฟิสเชอร์ ซึ่งก็มักจะเกิดขึ้นจากบริษัทที่ขายสินค้าเกี่ยวกับเทคโนโลยี หรือบริษัทที่มีรูปแบบหรือการจัดโครงสร้างใหม่ในการทำธุรกิจที่เหนือกว่าแบบเดิมในอุตสาหกรรม หุ้นลักษณะนี้จะเติบโตเร็วมาก ถ้าซื้อไว้ราคาหุ้นก็จะวิ่งขึ้นไปเร็วและสูงมาก ดังนั้น เรื่องของราคาหุ้นว่าถูกหรือแพงก็ไม่ใช่ประเด็น เพราะวันหนึ่งกำไรของบริษัทก็จะเพิ่มขึ้นมากจนคุ้มค่ากับราคาที่เราจ่าย
มองจากประเด็นของตัวธุรกิจที่จะต้องวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งและต้องเป็นธุรกิจที่ “ดี” ก็จะพบว่าหุ้น Growth นั้นแทบจะเหมือนกับหุ้น VI แนว วอเร็น บัฟเฟตต์ จะแตกต่างก็อยู่ที่ว่าราคาของหุ้นนั้น ในกรณีหุ้น Growth เราจะไม่ค่อยสนใจว่าจะแพงหรือถูก เหตุผลก็คือ ส่วนใหญ่แล้วมูลค่าของหุ้น Growth นั้น ประเมินได้ยากมาก เพราะมันขึ้นอยู่กับการเติบโตของกำไรในอนาคตอันยาวไกลว่าจะมากน้อยแค่ไหน
และถ้าตั้งสมมุติฐานผิดแม้เพียงเล็กน้อย มูลค่าที่คำนวณได้จะต่างไปมากมหาศาล ดังนั้น พวกเล่นหุ้น Growth จึงไม่ค่อยจะสนใจหาว่าราคาหุ้นที่เหมาะสมจะเข้าซื้อเป็นเท่าไร พวกเขาจะสนใจแต่ว่า ถ้าราคาหุ้นยังวิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ก็ซื้อไป ไม่ต้องดูราคาว่าถูกหรือแพง อาจจะเรียกว่าดู “โมเมนตัม” และถ้าหุ้นเริ่มลงก็อาจจะขาย
ในตลาดหุ้นไทยในช่วงเร็ว ๆ นี้ ยังมีหุ้นอีกกลุ่มหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นที่นิยมและเป็นหุ้นที่ “ดีสุดยอด” เพราะราคาหุ้นขึ้นไปเร็วและสูงมาก บางทีภายในเวลาไม่กี่เดือนหรือแค่ 2-3 ปีราคาหรือมูลค่าหุ้นขึ้นไปหลายเท่าตัว นอกจากนั้น ธุรกิจก็ “ดี” มีกำไรเติบโตแบบ “ก้าวกระโดด” บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่ “มีอนาคต” ที่สำคัญผู้บริหารมี “วิสัยทัศน์” ที่ก้าวไกลและพยายามนำบริษัทให้เติบโตในระดับ “แสนล้านบาท”
แต่สิ่งหนึ่งที่คนอาจจะไม่รู้ก็คือ หุ้นของบริษัทที่หมุนเวียนซื้อ-ขายในตลาดมักจะมีน้อยเมื่อเทียบกับขนาดโดยรวมของบริษัท และผู้บริหารหรือนักลงทุนรายใหญ่บางรายก็อาจจะเข้าไปกวาดซื้อหุ้นของบริษัทจำนวนมาก ซึ่งทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปเร็วและสูงกว่าหุ้น Growth คือภายในเวลาไม่กี่เดือนหรือภายใน 1-2 ปี ราคาหุ้นอาจจะขึ้นไปเป็น 10 เท่า ซึ่งหุ้นเหล่านี้ผมเรียกว่าเป็น หุ้นCorner หรือหุ้นที่ถูก Corner คือถูกซื้อจนหมดซึ่งทำให้ราคาสูงขึ้นไปอย่างแทบจะเป็นไปไม่ได้
แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่แยกได้ยากจากหุ้น Growth เพราะมันมักจะมีกำไรที่เติบโตแรงช่วงเร็ว ๆ นี้ อยู่ในอุตสาหกรรมที่อาจจะเป็น “อนาคตของโลก” ผู้บริหารหรือนักลงทุนรายใหญ่เข้าไปกวาดซื้อและให้ความเห็นต่อสาธารณชน อาจจะรวมถึงการที่บริษัทจะโตเป็น “แสนล้านบาท”แม้ว่าขณะนั้นบริษัทยังเล็กมาก เช่นเดียวกับในส่วนของราคาว่าอะไรคือราคาหุ้นที่เหมาะสมที่มักไม่มีใครสนใจ ดังนั้น ตราบใดที่ราคาหุ้นในตลาดยังขึ้นอยู่ นั่นก็คือราคาที่เหมาะสม
ข้อสรุปของผมก็คือ เส้นแบ่งว่าหุ้นตัวไหนเป็นหุ้น Value ที่เน้นแนว Growth หรือซุปเปอร์สต็อก กับหุ้น Growth ในนิยามแบบวิชาการที่นำเสนอโดยฟิลิป ฟิสเชอร์ และหุ้นที่ถูก Corner ในตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้นั้น “บางมาก” นั่นก็คือ มันยากที่จะบอก เวลาที่ผ่านไปเท่านั้นที่จะบอกได้ชัดเจนว่าหุ้นตัวไหนที่จริงแล้วเป็นหุ้นอะไร
เพราะเมื่อถึงเวลานั้น หุ้นที่เป็น Value ก็มักจะ “อยู่ทน”คือขึ้นไปเรื่อยๆ อาจจะช้าๆ ส่วนหุ้น Growth เองนั้น เวลาที่ธุรกิจหรือตลาดหุ้นไม่เอื้ออำนวย ราคาก็อาจจะทยอยถอยลงไปเรื่อย ๆ แล้วก็หยุดลงในจุดที่เหมาะสม และหุ้น Corner เองนั้น มีโอกาสสูงว่า ราคาจะลงไปในระดับ “หายนะ”