สวัสดีค่ะ เรามีเรื่องทุกข์ใจ ตั้งใจจะตั้งกระทู้ทุกวัน จนกว่าจะได้คำตอบที่ชัดเจน
เราขอแยกกรมง่ายๆด้วยคำว่า กรมต้นสังกัด(กรมที่แฟนติดทหารตั้งแต่แรก) กับ โรงเรียนทหาร(กรมที่แฟนถูกส่งไปเรียน)
แฟนเราเป็นโรคซึมเศร้าเพราะไปทหารค่ะ เขาเป็นคนชอบทหารมาก ชอบจนไปสมัคร ผลคือติดทหาร 2 ปี
เดิมเขาเป็นคนอารมณ์ดี แต่ไม่ชอบสุสิงกับใคร อยู่กับครอบครัวเป็นหลัก คุยเล่นชวนกันไปเที่ยวตลอด จนเขาได้ไปทหารค่ะ..
2 เดือนแรกอาจมีซึมหรือเครียดไปบ้าง ทั้งเขาและเรา เนื่องจากทางกรมเก็บโทรศัพท์และเราไม่ได้ติดต่อกันเลย จนเขาได้ลากลับบ้าน
เดิมอยู่ที่กรมต้นสังกัด เขาจะมีรุ่นพี่อยู่ 1 คนที่สนิทกันและดูแลกันเหมือนพี่น้องที่รู้จักกันมานาน ลากลับมาครั้งแรก เราก็ไปเที่ยวกันสองครอบครัว
เรายังคงไปกิน ไปเที่ยว ไม่ว่าจะในจังหวัดหรือต่างจังหวัด เราใช้เวลา 10 วันในการลากลับบ้านของเขาคุ้มมากๆ
จนเขากลับกรมไปเกือบเดือนก็มีข่าวแจ้งมาว่า จะมีพลทหารบางส่วนที่จะถูกส่งไปเรียนโรงเรียนทหาร เป็นระยะเวลา 3 เดือน หนึ่งในนั้นก็มีเขาไปด้วย
เราไม่ได้สงสัยหรือมีคำถามอะไรในหัวเลย ว่าทำไมถึงต้องไปเรียน เพราะเราทราบแค่ว่าคนที่ถูกส่งไปเรียน มักจะได้ลากลับบ้านบ่อยๆ แล้วก็จริงค่ะ
เขาถูกส่งไปเรียนได้แค่ 1-2 อาทิตย์ก็ได้กลับบ้านเลย ก่อนกลับบ้านเขาบ่นกับเราว่ามีอาการปวดที่นิ้วเท้าข้างซ้าย เนื่องจากตอนเด็กเขาเคยโดนรถทับเท้า
ทำให้รู้สึกปวดนิ้วเท้าเวลาใส่รองเท้าฝึก เพราะรองเท้าจะความรัดตัวเพื่อความคล่องแคล่วในการเดิน หลังจากลากลับบ้านมาเราจึงซื้อยานวดและทำการรักษาแค่เบื้องต้นเท่านั้น ไม่ได้พาไปหาหมอเพราะเราไม่มีความรู้ว่าถ้าลากลับบ้านมาเขาต้องไปโรงพยาบาลที่ไหนที่รองรับสวัสดิการของทหาร
จึงเป็นเหตุผลที่เราไม่ได้พาเขาไปหาหมอ หลังจากเราอยู่ด้วยกันครบ 10 วันเขาก็กลับไปที่โรงเรียนทหารเพื่อทำการฝึกต่อ แต่ด้วยเพราะขาของเขา
ที่ยังคงมีอาการปวดอยู่ จึงไม่สามารถทำให้เขาฝึกต่อได้ ทหารครูฝึกที่โรงเรียนจึงได้ส่งตัวเขาไปที่โรงพยาบาลในสังกัด หลังจากตรวจจึงทราบว่านิ้วเท้าเขาอักเสบ และแพทย์ได้แจ้งให้งดฝึกไป 7 วัน หลังจากผ่านการฝึกได้ 1 อาทิตย์เขาก็ได้ลากลับบ้านอีกครั้งค่ะ เขาเริ่มมีอาการซึมและเงียบกับเราผิดปกติ
ทำให้เราเกิดข้อสงสัย เลยตัดสินใจถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น เขาตอบเราด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า "พี่ไม่อยากอยู่แล้ว พี่เสียใจ พี่ขอโทษที่ทิ้งให้หนูต้องอยู่คนเดียว" จากคำตอบเขาเลยทำให้เรายิ่งสงสัยมากขึ้นเลยตัดสินใจถามเขา ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงพูดแบบนี้ เราจึงได้คำตอบมาว่าตัวเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาที่นี่
แต่ถูกบังคับมาเนื่องจากไม่มีคนสมัครใจมาเรียน เขาถูกเตะหน้าอกและด่าต่อว่าจากผู้มีอำนาจในนั้น (ผู้ที่สามารถสั่งการพลทหารได้)
เขาจึงต้องยอมมาเรียนที่นี่ด้วยความที่ไม่สมัครใจ จากข้อความด้านบท เราจะเขียนไว้ว่า ตอนเขาอยู่กรมต้นสังกัด เขามีรุ่นพี่ที่สนิทอยู่คนเดียว
หลังจากเขาได้มาเรียนที่โรงเรียนทหาร เขาไม่มีเพื่อนสนิทหรือมีเพื่อนเพิ่มเลย เขาเลือกที่จะอยู่ตัวคนเดียว เขาให้เหตุผลว่าเขาไม่ไว้ใจใคร เขากลัวทุกคน
หลังจากกลับมาเขาเริ่มมีอาการเงียบซึม และไม่กล้าออกจากห้องเพื่อไปพบเจอใคร เราเองก็ทำงาน จึงไม่สามารถทำให้เราดูเขาได้ตลอดเวลา
เราจึงต้องฝากพ่อของเรา ดูแลเขาด้วยความใกล้ชิด ตกเย็นจึงได้มาทราบว่า เขาคิดมากเรื่องที่เคยถูกกระทำมา แล้วเขาเองจะต้องกลับไปกรมต้นสังกัด
ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เขาได้ทำการผูกคอตัวเองในห้องนอนของเราค่ะ แต่พ่อของเรามาพบก่อนเพราะที่ห้องของเราเสียงเงียบผิดปกติ
เพราะเขาเองนั้นโดยปกติจะชอบเปิดเพลงหรือเล่นเกมส์เพื่อรอเวลาเราเลิกงานในแต่ละวัน หลังจากวันนั้น เขาก็เริ่มพูดคำพูดด้านลบมากขึ้น
เริ่มมีวิธีการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป จากกินข้าวเก่งก็กลายเป็นไม่อยากอาหาร จากเป็นคนนอนเก่งก็กลายเป็นหลับๆตื่นๆและกังวลตลอดเวลา
เราจึงตัดสินใจบอกเขาว่าให้เขาลองปรึกษากับแพทย์ที่รักษาของเขา เพราะหลังจากเขากลับโรงเรียนทหารไป เขาจะมีนัดพบแพทย์เพื่อดูอาการอีกครั้ง
หลังจากเขาตัดสินใจปรึกษาและได้มีการพบแพทย์จิตเวช เขาก็ได้เล่าปัญหาชีวิตต่างๆที่เขาพบเจอให้แพทย์ฟัง แพทย์จึงวินิจฉัยว่าอาจจะเป็นเพราะความเครียด จึงให้ยามากินและรอติดตามอาการเป็นระยะ หลังจากพบแพทย์ครั้งที่สอง ก็พบว่าตัวเขาเองนั้นมีอาการแย่กว่าเดิม
แพทย์จึงเปลี่ยนตัวยาเป็นยารักษาเฉพาะผู้ป่วยโรคซึมเศร้าให้ ด้วยตัวยาชนิดนี้จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการง่วงซึมมากกว่าปกติ
หรือง่ายๆคือกินแล้วหลับนั่นเอง ตัวเขาเองก็ได้กินไปก่อนนอนทุกคืน แต่ปัญหาที่ตามมาคือ ทุกเช้า ตี 4-5 ในแต่ละวัน จะต้องมีการเรียกรวมเพื่อเช็ค
ประชากรในแต่ละวัน ทำให้เขาต้องตื่นไวทั้งที่ตัวยายังคงออกฤทธิ์อยู่ หลังจากเจอเหตุการณ์เดิมๆซ้ำๆทุกวัน ทำให้เขาเองนั้นมีกอาการเครียดมากกว่าเดิม
หลังจากผ่านไปเขาก็ได้ลากลับมาบ้านอีกครั้งค่ะ เป็นระยะเวลา 9 วัน ตัวเขาเองก็ยังเหมือนเดิม ร้องไห้ทุกคืน และเวลาที่เรามาทำงาน เขาเองก็ยังคงร้องไห้
อยู่คนเดียว เราเองก็สงสารเขาไม่รู้จะทำอย่างไร ทั้งตัวเราและครอบครัวของเขาเองก็กังวลใจไม่ใช่น้อย เพราะเขาพร้อมที่จะจบชีวิตตัวเองตลอดเวลา
วันที่ 4 เมษานี้เขาต้องกลับไปที่กรมต้นสังกัด วันที่ 5 เมษาถัดมาเขาต้องไปพบแพทย์พร้อมกับเราและแม่ของเขา
เพื่อคุยเรื่องทำเอกสารนำปลด แต่เราเองก็แจ้งทางกรมต้นสังกัดเขาไว้แล้ว เพื่อจะได้เตรียมพร้อมทั้งสองฝ่าย
แต่ก็ได้คำตอบกลับมาคือ ให้รักษาที่กรมตามอาการจนกว่าจะถึงเวลาปลด(2ปี) เรื่องนี้เรายังไม่ได้บอกกับตัวเขา เพราะกลัวจะคิดมากกว่าเดิม
ตอนนี้เขายังอยู่กับเราและพรุ่งนี้ วันที่ 1 เมษาเขาจะต้องกลับแล้ว เขาพูดลากับเราและครอบครัวของเขา พร้อมพูดซ้ำๆว่า ถ้าวันที่ 5 เขาไม่ได้กลับพร้อมเรา
เขาจะจบชีวิตข้างใน เขาไม่อยากถูกคนมองด้วยสายตาดูถูกหรือสงสัยว่าทำไมเขาถึงถูกแยกตัวออกมา และไม่อยากถูกกระทำด้วยความรุนแรงที่เขาเคยเจอ
เราอยากได้คำแนะนำ สำหรับผู้ที่เคยพบกับเหตุการณืนี้หรือผู้ที่สามารถแนะนำได้ว่าเราต้องทำอย่างไรให้เขาได้ออกมา
ทางครอบครัวพร้อมจะซัพพอร์ทและดูแลเขา และอยากให้เขากลับมาเป็นปกติ ดดยที่ไม่ต้องกลับไปพบความกดดันเหล่านั้นอีก รบกวนสอบถามผู้รู้ด้วยนะคะ
แฟนเป็นโรคซึมเศร้า เพราะ..
เราขอแยกกรมง่ายๆด้วยคำว่า กรมต้นสังกัด(กรมที่แฟนติดทหารตั้งแต่แรก) กับ โรงเรียนทหาร(กรมที่แฟนถูกส่งไปเรียน)
แฟนเราเป็นโรคซึมเศร้าเพราะไปทหารค่ะ เขาเป็นคนชอบทหารมาก ชอบจนไปสมัคร ผลคือติดทหาร 2 ปี
เดิมเขาเป็นคนอารมณ์ดี แต่ไม่ชอบสุสิงกับใคร อยู่กับครอบครัวเป็นหลัก คุยเล่นชวนกันไปเที่ยวตลอด จนเขาได้ไปทหารค่ะ..
2 เดือนแรกอาจมีซึมหรือเครียดไปบ้าง ทั้งเขาและเรา เนื่องจากทางกรมเก็บโทรศัพท์และเราไม่ได้ติดต่อกันเลย จนเขาได้ลากลับบ้าน
เดิมอยู่ที่กรมต้นสังกัด เขาจะมีรุ่นพี่อยู่ 1 คนที่สนิทกันและดูแลกันเหมือนพี่น้องที่รู้จักกันมานาน ลากลับมาครั้งแรก เราก็ไปเที่ยวกันสองครอบครัว
เรายังคงไปกิน ไปเที่ยว ไม่ว่าจะในจังหวัดหรือต่างจังหวัด เราใช้เวลา 10 วันในการลากลับบ้านของเขาคุ้มมากๆ
จนเขากลับกรมไปเกือบเดือนก็มีข่าวแจ้งมาว่า จะมีพลทหารบางส่วนที่จะถูกส่งไปเรียนโรงเรียนทหาร เป็นระยะเวลา 3 เดือน หนึ่งในนั้นก็มีเขาไปด้วย
เราไม่ได้สงสัยหรือมีคำถามอะไรในหัวเลย ว่าทำไมถึงต้องไปเรียน เพราะเราทราบแค่ว่าคนที่ถูกส่งไปเรียน มักจะได้ลากลับบ้านบ่อยๆ แล้วก็จริงค่ะ
เขาถูกส่งไปเรียนได้แค่ 1-2 อาทิตย์ก็ได้กลับบ้านเลย ก่อนกลับบ้านเขาบ่นกับเราว่ามีอาการปวดที่นิ้วเท้าข้างซ้าย เนื่องจากตอนเด็กเขาเคยโดนรถทับเท้า
ทำให้รู้สึกปวดนิ้วเท้าเวลาใส่รองเท้าฝึก เพราะรองเท้าจะความรัดตัวเพื่อความคล่องแคล่วในการเดิน หลังจากลากลับบ้านมาเราจึงซื้อยานวดและทำการรักษาแค่เบื้องต้นเท่านั้น ไม่ได้พาไปหาหมอเพราะเราไม่มีความรู้ว่าถ้าลากลับบ้านมาเขาต้องไปโรงพยาบาลที่ไหนที่รองรับสวัสดิการของทหาร
จึงเป็นเหตุผลที่เราไม่ได้พาเขาไปหาหมอ หลังจากเราอยู่ด้วยกันครบ 10 วันเขาก็กลับไปที่โรงเรียนทหารเพื่อทำการฝึกต่อ แต่ด้วยเพราะขาของเขา
ที่ยังคงมีอาการปวดอยู่ จึงไม่สามารถทำให้เขาฝึกต่อได้ ทหารครูฝึกที่โรงเรียนจึงได้ส่งตัวเขาไปที่โรงพยาบาลในสังกัด หลังจากตรวจจึงทราบว่านิ้วเท้าเขาอักเสบ และแพทย์ได้แจ้งให้งดฝึกไป 7 วัน หลังจากผ่านการฝึกได้ 1 อาทิตย์เขาก็ได้ลากลับบ้านอีกครั้งค่ะ เขาเริ่มมีอาการซึมและเงียบกับเราผิดปกติ
ทำให้เราเกิดข้อสงสัย เลยตัดสินใจถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น เขาตอบเราด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า "พี่ไม่อยากอยู่แล้ว พี่เสียใจ พี่ขอโทษที่ทิ้งให้หนูต้องอยู่คนเดียว" จากคำตอบเขาเลยทำให้เรายิ่งสงสัยมากขึ้นเลยตัดสินใจถามเขา ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงพูดแบบนี้ เราจึงได้คำตอบมาว่าตัวเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาที่นี่
แต่ถูกบังคับมาเนื่องจากไม่มีคนสมัครใจมาเรียน เขาถูกเตะหน้าอกและด่าต่อว่าจากผู้มีอำนาจในนั้น (ผู้ที่สามารถสั่งการพลทหารได้)
เขาจึงต้องยอมมาเรียนที่นี่ด้วยความที่ไม่สมัครใจ จากข้อความด้านบท เราจะเขียนไว้ว่า ตอนเขาอยู่กรมต้นสังกัด เขามีรุ่นพี่ที่สนิทอยู่คนเดียว
หลังจากเขาได้มาเรียนที่โรงเรียนทหาร เขาไม่มีเพื่อนสนิทหรือมีเพื่อนเพิ่มเลย เขาเลือกที่จะอยู่ตัวคนเดียว เขาให้เหตุผลว่าเขาไม่ไว้ใจใคร เขากลัวทุกคน
หลังจากกลับมาเขาเริ่มมีอาการเงียบซึม และไม่กล้าออกจากห้องเพื่อไปพบเจอใคร เราเองก็ทำงาน จึงไม่สามารถทำให้เราดูเขาได้ตลอดเวลา
เราจึงต้องฝากพ่อของเรา ดูแลเขาด้วยความใกล้ชิด ตกเย็นจึงได้มาทราบว่า เขาคิดมากเรื่องที่เคยถูกกระทำมา แล้วเขาเองจะต้องกลับไปกรมต้นสังกัด
ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เขาได้ทำการผูกคอตัวเองในห้องนอนของเราค่ะ แต่พ่อของเรามาพบก่อนเพราะที่ห้องของเราเสียงเงียบผิดปกติ
เพราะเขาเองนั้นโดยปกติจะชอบเปิดเพลงหรือเล่นเกมส์เพื่อรอเวลาเราเลิกงานในแต่ละวัน หลังจากวันนั้น เขาก็เริ่มพูดคำพูดด้านลบมากขึ้น
เริ่มมีวิธีการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป จากกินข้าวเก่งก็กลายเป็นไม่อยากอาหาร จากเป็นคนนอนเก่งก็กลายเป็นหลับๆตื่นๆและกังวลตลอดเวลา
เราจึงตัดสินใจบอกเขาว่าให้เขาลองปรึกษากับแพทย์ที่รักษาของเขา เพราะหลังจากเขากลับโรงเรียนทหารไป เขาจะมีนัดพบแพทย์เพื่อดูอาการอีกครั้ง
หลังจากเขาตัดสินใจปรึกษาและได้มีการพบแพทย์จิตเวช เขาก็ได้เล่าปัญหาชีวิตต่างๆที่เขาพบเจอให้แพทย์ฟัง แพทย์จึงวินิจฉัยว่าอาจจะเป็นเพราะความเครียด จึงให้ยามากินและรอติดตามอาการเป็นระยะ หลังจากพบแพทย์ครั้งที่สอง ก็พบว่าตัวเขาเองนั้นมีอาการแย่กว่าเดิม
แพทย์จึงเปลี่ยนตัวยาเป็นยารักษาเฉพาะผู้ป่วยโรคซึมเศร้าให้ ด้วยตัวยาชนิดนี้จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการง่วงซึมมากกว่าปกติ
หรือง่ายๆคือกินแล้วหลับนั่นเอง ตัวเขาเองก็ได้กินไปก่อนนอนทุกคืน แต่ปัญหาที่ตามมาคือ ทุกเช้า ตี 4-5 ในแต่ละวัน จะต้องมีการเรียกรวมเพื่อเช็ค
ประชากรในแต่ละวัน ทำให้เขาต้องตื่นไวทั้งที่ตัวยายังคงออกฤทธิ์อยู่ หลังจากเจอเหตุการณ์เดิมๆซ้ำๆทุกวัน ทำให้เขาเองนั้นมีกอาการเครียดมากกว่าเดิม
หลังจากผ่านไปเขาก็ได้ลากลับมาบ้านอีกครั้งค่ะ เป็นระยะเวลา 9 วัน ตัวเขาเองก็ยังเหมือนเดิม ร้องไห้ทุกคืน และเวลาที่เรามาทำงาน เขาเองก็ยังคงร้องไห้
อยู่คนเดียว เราเองก็สงสารเขาไม่รู้จะทำอย่างไร ทั้งตัวเราและครอบครัวของเขาเองก็กังวลใจไม่ใช่น้อย เพราะเขาพร้อมที่จะจบชีวิตตัวเองตลอดเวลา
วันที่ 4 เมษานี้เขาต้องกลับไปที่กรมต้นสังกัด วันที่ 5 เมษาถัดมาเขาต้องไปพบแพทย์พร้อมกับเราและแม่ของเขา
เพื่อคุยเรื่องทำเอกสารนำปลด แต่เราเองก็แจ้งทางกรมต้นสังกัดเขาไว้แล้ว เพื่อจะได้เตรียมพร้อมทั้งสองฝ่าย
แต่ก็ได้คำตอบกลับมาคือ ให้รักษาที่กรมตามอาการจนกว่าจะถึงเวลาปลด(2ปี) เรื่องนี้เรายังไม่ได้บอกกับตัวเขา เพราะกลัวจะคิดมากกว่าเดิม
ตอนนี้เขายังอยู่กับเราและพรุ่งนี้ วันที่ 1 เมษาเขาจะต้องกลับแล้ว เขาพูดลากับเราและครอบครัวของเขา พร้อมพูดซ้ำๆว่า ถ้าวันที่ 5 เขาไม่ได้กลับพร้อมเรา
เขาจะจบชีวิตข้างใน เขาไม่อยากถูกคนมองด้วยสายตาดูถูกหรือสงสัยว่าทำไมเขาถึงถูกแยกตัวออกมา และไม่อยากถูกกระทำด้วยความรุนแรงที่เขาเคยเจอ
เราอยากได้คำแนะนำ สำหรับผู้ที่เคยพบกับเหตุการณืนี้หรือผู้ที่สามารถแนะนำได้ว่าเราต้องทำอย่างไรให้เขาได้ออกมา
ทางครอบครัวพร้อมจะซัพพอร์ทและดูแลเขา และอยากให้เขากลับมาเป็นปกติ ดดยที่ไม่ต้องกลับไปพบความกดดันเหล่านั้นอีก รบกวนสอบถามผู้รู้ด้วยนะคะ