***คำเตือน*** จขกท. ค่อนข้างจะเป็นคนปากหมา กรุณาอย่าถือสาภาษาที่ใช้ตอบคอมเม้นท์
ในกระทู้นี้ เราจะมาเล่าเรื่องราวการเห็นนิมิต ที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนร่วมห้องเรา สมัยเรียนมัธยมปลายคนนึงค่ะ
แต่ก่อนที่เราจะบอกเล่าถึงนิมิตดังกล่าว เราจะขอเล่าความสัมพันธ์ของชีวิตเรากับเพื่อนๆในสมัยเรียนมัธยมปลายให้ได้รู้กันก่อน
ตอนสมัยเรียน ม.ต้น เราเป็นเด็กที่เรียนดีในระดับนึง ซึ่งมันไม่ได้มาจากความฉลาด แต่มันมากจากความขยัน
ทำให้ตอน ม.ต้นเราสอบได้การเรียนค่อนข้างโอเค อยู่ในระดับกลางๆ และได้อยู่ห้องเด็กเรียนดี
แต่พอจบ ม.ต้นมา เพื่อนเราที่สนิทบางคนก็ออกไปเรียนสายอาชีพ ส่วนคนที่ไม่ไปสายอาชีพก็เลือกสอบเข้าห้อง สายวิทย์
เราตอนนั้นที่รู้ตัวว่า ผลการเรียนก็ไม่ได้ดีมาก แต่ก็อยากจะเรียน สายวิทย์ กับเขาด้วย
ซึ่งตอนสอบเข้า มันก็ไม่ได้เกินความสามารถของเรา แต่เอาเข้าจริง เราเรียนไปได้แค่ครึ่งเทอม เราก็รู้ว่าตัวเองไปไม่รอด
เพราะเราไม่เก่งคำนวณ ไม่เก่งท่องจำสูตรเคมี และไม่ค่อยมีใครช่วยเราเหมือนตอนเรียน ม.ต้น
ที่เวลาไม่เข้าใจอะไร เราจะถามเพื่อน ถามอาจารย์ แต่ตอนนั้น สถานการณ์มันเปลี่ยนไป
เหมือนกับว่าพวกเขาเห็นแก่ตัวมากขึ้น เวลาทำงานกลุ่มก็ไม่ค่อยมีใครอยากให้เราเข้าร่วม เพราะเราไม่เก่ง หัวไม่ดี ไม่มีประโยชน์
ตอนนั้นเรารู้ตัว ว่าเรากำลังจะไปไม่รอด เพราะเราเครียดจัดจนปวดหัว และไม่สามารถฝืนความสามารถของตัวเองเดินทางนั้นต่อไปได้
เราจึงเลือกกระโดดลงมากลางทาง และย้ายมาอยู่ห้อง สายศิลป์ เป็นห้องท้ายๆ มีแต่เด็กเกเร ตัวท็อปทั้งนั้น
ซึ่งอาจารย์ที่ปรึกษาห้องนั้น ก็ยินดีรับเรามาเรียนต่อห้องนั้น เพราะเข้าใจปัญหาของเรา
ท่านก็บอกว่า ดีแล้วล่ะ! มาเป็นหัวหมาของห้องนี้ ดีกว่าอยู่เป็นหางราชสีห์ของห้องนั้น
หลังจากย้ายมาเรียนห้อง สายศิลป์ เราก็เรียนแบบสบายๆ เพราะไม่ได้เรียนหนักมาก เครียดมาก เหมือนเด็ก สายวิทย์
แต่พอมาอยู่ห้องใหม่ เราก็มีปัญหาเรื่องการ คบเพื่อน
เราเข้ากับเพื่อนผู้หญิงห้องเดียวกันไม่ได้ เพราะพวกเขาค่อนข้างจะ อ้อร้อ ( ภาษาใต้ ) หรือว่า แรด หน่อยๆ
ประมาณว่า แข่งกันสวย แข่งกันเด่น แข่งกันแต่งตัว วันๆไม่ค่อยทำอะไร โดดเรียนไปเฝ้าน้องๆ ม.ต้นบ้าง
จับกลุ่มกันนินทาคนนั้น คนนี้ พูดจาไม่เพราะ พูดเสียงดัง รบกวนคนอื่น
และไม่ค่อยมีความจริงใจให้กันและกัน ซึ่งเราบอกตรงๆ ว่าเราไม่ค่อยชอบ และเราก็เข้ากับพวกเขาไม่ได้
ไม่ใช่ว่าเพราะเราคิดว่า ตัวเองดีเลิศกว่า แต่เพราะเรา ไม่สวย ไม่ชอบแต่งตัว แข่งกับใคร และเราค่อนข้างจะตั้งใจเรียน
เพราะเราสงสารคนที่ส่งเสียมาให้เราเรียน เราจึงทำตัวเสเพล อย่างพวกเขาไม่ได้
ตอนนั้น เราก็ยังคิดแทนพวกเขาอยู่ว่า น่าสงสารพ่อแม่ ที่ทำงานหนักๆเพื่อส่งเสียมาให้ได้เรียน แต่กลับไม่ตั้งใจเรียนให้คุ้มค่ากับเงินที่ได้มาเลย
เรายังอิจฉาพวกเขาเลย ที่มีพ่อแม่คนส่งเสียให้เรียน ต่างจากเราที่ย่าต้องทำงานหนัก บางทีก็ต้องไปรบกวนหยิบยืมลูกหลานคนอื่นๆ
เพื่อจะมีเงินมาให้เรา ได้มาเรียนหนังสือเราจึงทำเช่นนั้นกับท่านไม่ลง เพราะเราเห็นถึงความลำบาก
และนั่นก็น่าจะเป็นสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ญาติพี่น้องเราบางคน เกลียดเรามาก เพราะเงินที่ลูกหลานให้ย่าเราไว้ให้ท่านได้ใช้จ่าย ในตอนนั้น
ท่านก็จะเก็บออมไว้ ส่งเสียให้เราเรียนหนังสือเสียส่วนใหญ่ ไม่ค่อยได้ใช้ ได้จ่าย ได้ซื้ออะไรกินเอง
นั่นเป็นสาเหตุ ที่ทำให้เราไม่ค่อยมีเพื่อนผู้หญิงในสมัยมัธยมปลาย
เราจึงต้องปรับตัว และต้องเอาตัวรอดเพื่อจะอยู่ให้ได้ โดยการเข้าหาเพื่อนผู้ชาย
และเพื่อนผู้ชายเราส่วนใหญ่ในห้องก็จะมี 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือเป็นพวกหัวดี แต่ขี้เกียจ
ซึ่งเป็นพวกที่มีพ่อแม่ฐานะดีๆทั้งนั้น ส่งเสียมาให้เรียนก็ทำตัวเสเพล โดดเรียนบ่อย ไปเฝ้าสาวๆ น้องๆ ม.ต้น
ไม่ค่อยทำงานส่งตามกำหนด แอบขายยา แอบสูบบุหรี่บ้าง โดนเรียกเข้าห้องฝ่ายปกครองอยู่เป็นประจำ
เราจึงเข้าหากลุ่มพวกเขาเหล่านั้น โดยต้องการหาผลประโยชน์ จากการช่วยเหลือพวกเขาทำงานส่งครู
ซึ่งพวกเราก็ค่อนข้างจะเข้ากันได้ดี เพราะเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน
เราเป็นคนที่ค่อนข้างจะขยัน แต่งานบ้างอย่าง บางเรื่องที่อาจารย์สั่งให้ทำ มันจำเป็นต้องใช้เงินทุน
แต่เราไม่มีเงินทุนตรงนี้ เพราะทางบ้านเราลำบากแต่สำหรับพวกเขา ไม่ค่อยจะมีปัญหาเรื่องเงิน ทำให้เราได้ประโยชน์จากพวกเขาเรื่องนี้
และพวกเขาก็ได้ประโยชน์จากความขยันของเรา จากการที่เรารับจ้างช่วยทำรายงานส่งบ้าง อะไรบ้าง
หรือบางทีที่เป็นงานกลุ่ม เราก็ขยันทำอยู่คนเดียว แลกกับการให้พวกเขาช่วยออกเงินค่าใช้จ่ายทั้งหมด
จึงฉุดลากกันไป ถูไถ่กันจนจบ ม.ปลายไปพร้อมๆกัน
เพราะความที่เรามีแต่เพื่อนผู้ชาย ทำให้เรามีนิสัยที่ไม่ค่อยเหมือนผู้หญิงทั่วๆไปเท่าไหร่นัก
ออกจะนิสัยไปทาง ห้าวๆ นักเลงหน่อยๆ กิริยาท่าทาง การเดิน การนั่งเลยไม่ค่อยเรียบร้อย
มักจะถูกอาจารย์ที่ปรึกษาหรือ อาจารย์ท่านอื่นตักเตือนอยู่บ่อยๆเรื่องแบบนี้
แต่เราจะมีนิสัยดีอย่างนึง ที่ชอบเข้าหาอาจารย์ ช่วยงานดีมาก ทำให้เรามักจะได้สิทธิพิเศษจากอาจารย์หลายท่าน
ในการทำงานส่ง อาจจะส่งรายงานช้าได้นิดหน่อยโดยไม่ถูกหักคะแนน
เราต้องเขียนรายงานหลายเล่ม เพราะไปรับงานจ้างทำรายงานจากเพื่อนๆเราเสมอ
หรือบางทีก็ได้ใช้อุปกรณ์การเรียนที่ดีกว่าคนอื่นเล็กน้อย
หรือบางครั้งก็ยืมหนังสือจากห้องสมุด คราวละหลายๆเล่มได้ และคืนช้าได้โดยไม่ถูกหักเงิน
เพราะนักเรียนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยชอบเข้าหาอาจารย์ เจออาจารย์เดินผ่านมาทางไหนก็หนีกันกระเจิงตลอด
ซึ่งเพื่อนผู้ชายของเรากลุ่มที่เกเร ชอบจ้างเราทำรายงานจะมีอยู่ 4-5 คน
ซึ่งพวกเขาเป็นกลุ่มที่ถูกเพ่งเล็งโดยสารวัตรนักเรียน และอาจารย์ฝ่ายปกครองอยู่ตลอด
เพราะเป็นพวกที่ชอบมาสาย แต่งตัวไม่เรียบร้อย ไม่ถูกระเบียบของโรงเรียน และมีเรื่องชกต่อยกันบ่อยครั้ง
ซึ่งเราไม่ค่อยจะสนใจพฤติกรรมของพวกเพื่อนๆเรากลุ่มนี้เท่าไหร่ เพราะมันไม่ใช่เรื่องอะไรของเรา
เราสนใจแต่ผลประโยชน์ที่ได้จากการคบกับพวกเขาเท่านั้น เราช่วยเขา เขาช่วยเรา จบ.แค่นั้น
แต่พวกเราก็ค่อนข้างสนิทกันมาก และค่อนข้างจะเข้ากันได้ดี
เพราะเราเป็นคนที่ไม่จู้จี้ จุกจิก ไม่พูดมาก ไม่ยุ่งเกี่ยว ไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคนอื่น ไม่เหมือนเพื่อนผู้หญิงในห้องคนอื่นๆ
ที่บางทีก็เอาเรื่องไม่ดีของคนอื่นมาพูด มาต่อว่ากันตรงโดยไม่ให้เกียรติคนฟังกันเลย
แต่เพราะพวกเราสนิทกันมากขึ้น วันนึงมันก็เกือบทำให้เราเดือดร้อนเพราะความเกเร เสเพล ของพวกมัน
วันนั้นมีการตรวจกระเป๋านักเรียนในห้องของเราทั้งหมด เพราะมีสายจากสารวัตรนักเรียน
แจ้งว่ามีการลักลอบนำยาเสพเข้ามาเสพ และขายในโรงเรียน
ซึ่งตอนเช้าก่อนเข้าแถวหน้าโรงเรียน เราก็เดินไปเข้าห้องเรียนเป็นปกติ
และไปบังเอิญเจอกลับกลุ่มเพื่อนผู้ชายพวกนี้ของเราเข้าระหว่างทาง
ซึ่งวันนั้น พวกเขาบอกว่าจะช่วยถือกระเป๋านักเรียนเราไปให้ เพราะเห็นว่ามันท่าทางจะหนัก
เพราะเราพกสมุด หนังสือมาเยอะ รวมทั้งหนังสือที่ต้องเอามาคืนห้องสมุดอีก
ซึ่งพวกเขาก็เห็นเราถือกระเป๋านักเรียนใบใหญ่ไปโรงเรียนแบบนี้ทุกวันเป็นปกติอยู่แล้ว
แต่วันนั้นมันมีท่าทีใจดีเกินไป ใจดีกว่าทุกวันที่จะอาสาถือกระเป๋านักเรียนไปให้เรา
ทีแรกเราก็ไม่ให้ บอกว่าไม่เป็นไร เราถือไปเองจนชินแล้ว ไม่ได้หนักอะไร
แต่มันก็คะยันคะยอ จะช่วยถือไปให้ได้ เราจึงขัดไม่ได้ เลยให้พวกมันถือไป
เราก็สั่งไปว่า ให้เราไปว่าที่โต๊ะเราให้ดีด้วยล่ะ! มันก็รับปาก แล้วเราก็เดินกลับไปรอเข้าแถว
แต่วันนั้น พวกกลุ่มเพื่อนผู้ชายเรา มันไม่ออกไปเข้าแถว ทั้งๆที่วันนั้นมันก็ไม่ได้มาสาย
พอเลิกแถวจะเข้าห้องเรียน ก่อนจะเรียนคาบแรก มีอาจารย์จากฝ่ายปกครองเข้ามาในห้อง
และแจ้งว่าจะขอค้นกระเป๋านักเรียน เพราะมีสายข่าวจากสารวัตรนักเรียน
ว่ามีการนำยาเสพติดเข้ามาในโรงเรียน และให้พวกเราทุกคนออกไปรอข้างนอก
ซึ่งทุกคนก็ทำตาม รวมทั้งเพื่อนๆผู้ชายกลุ่มนั้นของเราด้วย
แต่อาจารย์ไม่ได้ค้นกระเป๋าของนักเรียนห้องเราทุกคน ที่เราเห็นมีแต่กระเป๋านักเรียนของเพื่อนผู้ชายเรากลุ่มนั้นเท่านั้น ที่ถูกค้นกระจัดกระจาย
กระเป๋านักเรียนของเราและของคนอื่นๆ ไม่ได้ถูกรื้อค้นไปด้วย
หลังจากนั้นอาจารย์ฝ่ายปกครองก็เรียกให้พวกเราเข้าห้องกลับมาได้ และบอกกล่าวขอบคุณในความร่วมมือ
หลังจากนั้นเราก็เข้าเรียนตามปกติ แต่เราสังเกตุเห็นว่าซิปของกระเป๋านักเรียนเรามีความผิดปกติ
เพราะมันรูดไม่สนิท ซึ่งเราเป็นคนที่จะปิดซิป ปิดกระเป๋าแบบเรียบร้อย เรียบสนิททุกช่อง
เราจึงเปิดซิปดูในกระเป๋าช่องนั้น มันมีหลอดพลาสติกอยู่ในนั้น
แต่ด้านในหลอดแข็งๆเหมือนมีอะไรใส่อยู่ และมีการซีนปิดปากหลอดด้วยไฟ
เราคิดว่าเพื่อนเรามันต้องแกล้งอะไรเราแน่ๆ แต่เราก็ไม่ได้พูดถามอะไรตอนคาบเรียน
เรารอจนถึงเวลาพักเที่ยง แล้วไปถามมันว่า มันแกล้งเอาอะไรมาใส่ในกระเป๋านักเรียนเรา
เพราะเราคิดว่า มันต้องแอบเอาใส่ตอนที่อาสาถือกระเป๋านักเรียนเราเอามาเก็บที่ห้องให้แน่ๆ
ซึ่งตอนนั้นเราก็คิดว่า มันต้องเป็นสิ่งที่อยู่ในหลอดนี้แน่ๆที่อาจารย์ฝ่ายปกครองมาค้นกระเป๋านักเรียนวันนี้
ซึ่งเราก็ถามพวกมันไปตรงๆ มันก็ยอมรับว่า ใช่!
ในหลอดนั้นมันมียาม้าอยู่ 10 เม็ด
พวกมันรู้ว่าจะถูกอาจารย์ฝ่ายปกครองค้นกระเป๋า เลยเอามาฝากไว้ในกระเป๋านักเรียนเรา
เราก็ด่ามันยกใหญ่ บอกว่าพวกมันชั่วกันจริงๆ เกือบพาเราซวยไปด้วย โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย
เราก็บอกว่า ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก ถ้าเราซวยไปด้วย เราคงนึกไม่ออกเลยว่าย่าเราจะเสียใจขนาดไหน
แต่ด้วยความที่เราอยากรู้อยากเห็น เราจึงถามพวกมันไปตรงๆว่า มันเป็นยาเสพติดจริงหรือเปล่า
เพราะเราก็ยังไม่เชื่อเต็มร้อย ว่าในหลอดนั้นมันคือยาเสพติด และเราไม่คิดว่าเพื่อนกลุ่มนี้ของเราจะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้
เราจึงถามซ้ำเพื่อความมั่นใจ พวกมันก็บอกว่า จริง มันคือยาเสพติดจริง ถ้าไม่เชื่อมันจะดูดให้ดู
แล้วมันก็เอาออกมาเม็ดนึง แล้วก็ดูดให้เราดูจริงๆ
ซึ่งวิธีการดูดก็จะเอากระดาษฟอยล์ที่ห่อบุหรี่มาตัดเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า
แล้วก็เอาเม็ดยาวางลงด้านในพับมุมทั้งสองข้างให้ชนกัน
แล้วก็ใช้ไฟแช็คจุดใต้ฟอยล์ แล้วก็ใช้หลอดดูด สูดควันเข้าปาก
เราเห็นแล้วเราก็ถามมันว่า ดูดแล้วมันดียังไง มันทำให้บ้าไม่ใช่เหรอ
รู้โทษมันอย่างนี้แล้วทำไมถึงยังใช้มันอีก เราไม่เข้าใจ
เพื่อนเราเลยอธิบายให้เราฟังว่า มันทำให้คนทำงานได้หนักขึ้น ทำแบบหามรุ่ง หามค่ำ โดนที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ส่วนพวกที่ดูดแล้วบ้า คือพวกที่ดูดเฉยๆ ไม่ทำการทำงาน เพราะดูดแล้วมันจะดีด อยู่เฉยๆไม่ได้
พอมันดีดก็ต้องหาอะไรทำ คือต้องทำงาน
เราก็ถามมันว่า แล้วเขาขายกันยังไง แล้วไปรับมาจากไหน ไม่กลัวถูกจับได้เหรอ
มันก็บอกเราว่า ตอนช่วงเวลานั้น ราคาเม็ดละ 500 บาท ตอนนั้นมันดูดให้เราดูไปเม็ดนึงแล้ว จะมาเอาเงินกับเรา 500 บาท
ส่วนแหล่งที่มา มันบอกไม่ได้ ว่ามันได้มาจากไหน แล้วบอกเราว่า พอแล้วไม่ต้องถามแล้ว เรารู้มากไปไม่ดีกับตัวเอง
เราก็ถามมันต่ออีกอย่างนึงว่า แล้วตอนนี้มันดูดไปเม็ดนึงแล้ว มันจะไม่บ้าเหรอ เพราะมันไม่ได้ทำงานนิ
มันก็บอกเราว่า เดี๋ยวเลิกเรียนไปมันก็ไปทำงานแล้ว มันไม่บ้าหรอก แล้วก็หัวเราะ
เราก็ถามอีก ว่ามันทำงานอะไรหลังเลิกเรียน มันก็บอกเราว่า เราไม่ต้องรู้หรอก แล้วก็ไล่เตะเราให้ออกไป
ซึ่งหลังจากนั้น เราก็มารู้ความจริงถึงสถานภาพครอบครัวของเพื่อนผู้ชายในกลุ่มนั้นของเรา
ว่าพวกเขาก็มีปัญหาเรื่องครอบครัว ไม่ได้ต่างจากเราเลย บางคนแย่กว่าเราด้วยซ้ำ
ภาพที่เราเห็นว่าพวกเขามาจากครอบครัวที่มีฐานะ มันไม่จริงเลย
พวกเขาได้เงินใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมาจากการทำเรื่องผิดกฎหมาย
แต่เราก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะสามารถพูดอะไรออก
ได้ แม้เราจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พวกเขาทำ
เราก็อยู่เฉยๆ ทำได้แค่ตักเตือนว่าให้ระมัดระวัง เพราะยังไง เราก็ยังต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันอยู่
กว่าจะเรียนจบกันไป ซึ่งพอคบกันนานไป มันทำให้เราเห็นอีกด้านของพวกเขา ที่เราไม่คิดว่ามันจะมีด้านนั้นเลย
เราเป็นผู้หญิงก็จริง แต่เราเป็นคนไม่ค่อยเรียบร้อย ชอบทำอะไรหยาบๆ ไม่ค่อยเหมือนผู้หญิงเท่าไหร่
เห็นนิมิต เห็นอดีต เห็นอนาคต เห็นกฎแห่งกรรม ภาค 35
ในกระทู้นี้ เราจะมาเล่าเรื่องราวการเห็นนิมิต ที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนร่วมห้องเรา สมัยเรียนมัธยมปลายคนนึงค่ะ
แต่ก่อนที่เราจะบอกเล่าถึงนิมิตดังกล่าว เราจะขอเล่าความสัมพันธ์ของชีวิตเรากับเพื่อนๆในสมัยเรียนมัธยมปลายให้ได้รู้กันก่อน
ตอนสมัยเรียน ม.ต้น เราเป็นเด็กที่เรียนดีในระดับนึง ซึ่งมันไม่ได้มาจากความฉลาด แต่มันมากจากความขยัน
ทำให้ตอน ม.ต้นเราสอบได้การเรียนค่อนข้างโอเค อยู่ในระดับกลางๆ และได้อยู่ห้องเด็กเรียนดี
แต่พอจบ ม.ต้นมา เพื่อนเราที่สนิทบางคนก็ออกไปเรียนสายอาชีพ ส่วนคนที่ไม่ไปสายอาชีพก็เลือกสอบเข้าห้อง สายวิทย์
เราตอนนั้นที่รู้ตัวว่า ผลการเรียนก็ไม่ได้ดีมาก แต่ก็อยากจะเรียน สายวิทย์ กับเขาด้วย
ซึ่งตอนสอบเข้า มันก็ไม่ได้เกินความสามารถของเรา แต่เอาเข้าจริง เราเรียนไปได้แค่ครึ่งเทอม เราก็รู้ว่าตัวเองไปไม่รอด
เพราะเราไม่เก่งคำนวณ ไม่เก่งท่องจำสูตรเคมี และไม่ค่อยมีใครช่วยเราเหมือนตอนเรียน ม.ต้น
ที่เวลาไม่เข้าใจอะไร เราจะถามเพื่อน ถามอาจารย์ แต่ตอนนั้น สถานการณ์มันเปลี่ยนไป
เหมือนกับว่าพวกเขาเห็นแก่ตัวมากขึ้น เวลาทำงานกลุ่มก็ไม่ค่อยมีใครอยากให้เราเข้าร่วม เพราะเราไม่เก่ง หัวไม่ดี ไม่มีประโยชน์
ตอนนั้นเรารู้ตัว ว่าเรากำลังจะไปไม่รอด เพราะเราเครียดจัดจนปวดหัว และไม่สามารถฝืนความสามารถของตัวเองเดินทางนั้นต่อไปได้
เราจึงเลือกกระโดดลงมากลางทาง และย้ายมาอยู่ห้อง สายศิลป์ เป็นห้องท้ายๆ มีแต่เด็กเกเร ตัวท็อปทั้งนั้น
ซึ่งอาจารย์ที่ปรึกษาห้องนั้น ก็ยินดีรับเรามาเรียนต่อห้องนั้น เพราะเข้าใจปัญหาของเรา
ท่านก็บอกว่า ดีแล้วล่ะ! มาเป็นหัวหมาของห้องนี้ ดีกว่าอยู่เป็นหางราชสีห์ของห้องนั้น
หลังจากย้ายมาเรียนห้อง สายศิลป์ เราก็เรียนแบบสบายๆ เพราะไม่ได้เรียนหนักมาก เครียดมาก เหมือนเด็ก สายวิทย์
แต่พอมาอยู่ห้องใหม่ เราก็มีปัญหาเรื่องการ คบเพื่อน
เราเข้ากับเพื่อนผู้หญิงห้องเดียวกันไม่ได้ เพราะพวกเขาค่อนข้างจะ อ้อร้อ ( ภาษาใต้ ) หรือว่า แรด หน่อยๆ
ประมาณว่า แข่งกันสวย แข่งกันเด่น แข่งกันแต่งตัว วันๆไม่ค่อยทำอะไร โดดเรียนไปเฝ้าน้องๆ ม.ต้นบ้าง
จับกลุ่มกันนินทาคนนั้น คนนี้ พูดจาไม่เพราะ พูดเสียงดัง รบกวนคนอื่น
และไม่ค่อยมีความจริงใจให้กันและกัน ซึ่งเราบอกตรงๆ ว่าเราไม่ค่อยชอบ และเราก็เข้ากับพวกเขาไม่ได้
ไม่ใช่ว่าเพราะเราคิดว่า ตัวเองดีเลิศกว่า แต่เพราะเรา ไม่สวย ไม่ชอบแต่งตัว แข่งกับใคร และเราค่อนข้างจะตั้งใจเรียน
เพราะเราสงสารคนที่ส่งเสียมาให้เราเรียน เราจึงทำตัวเสเพล อย่างพวกเขาไม่ได้
ตอนนั้น เราก็ยังคิดแทนพวกเขาอยู่ว่า น่าสงสารพ่อแม่ ที่ทำงานหนักๆเพื่อส่งเสียมาให้ได้เรียน แต่กลับไม่ตั้งใจเรียนให้คุ้มค่ากับเงินที่ได้มาเลย
เรายังอิจฉาพวกเขาเลย ที่มีพ่อแม่คนส่งเสียให้เรียน ต่างจากเราที่ย่าต้องทำงานหนัก บางทีก็ต้องไปรบกวนหยิบยืมลูกหลานคนอื่นๆ
เพื่อจะมีเงินมาให้เรา ได้มาเรียนหนังสือเราจึงทำเช่นนั้นกับท่านไม่ลง เพราะเราเห็นถึงความลำบาก
และนั่นก็น่าจะเป็นสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ญาติพี่น้องเราบางคน เกลียดเรามาก เพราะเงินที่ลูกหลานให้ย่าเราไว้ให้ท่านได้ใช้จ่าย ในตอนนั้น
ท่านก็จะเก็บออมไว้ ส่งเสียให้เราเรียนหนังสือเสียส่วนใหญ่ ไม่ค่อยได้ใช้ ได้จ่าย ได้ซื้ออะไรกินเอง
นั่นเป็นสาเหตุ ที่ทำให้เราไม่ค่อยมีเพื่อนผู้หญิงในสมัยมัธยมปลาย
เราจึงต้องปรับตัว และต้องเอาตัวรอดเพื่อจะอยู่ให้ได้ โดยการเข้าหาเพื่อนผู้ชาย
และเพื่อนผู้ชายเราส่วนใหญ่ในห้องก็จะมี 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือเป็นพวกหัวดี แต่ขี้เกียจ
ซึ่งเป็นพวกที่มีพ่อแม่ฐานะดีๆทั้งนั้น ส่งเสียมาให้เรียนก็ทำตัวเสเพล โดดเรียนบ่อย ไปเฝ้าสาวๆ น้องๆ ม.ต้น
ไม่ค่อยทำงานส่งตามกำหนด แอบขายยา แอบสูบบุหรี่บ้าง โดนเรียกเข้าห้องฝ่ายปกครองอยู่เป็นประจำ
เราจึงเข้าหากลุ่มพวกเขาเหล่านั้น โดยต้องการหาผลประโยชน์ จากการช่วยเหลือพวกเขาทำงานส่งครู
ซึ่งพวกเราก็ค่อนข้างจะเข้ากันได้ดี เพราะเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน
เราเป็นคนที่ค่อนข้างจะขยัน แต่งานบ้างอย่าง บางเรื่องที่อาจารย์สั่งให้ทำ มันจำเป็นต้องใช้เงินทุน
แต่เราไม่มีเงินทุนตรงนี้ เพราะทางบ้านเราลำบากแต่สำหรับพวกเขา ไม่ค่อยจะมีปัญหาเรื่องเงิน ทำให้เราได้ประโยชน์จากพวกเขาเรื่องนี้
และพวกเขาก็ได้ประโยชน์จากความขยันของเรา จากการที่เรารับจ้างช่วยทำรายงานส่งบ้าง อะไรบ้าง
หรือบางทีที่เป็นงานกลุ่ม เราก็ขยันทำอยู่คนเดียว แลกกับการให้พวกเขาช่วยออกเงินค่าใช้จ่ายทั้งหมด
จึงฉุดลากกันไป ถูไถ่กันจนจบ ม.ปลายไปพร้อมๆกัน
เพราะความที่เรามีแต่เพื่อนผู้ชาย ทำให้เรามีนิสัยที่ไม่ค่อยเหมือนผู้หญิงทั่วๆไปเท่าไหร่นัก
ออกจะนิสัยไปทาง ห้าวๆ นักเลงหน่อยๆ กิริยาท่าทาง การเดิน การนั่งเลยไม่ค่อยเรียบร้อย
มักจะถูกอาจารย์ที่ปรึกษาหรือ อาจารย์ท่านอื่นตักเตือนอยู่บ่อยๆเรื่องแบบนี้
แต่เราจะมีนิสัยดีอย่างนึง ที่ชอบเข้าหาอาจารย์ ช่วยงานดีมาก ทำให้เรามักจะได้สิทธิพิเศษจากอาจารย์หลายท่าน
ในการทำงานส่ง อาจจะส่งรายงานช้าได้นิดหน่อยโดยไม่ถูกหักคะแนน
เราต้องเขียนรายงานหลายเล่ม เพราะไปรับงานจ้างทำรายงานจากเพื่อนๆเราเสมอ
หรือบางทีก็ได้ใช้อุปกรณ์การเรียนที่ดีกว่าคนอื่นเล็กน้อย
หรือบางครั้งก็ยืมหนังสือจากห้องสมุด คราวละหลายๆเล่มได้ และคืนช้าได้โดยไม่ถูกหักเงิน
เพราะนักเรียนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยชอบเข้าหาอาจารย์ เจออาจารย์เดินผ่านมาทางไหนก็หนีกันกระเจิงตลอด
ซึ่งเพื่อนผู้ชายของเรากลุ่มที่เกเร ชอบจ้างเราทำรายงานจะมีอยู่ 4-5 คน
ซึ่งพวกเขาเป็นกลุ่มที่ถูกเพ่งเล็งโดยสารวัตรนักเรียน และอาจารย์ฝ่ายปกครองอยู่ตลอด
เพราะเป็นพวกที่ชอบมาสาย แต่งตัวไม่เรียบร้อย ไม่ถูกระเบียบของโรงเรียน และมีเรื่องชกต่อยกันบ่อยครั้ง
ซึ่งเราไม่ค่อยจะสนใจพฤติกรรมของพวกเพื่อนๆเรากลุ่มนี้เท่าไหร่ เพราะมันไม่ใช่เรื่องอะไรของเรา
เราสนใจแต่ผลประโยชน์ที่ได้จากการคบกับพวกเขาเท่านั้น เราช่วยเขา เขาช่วยเรา จบ.แค่นั้น
แต่พวกเราก็ค่อนข้างสนิทกันมาก และค่อนข้างจะเข้ากันได้ดี
เพราะเราเป็นคนที่ไม่จู้จี้ จุกจิก ไม่พูดมาก ไม่ยุ่งเกี่ยว ไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคนอื่น ไม่เหมือนเพื่อนผู้หญิงในห้องคนอื่นๆ
ที่บางทีก็เอาเรื่องไม่ดีของคนอื่นมาพูด มาต่อว่ากันตรงโดยไม่ให้เกียรติคนฟังกันเลย
แต่เพราะพวกเราสนิทกันมากขึ้น วันนึงมันก็เกือบทำให้เราเดือดร้อนเพราะความเกเร เสเพล ของพวกมัน
วันนั้นมีการตรวจกระเป๋านักเรียนในห้องของเราทั้งหมด เพราะมีสายจากสารวัตรนักเรียน
แจ้งว่ามีการลักลอบนำยาเสพเข้ามาเสพ และขายในโรงเรียน
ซึ่งตอนเช้าก่อนเข้าแถวหน้าโรงเรียน เราก็เดินไปเข้าห้องเรียนเป็นปกติ
และไปบังเอิญเจอกลับกลุ่มเพื่อนผู้ชายพวกนี้ของเราเข้าระหว่างทาง
ซึ่งวันนั้น พวกเขาบอกว่าจะช่วยถือกระเป๋านักเรียนเราไปให้ เพราะเห็นว่ามันท่าทางจะหนัก
เพราะเราพกสมุด หนังสือมาเยอะ รวมทั้งหนังสือที่ต้องเอามาคืนห้องสมุดอีก
ซึ่งพวกเขาก็เห็นเราถือกระเป๋านักเรียนใบใหญ่ไปโรงเรียนแบบนี้ทุกวันเป็นปกติอยู่แล้ว
แต่วันนั้นมันมีท่าทีใจดีเกินไป ใจดีกว่าทุกวันที่จะอาสาถือกระเป๋านักเรียนไปให้เรา
ทีแรกเราก็ไม่ให้ บอกว่าไม่เป็นไร เราถือไปเองจนชินแล้ว ไม่ได้หนักอะไร
แต่มันก็คะยันคะยอ จะช่วยถือไปให้ได้ เราจึงขัดไม่ได้ เลยให้พวกมันถือไป
เราก็สั่งไปว่า ให้เราไปว่าที่โต๊ะเราให้ดีด้วยล่ะ! มันก็รับปาก แล้วเราก็เดินกลับไปรอเข้าแถว
แต่วันนั้น พวกกลุ่มเพื่อนผู้ชายเรา มันไม่ออกไปเข้าแถว ทั้งๆที่วันนั้นมันก็ไม่ได้มาสาย
พอเลิกแถวจะเข้าห้องเรียน ก่อนจะเรียนคาบแรก มีอาจารย์จากฝ่ายปกครองเข้ามาในห้อง
และแจ้งว่าจะขอค้นกระเป๋านักเรียน เพราะมีสายข่าวจากสารวัตรนักเรียน
ว่ามีการนำยาเสพติดเข้ามาในโรงเรียน และให้พวกเราทุกคนออกไปรอข้างนอก
ซึ่งทุกคนก็ทำตาม รวมทั้งเพื่อนๆผู้ชายกลุ่มนั้นของเราด้วย
แต่อาจารย์ไม่ได้ค้นกระเป๋าของนักเรียนห้องเราทุกคน ที่เราเห็นมีแต่กระเป๋านักเรียนของเพื่อนผู้ชายเรากลุ่มนั้นเท่านั้น ที่ถูกค้นกระจัดกระจาย
กระเป๋านักเรียนของเราและของคนอื่นๆ ไม่ได้ถูกรื้อค้นไปด้วย
หลังจากนั้นอาจารย์ฝ่ายปกครองก็เรียกให้พวกเราเข้าห้องกลับมาได้ และบอกกล่าวขอบคุณในความร่วมมือ
หลังจากนั้นเราก็เข้าเรียนตามปกติ แต่เราสังเกตุเห็นว่าซิปของกระเป๋านักเรียนเรามีความผิดปกติ
เพราะมันรูดไม่สนิท ซึ่งเราเป็นคนที่จะปิดซิป ปิดกระเป๋าแบบเรียบร้อย เรียบสนิททุกช่อง
เราจึงเปิดซิปดูในกระเป๋าช่องนั้น มันมีหลอดพลาสติกอยู่ในนั้น
แต่ด้านในหลอดแข็งๆเหมือนมีอะไรใส่อยู่ และมีการซีนปิดปากหลอดด้วยไฟ
เราคิดว่าเพื่อนเรามันต้องแกล้งอะไรเราแน่ๆ แต่เราก็ไม่ได้พูดถามอะไรตอนคาบเรียน
เรารอจนถึงเวลาพักเที่ยง แล้วไปถามมันว่า มันแกล้งเอาอะไรมาใส่ในกระเป๋านักเรียนเรา
เพราะเราคิดว่า มันต้องแอบเอาใส่ตอนที่อาสาถือกระเป๋านักเรียนเราเอามาเก็บที่ห้องให้แน่ๆ
ซึ่งตอนนั้นเราก็คิดว่า มันต้องเป็นสิ่งที่อยู่ในหลอดนี้แน่ๆที่อาจารย์ฝ่ายปกครองมาค้นกระเป๋านักเรียนวันนี้
ซึ่งเราก็ถามพวกมันไปตรงๆ มันก็ยอมรับว่า ใช่!
ในหลอดนั้นมันมียาม้าอยู่ 10 เม็ด
พวกมันรู้ว่าจะถูกอาจารย์ฝ่ายปกครองค้นกระเป๋า เลยเอามาฝากไว้ในกระเป๋านักเรียนเรา
เราก็ด่ามันยกใหญ่ บอกว่าพวกมันชั่วกันจริงๆ เกือบพาเราซวยไปด้วย โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย
เราก็บอกว่า ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก ถ้าเราซวยไปด้วย เราคงนึกไม่ออกเลยว่าย่าเราจะเสียใจขนาดไหน
แต่ด้วยความที่เราอยากรู้อยากเห็น เราจึงถามพวกมันไปตรงๆว่า มันเป็นยาเสพติดจริงหรือเปล่า
เพราะเราก็ยังไม่เชื่อเต็มร้อย ว่าในหลอดนั้นมันคือยาเสพติด และเราไม่คิดว่าเพื่อนกลุ่มนี้ของเราจะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้
เราจึงถามซ้ำเพื่อความมั่นใจ พวกมันก็บอกว่า จริง มันคือยาเสพติดจริง ถ้าไม่เชื่อมันจะดูดให้ดู
แล้วมันก็เอาออกมาเม็ดนึง แล้วก็ดูดให้เราดูจริงๆ
ซึ่งวิธีการดูดก็จะเอากระดาษฟอยล์ที่ห่อบุหรี่มาตัดเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า
แล้วก็เอาเม็ดยาวางลงด้านในพับมุมทั้งสองข้างให้ชนกัน
แล้วก็ใช้ไฟแช็คจุดใต้ฟอยล์ แล้วก็ใช้หลอดดูด สูดควันเข้าปาก
เราเห็นแล้วเราก็ถามมันว่า ดูดแล้วมันดียังไง มันทำให้บ้าไม่ใช่เหรอ
รู้โทษมันอย่างนี้แล้วทำไมถึงยังใช้มันอีก เราไม่เข้าใจ
เพื่อนเราเลยอธิบายให้เราฟังว่า มันทำให้คนทำงานได้หนักขึ้น ทำแบบหามรุ่ง หามค่ำ โดนที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ส่วนพวกที่ดูดแล้วบ้า คือพวกที่ดูดเฉยๆ ไม่ทำการทำงาน เพราะดูดแล้วมันจะดีด อยู่เฉยๆไม่ได้
พอมันดีดก็ต้องหาอะไรทำ คือต้องทำงาน
เราก็ถามมันว่า แล้วเขาขายกันยังไง แล้วไปรับมาจากไหน ไม่กลัวถูกจับได้เหรอ
มันก็บอกเราว่า ตอนช่วงเวลานั้น ราคาเม็ดละ 500 บาท ตอนนั้นมันดูดให้เราดูไปเม็ดนึงแล้ว จะมาเอาเงินกับเรา 500 บาท
ส่วนแหล่งที่มา มันบอกไม่ได้ ว่ามันได้มาจากไหน แล้วบอกเราว่า พอแล้วไม่ต้องถามแล้ว เรารู้มากไปไม่ดีกับตัวเอง
เราก็ถามมันต่ออีกอย่างนึงว่า แล้วตอนนี้มันดูดไปเม็ดนึงแล้ว มันจะไม่บ้าเหรอ เพราะมันไม่ได้ทำงานนิ
มันก็บอกเราว่า เดี๋ยวเลิกเรียนไปมันก็ไปทำงานแล้ว มันไม่บ้าหรอก แล้วก็หัวเราะ
เราก็ถามอีก ว่ามันทำงานอะไรหลังเลิกเรียน มันก็บอกเราว่า เราไม่ต้องรู้หรอก แล้วก็ไล่เตะเราให้ออกไป
ซึ่งหลังจากนั้น เราก็มารู้ความจริงถึงสถานภาพครอบครัวของเพื่อนผู้ชายในกลุ่มนั้นของเรา
ว่าพวกเขาก็มีปัญหาเรื่องครอบครัว ไม่ได้ต่างจากเราเลย บางคนแย่กว่าเราด้วยซ้ำ
ภาพที่เราเห็นว่าพวกเขามาจากครอบครัวที่มีฐานะ มันไม่จริงเลย
พวกเขาได้เงินใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมาจากการทำเรื่องผิดกฎหมาย
แต่เราก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะสามารถพูดอะไรออก
ได้ แม้เราจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พวกเขาทำ
เราก็อยู่เฉยๆ ทำได้แค่ตักเตือนว่าให้ระมัดระวัง เพราะยังไง เราก็ยังต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันอยู่
กว่าจะเรียนจบกันไป ซึ่งพอคบกันนานไป มันทำให้เราเห็นอีกด้านของพวกเขา ที่เราไม่คิดว่ามันจะมีด้านนั้นเลย
เราเป็นผู้หญิงก็จริง แต่เราเป็นคนไม่ค่อยเรียบร้อย ชอบทำอะไรหยาบๆ ไม่ค่อยเหมือนผู้หญิงเท่าไหร่