Nemo (Willem Dafoe) หัวขโมยงานศิลปะระดับไฮเอนด์ที่ได้รับมอบหมายให้เข้าขโมยภาพวาดมูลค่านับล้าน
ในเพนต์เฮาส์ขนาดใหญ่ใจกลางมหานครนิวยอร์ก...เมื่อแรกที่เขามาถึงสิ่งต่างๆ ก็เป็นไปอย่างราบรื่น
อย่างไรก็ตามเมื่อเขากำลังจะออกไป สัญญาณเตือนภัยดังขึ้น ระบบรักษาความปลอดภัยก็ทำงานและล็อคทุกอย่างไว้
นีโม่ พยายามพังประตูหน้าต่างทุกบานที่มี แต่ก็ไม่เป็นผล ในที่สุดนีโมก็รู้ตัวว่าเขาติดอยู่ในเพนต์เฮาส์นี้
และความน่ากลัวต่างๆก็กำลังมุ่งหน้ามาหาเขา....
Inside ของผู้กำกับ Vasilis Katsoupis จัดให้ วิลเลี่ยม เดโฟ เป็นเดอะแบกทั้งหมดของเรื่อง เพราะเขาเล่นอยู่คนเดียว
ถึงแม้จะแม่บ้านสาวที่มาทำความสะอาดแต่ทั้งหมดเราก็จะเห็นผ่านทางกล้องวงจรปิดที่เดโฟ คอยจับตาดูอยู่เสมอ ..
(มีแค่ซีนเดียวที่มาแบบเป็นจินตนาการของเจ้าตัว)
ในเรื่องเดโฟ รับบทเป็น นีโม่ (ไม่ใช่ปลานะครับ) หัวขโมยงานศิลป์ที่ต้องมาติดแหง็กอยู่ในห้องชุดสุดหรูที่ระบบความรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม
พลอตมีเท่านี้เลย เรื่องการแสดงของพี่แกนี่เชื่อใจหายห่วงครับ
แต่ที่ผมดูแล้วรู้สึกขัดๆ นิดๆก็คือเรื่องของบทมากกว่าที่ทำให้หนังเรื่องนี้ไปไม่สุดทางที่ควรจะเป็น
หนังแนวตัวเอกติดอยู่ในห้องและหาทางออกไม่ได้มีเยอะครับ ผมคงไม่ยกตัวอย่างมาเปรียบเทียบ เรื่องนี้ก็เช่นกัน..
ตัวของนีโม่ติดอยู่โดยที่มีอุปสรรคในนั้นหลายอย่างที่เขาต้องผ่านมันไปให้ได้ ก็เป็นสเตปของหนังแนวนี้อยู่แล้ว...
แต่ในหนังเราจะไม่เห็นด้านชีวิตส่วนตัวหรือที่มาอื่นใดของตัวนีโม่เลย ซึ่งจริงๆน่าจะขยายความให้ผู้ชมได้ทราบบ้าง
อารมณ์ตัวเอกติดอยู่ข้างในนึกหวนไปถึงนั่นนี่อะไรก็ตามเรื่อง แต่นีโม่ใน Inside โฟกัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือการหาทางออกอย่างชัดเจน
จนเริ่มมีอาการหลอน และเริ่มเพ้อคลั่ง (ซึ่งในหนังจะแสดงออกว่าเขาทำอย่างไร)
คือหนังทำให้เรากดดันตามไปด้วยดีครับ แต่สภาพจิตใจของตัวนีโม่ในช่วงเวลานั้นที่ผมอยากให้หนังได้อธิบายให้มากกว่านี้
(หนังนำเสนอในรูปแบบความเป็นนามธรรมไว้มาก) เพราะจะมีอะไรให้เล่นได้อีกมากเลยล่ะ
บทสรุป...นีโม่ ในเรื่องนี้เขาอยู่ในกรงที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยตัวเองแท้ๆ ก็คงเป็นเหมือนกับคนเราทุกคนที่อยู่ในกรงเพื่อขังตัวของเราเอง
จะด้วยกรอบความคิด วิธีการใช้ชีวิต ความเชื่อหรือข้อผูกมัดอะไรก็ตามแต่ ทุกอย่างเราสร้างมันไว้ทั้งนั้น
หากเราปล่อยวางในบางสิ่งบางอย่างได้ ชีวิตก็คงเป็นอิสระ...ไม่ต้องมาติดอยู่ในคุกของใจที่เราเป็นผู้สร้างขึ้นด้วยตัวเอง...
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== Inside (2023) ชายคนหนึ่งที่แสวงหาอิสรภาพจากคุกที่เขาสร้างขึ้นเอง ==
Nemo (Willem Dafoe) หัวขโมยงานศิลปะระดับไฮเอนด์ที่ได้รับมอบหมายให้เข้าขโมยภาพวาดมูลค่านับล้าน
ในเพนต์เฮาส์ขนาดใหญ่ใจกลางมหานครนิวยอร์ก...เมื่อแรกที่เขามาถึงสิ่งต่างๆ ก็เป็นไปอย่างราบรื่น
อย่างไรก็ตามเมื่อเขากำลังจะออกไป สัญญาณเตือนภัยดังขึ้น ระบบรักษาความปลอดภัยก็ทำงานและล็อคทุกอย่างไว้
นีโม่ พยายามพังประตูหน้าต่างทุกบานที่มี แต่ก็ไม่เป็นผล ในที่สุดนีโมก็รู้ตัวว่าเขาติดอยู่ในเพนต์เฮาส์นี้
และความน่ากลัวต่างๆก็กำลังมุ่งหน้ามาหาเขา....
Inside ของผู้กำกับ Vasilis Katsoupis จัดให้ วิลเลี่ยม เดโฟ เป็นเดอะแบกทั้งหมดของเรื่อง เพราะเขาเล่นอยู่คนเดียว
ถึงแม้จะแม่บ้านสาวที่มาทำความสะอาดแต่ทั้งหมดเราก็จะเห็นผ่านทางกล้องวงจรปิดที่เดโฟ คอยจับตาดูอยู่เสมอ ..
(มีแค่ซีนเดียวที่มาแบบเป็นจินตนาการของเจ้าตัว)
ในเรื่องเดโฟ รับบทเป็น นีโม่ (ไม่ใช่ปลานะครับ) หัวขโมยงานศิลป์ที่ต้องมาติดแหง็กอยู่ในห้องชุดสุดหรูที่ระบบความรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม
พลอตมีเท่านี้เลย เรื่องการแสดงของพี่แกนี่เชื่อใจหายห่วงครับ
แต่ที่ผมดูแล้วรู้สึกขัดๆ นิดๆก็คือเรื่องของบทมากกว่าที่ทำให้หนังเรื่องนี้ไปไม่สุดทางที่ควรจะเป็น
หนังแนวตัวเอกติดอยู่ในห้องและหาทางออกไม่ได้มีเยอะครับ ผมคงไม่ยกตัวอย่างมาเปรียบเทียบ เรื่องนี้ก็เช่นกัน..
ตัวของนีโม่ติดอยู่โดยที่มีอุปสรรคในนั้นหลายอย่างที่เขาต้องผ่านมันไปให้ได้ ก็เป็นสเตปของหนังแนวนี้อยู่แล้ว...
แต่ในหนังเราจะไม่เห็นด้านชีวิตส่วนตัวหรือที่มาอื่นใดของตัวนีโม่เลย ซึ่งจริงๆน่าจะขยายความให้ผู้ชมได้ทราบบ้าง
อารมณ์ตัวเอกติดอยู่ข้างในนึกหวนไปถึงนั่นนี่อะไรก็ตามเรื่อง แต่นีโม่ใน Inside โฟกัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือการหาทางออกอย่างชัดเจน
จนเริ่มมีอาการหลอน และเริ่มเพ้อคลั่ง (ซึ่งในหนังจะแสดงออกว่าเขาทำอย่างไร)
คือหนังทำให้เรากดดันตามไปด้วยดีครับ แต่สภาพจิตใจของตัวนีโม่ในช่วงเวลานั้นที่ผมอยากให้หนังได้อธิบายให้มากกว่านี้
(หนังนำเสนอในรูปแบบความเป็นนามธรรมไว้มาก) เพราะจะมีอะไรให้เล่นได้อีกมากเลยล่ะ
บทสรุป...นีโม่ ในเรื่องนี้เขาอยู่ในกรงที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยตัวเองแท้ๆ ก็คงเป็นเหมือนกับคนเราทุกคนที่อยู่ในกรงเพื่อขังตัวของเราเอง
จะด้วยกรอบความคิด วิธีการใช้ชีวิต ความเชื่อหรือข้อผูกมัดอะไรก็ตามแต่ ทุกอย่างเราสร้างมันไว้ทั้งนั้น
หากเราปล่อยวางในบางสิ่งบางอย่างได้ ชีวิตก็คงเป็นอิสระ...ไม่ต้องมาติดอยู่ในคุกของใจที่เราเป็นผู้สร้างขึ้นด้วยตัวเอง...
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===