‘สรยุทธ’ ก็ไม่รอด แฮกเกอร์ ส่งSMSข้อมูลหลุด มาหมดเลขบัตร-ที่อยู่-เบอร์โทรฯ
https://www.matichon.co.th/social/news_3902501
‘สรยุทธ’ ก็ไม่รอด แฮกเกอร์ ส่งSMSข้อมูลหลุด มาหมดเลขบัตร-ที่อยู่-เบอร์โทรฯ
สรยุทธ- ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กำลังกลายเป็นประเด็นร้อน ในโลกออนไลน์ เมื่อคนดังในหลายแวดวง ได้ออก มาระบุว่า ได้รับ SMS ที่ระบุว่ามาจากลุ่ม แฮกเกอร์ ที่ได้ส่งข้อมูลส่วนตัวของเรา ทั้งเลขบัตรประชาชน และเบอร์โทรศัพท์ ส่งมาให้ พร้อมกับแนบลิงค์ หน้าเว็บไชต์
และล่าสุด คือ นาย
สรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง ได้โพสต์ผ่าน
สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว เป็นภาพหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่เชื่อได้ว่าเป็นข้อความสั้น (SMS/เอสเอ็มเอส) ที่ส่งมาจากกลุ่มแฮกเกอร์ 9Near (ไนน์เนียร์) โดยระบุว่า
“เฮ่ย! ข้อมูลหลุดจริงๆ มีครบ ทั้ง เลขบัตรประชาชน 13 หลัก, วันเดือนปีเกิด, ที่อยู่, เบอร์มือถือ”
สำหรับข้อมูลดังกล่าวนั้น แฟนเพจเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า ExploitWareLabs ได้ออกมาโพสต์ภาพจากหน้ากระทู้ ที่มีคนลงขายข้อมูลหลุดชุดใหญ่ ซึ่งเป็นแฮกเกอร์รายหนึ่ง ที่ใช้นามแฝงว่า “
9Near” โดยแฮกเกอร์รายนี้ ได้โพสต์ประกาศขายข้อมูลในเว็บ BreachForum ซึ่งเป็นเว็บบอร์ดที่ใช้สำหรับซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลที่หลุดออกมาจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนในหลายประเทศ
โดยระบุรายละเอียดว่า มี 55 ล้านข้อมูลรายชื่อคนไทย มีรายละเอียดทั้งชื่อ นามสกุล ที่อยู่ วันเกิด เลขประจำตัวประชาชน เบอร์โทรศัพท์ ที่เป็นเบอร์ที่ใช้งานจริง ไม่ใช่เบอร์โทรฯ ที่ลงทะเบียนไว้กับหน่วยงานรัฐ จนหลายคนเกิดความกังวล
ทั้งนี้ทางกระทรวงสาธารณสุข ได้ปฏิเสธว่าข้อมูลคนไทย 55 ล้านคนไม่ได้หลุดมาจากบริการให้วัคซีนโรคโควิด-19 “หมอพร้อม” เพราะบริการดังกล่าวมีข้อมูลคนไทยเพียง 33 ล้านคน
'ณัฐชา' ก้าวไกล แฉ พรรคการเมืองเก่า เล่นเกมปล่อยเฟกนิวส์ระบาดไลน์
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7587695
‘ณัฐชา’ ก้าวไกล แฉ พรรคการเมืองเก่า เล่นเกมปล่อยเฟกนิวส์ระบาดไลน์ จี้ กกต. หามาตรการ กำกับ-ดูแล วิธีการหาเสียงชกใต้เข็มขัดแบบนี้
วันที่ 30 มี.ค.2566 นาย
ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ อดีต ส.ส.กรุงเทพฯ เขตบางขุนเทียน พรรคก้าวไกล กล่าวว่า เมื่อปี่กลองการเลือกตั้งดังขึ้น สิ่งที่ตามมาคือสารพัดวิชามาร ปล่อยข่าวลวงหรือข่าวเท็จป้ายสีกัน เป็นวิธีของการเมืองแบบเก่า ที่เมื่อสู้ด้วยไอเดีย สู้ด้วยนโยบายไม่ได้ก็ใช้ความกลัวจากการโกหกประชาชนสู้แทน
นาย
ณัฐชา กล่าว่า ขณะนี้ในไลน์เกลื่อนมาก โดยเฉพาะพรรคการเมืองเก่า ที่เล่นการเมืองแบบเก่าๆ จะเป็นต้นทาง สั่งให้หัวคะแนนพรรคตัวเอง สร้างเฟกนิวส์ส่งเข้าไลน์กลุ่มหมู่บ้าน กลุ่มโรงเรียน กลุ่มชุมชนโจมตีพรรคก้าวไกลแบบถี่ๆด้วยเนื้อหาที่บิดเบือน
เช่นบอกว่า ถ้าเลือกพิธาเป็นนายกฯ จะยกเลิกบำนาญข้าราชการ ลูกหลานจะลำบาก เป็นการโกหกมดเท็จที่ไม่มีความจริงแม้แต่นิดเดียว ผมขอยืนยันเป็นครั้งที่ร้อยว่า พรรคก้าวไกลไม่มีและไม่เคยมีนโยบายยกเลิกบำนาญข้าราชการ
นาย
ณัฐชากล่าวว่า การใช้วิธีการแบบนี้ถือว่าสกปรกมาก ไม่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนและพัฒนาการการเมืองในระยะยาว การหาเสียงด้วยเนื้อหาที่รุนแรงหรือกล่าวหากันหนักๆบ้างในช่วงหาเสียงเป็นเรื่องปกติ แต่ควรอยู่บนข้อเท็จจริง ที่สำคัญคือควรเป็นพื้นที่ที่ทุกฝ่ายสามารถแลกเปลี่ยนตอบโต้กันได้
“
ไม่ใช่ไปทำกันลับๆล่อๆ เน้นเล่นเกมใต้ดินมากกว่าแข่งกันแฟร์ๆ ยิ่งเป็นพรรคการเมืองเก่า ควรมีศักดิ์ศรีในตัวเองบ้าง พฤติกรรมน่าละอาย สู้ไม่ได้ก็ปั้นน้ำเป็นตัว ควรเลิกเสีย” นาย
ณัฐชากล่าว
นาย
ณัฐชา กล่าวทิ้งท้ายว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ควรหามาตรการมากำกับดูแลวิธีการหาเสียงแบบชกใต้เข็มขัดแบบนี้ด้วย แม้ท่านอาจจะไม่ถนัดเรื่องการสื่อสารสมัยใหม่ แต่ก็เป็นหน้าที่โดยตรงที่จะดำเนินการจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยโปร่งใส บริสุทธิ์ และยุติธรรม
จีน แผ่อิทธิพลด้วยกับดักหนี้ 13 ปี ปล่อยกู้กว่า 8 ล้านล้านบาท ผ่าน BRI เส้นทางสายไหม
https://www.thairath.co.th/business/feature/2668028
ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จีนปล่อยกู้เงินจำนวนมหาศาลแก่รัฐบาลทั่วเอเชีย แอฟริกา และยุโรป ขยายอิทธิพลไปทั่วโลกผ่านโครงการขนาดใหญ่ด้านโครงสร้างพื้นฐาน จนก้าวสู่ตำแหน่งเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก ข้อมูลล่าสุด ระบุว่า ภายในระยะเวลา 13 ปี จีนทุ่มเงินไปแล้วถึง 2.4 แสนล้านดอลลาร์ หรือราว 8.22 ล้านล้านบาท เพื่อสนับสนุนเงินกู้สำหรับโครงการ Belt-Road Initiative ช่วยเหลือ 128 รายใน 22 ประเทศตั้งแต่ปี 2551-2564 เบื้องหลังการทุ่มเงินมหาศาลตลอดช่วงที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
ย้อนดูโครงการ Belt and Road Initiative
โครงการจีนเชื่อมโลกหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative: BRI) ที่ประกาศครั้งแรกในปี 2556 ภายใต้การนำของรัฐบาลสี จิ้นผิง ที่มีเป้าหมายฟื้นเส้นทางสายไหมเดิมสู่ “
เส้นทางสายไหมใหม่” ทางบก (One Belt) และทางทะเล (One Road) เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจของทวีปเอเชีย ยุโรป และแอฟริกาเข้าด้วยกัน เส้นทางดังกล่าวจะครอบคลุม 65 ประเทศ ใน 6 ภูมิภาค ได้แก่ เอเชียตะวันออก, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, เอเชียกลาง, ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ, เอเชียใต้ และยุโรป
สำหรับ BRI ถือเป็นโครงการที่ก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกที่มีขนาดใหญ่ที่สุด โดยมีจีน เป็นผู้อำนวยความสะดวกด้วยการเสนอเงินกู้มหาศาลแก่ประเทศที่เข้าร่วมในตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เกิดโครงการใหม่จำนวนมากในบรรดาประเทศกำลังพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการปักเสาเข็มยกระดับเส้นทางสัญจร ปูทางหลวง สร้างท่าเรือ จัดหาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและโทรคมนาคม กว่าทศวรรษโครงการนี้มีประเทศที่ลงนามแล้วกว่า 139 ประเทศ ซึ่งคิดเป็น 40% ของ GDP โลก
ความกังวลของประเทศตะวันตกที่มีต่อจีน นอกจากปัจจัยภายในทางการเมือง การทุจริต ภัยพิบัติ ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม การละเมิดแรงงาน ยังมีประเด็นหนี้ส่วนเกินและอิทธิพลของจีน ซึ่งได้ยกให้ Belt and Road เป็น “กับดักหนี้” ที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมโครงสร้างพื้นฐานในท้องถิ่น ทำให้บางโครงการหยุดชะงักและบางโครงการได้รับเงินไม่เต็มจำนวน
อย่างไรก็ตาม แม้การให้สินเชื่อระหว่างประเทศเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสำหรับจีน เพราะจีนในฐานะผู้กู้เองก็เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจโลกและปัจจัยภายในประเทศ โดยเฉพาะยอดหนี้โดยตรงของรัฐบาลท้องถิ่นจีนที่สูงกว่า 120% ของรายได้ในปี 2565 แต่ยังมีข้อมูลที่ชี้ให้เห็นว่า จีนกำลังสร้างช่องทางธนาคารและระบบการเงินของตนเองไปพร้อมๆ กันด้วย
ข้อตกลงเงินกู้จีน พบดอกเบี้ยสูงกว่า IMF เน้นช่วยเหลือประเทศรายได้ปานกลาง
World Bank ร่วมกับสถาบันศึกษา Harvard Kennedy School สถาบัน Kiel Institute for the World Economy และบริษัทวิจัยด้านข้อมูลสหรัฐฯ AidData ได้เผยแพร่ข้อมูลที่ระบุว่า ในปี 2565 สินเชื่อที่จีนปล่อยกู้ของพอร์ตสินเชื่อในต่างประเทศ เพิ่มขึ้นถึง 60% จากปี 2553 ที่มีอยู่เพียง 3%
คาร์เมน ไรน์ฮาร์ต อดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ World Bank หนึ่งในทีมวิจัย ระบุว่า การให้กู้ยืมของจีนมุ่งเป้าไปที่ประเทศที่มีหนี้จีนอยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว ประเทศส่วนใหญ่ที่ได้รับเงินจากระบบ Swap Line ล้วนเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการเกินวิกฤติทางการเงินและคาดจะทวีความรุนแรงขึ้นอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่นักวิจัยอื่นๆ แสดงความกังวลเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยของเงินกู้เพื่อการช่วยเหลือของจีนอยู่ที่ 5% สูงกว่าเงินกู้เพื่อการช่วยเหลือทั่วไปจาก IMF ที่อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยอยู่ที่ 2%
เงินกู้ยืมทั้งหมด 2.4 แสนล้านดอลลาร์นั้น มีที่มาจากระบบเครือข่าย Swap line ของธนาคารกลางจีนที่ได้ทำข้อตกลงระหว่างการแลกเปลี่ยนสกุลเงินหยวนกับธนาคารกลางในประเทศนั้นๆ จำนวน 170,000 ล้านดอลลาร์ และอีก 70,000 ล้านดอลลาร์ มีที่มาจากการให้กู้โดยธนาคารและรัฐวิสาหกิจของจีน รวมถึงบริษัทน้ำมันและก๊าซจีน
โดยเงินกู้ส่วนใหญ่จะขยายไปยังประเทศที่มีรายได้ปานกลางซึ่งมีสัดส่วนถึง 4 ใน 5 ของสินเชื่อทั้งหมด ซึ่งถือว่ามีความสำคัญต่อภาคการธนาคารของจีนมากกว่า ในขณะที่ประเทศที่มีรายได้ต่ำจะได้รับเงินเพียงเล็กน้อยหรือไม่ได้เลย และได้รับข้อเสนอให้ปรับโครงสร้างหนี้
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ประเทศลูกหนี้ทั้งหลายมีแนวโน้มที่จะได้รับการเสนอปรับโครงสร้างหนี้จากจีน และถูกหลายฝ่ายวิจารณ์และเรียกร้องให้ World Bank และ IMF เข้ามามีส่วนร่วมเสนอมาตรการบรรเทาหนี้บรรดาประเทศลูกหนี้ของจีนอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลใหม่ที่แสดงให้เห็นว่าจีนให้เงินกู้ฉุกเฉินแก่ประเทศต่างๆ มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศที่มีความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ หรือครอบครองทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก
เมื่อเทียบกันแล้ว IMF ให้กู้ยืมเงินจำนวน 6.86 หมื่นล้านดอลลาร์แก่ประเทศต่างๆ ที่ประสบปัญหาทางการเงินในปี 2564 ซึ่งเป็นอัตราที่ค่อนข้างคงที่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยกเว้นการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในปี 2563 ในช่วงเริ่มต้นของการระบาดใหญ่
และในหลายๆ ทาง จีนได้เข้ามาแทนที่สหรัฐฯ ในประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลาง ความเคลื่อนไหวทางการเงินดังกล่าวทำให้ประเทศต่างๆ ใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น
อย่างไรก็ตามจะเห็นว่า การกระทำของจีน มีความคล้ายคลึงกันทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนกับตอนที่สหรัฐฯ เริ่มผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางการเงินของโลกและจัดวางให้ IMF เคยเป็นที่พึ่งสุดท้ายของโลกมานานหลายทศวรรษ นอกจากการประสานความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแล้ว การเข้าสู่ระบบปล่อยกู้เพื่อช่วยเหลือข้ามพรมแดนยังสะท้อนให้เห็นว่า จีนหวังชิงสถานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ และตั้งใจก้าวเข้ามามีบทบาทในระบบการเงินการธนาคารโลกมากยิ่งขึ้นในอนาคต
อ้างอิง
nytimes ,
reuters ,
cnn
JJNY : ‘สรยุทธ’ ก็ไม่รอด แฮกเกอร์│'ณัฐชา'ก้าวไกล แฉพรรคเก่า│จีนแผ่อิทธิพลด้วยกับดักหนี้│ชายรัสเซียถูกจับ เพราะลูกวาดภาพ
https://www.matichon.co.th/social/news_3902501
‘สรยุทธ’ ก็ไม่รอด แฮกเกอร์ ส่งSMSข้อมูลหลุด มาหมดเลขบัตร-ที่อยู่-เบอร์โทรฯ
สรยุทธ- ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กำลังกลายเป็นประเด็นร้อน ในโลกออนไลน์ เมื่อคนดังในหลายแวดวง ได้ออก มาระบุว่า ได้รับ SMS ที่ระบุว่ามาจากลุ่ม แฮกเกอร์ ที่ได้ส่งข้อมูลส่วนตัวของเรา ทั้งเลขบัตรประชาชน และเบอร์โทรศัพท์ ส่งมาให้ พร้อมกับแนบลิงค์ หน้าเว็บไชต์
และล่าสุด คือ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง ได้โพสต์ผ่าน สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว เป็นภาพหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่เชื่อได้ว่าเป็นข้อความสั้น (SMS/เอสเอ็มเอส) ที่ส่งมาจากกลุ่มแฮกเกอร์ 9Near (ไนน์เนียร์) โดยระบุว่า “เฮ่ย! ข้อมูลหลุดจริงๆ มีครบ ทั้ง เลขบัตรประชาชน 13 หลัก, วันเดือนปีเกิด, ที่อยู่, เบอร์มือถือ”
สำหรับข้อมูลดังกล่าวนั้น แฟนเพจเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า ExploitWareLabs ได้ออกมาโพสต์ภาพจากหน้ากระทู้ ที่มีคนลงขายข้อมูลหลุดชุดใหญ่ ซึ่งเป็นแฮกเกอร์รายหนึ่ง ที่ใช้นามแฝงว่า “9Near” โดยแฮกเกอร์รายนี้ ได้โพสต์ประกาศขายข้อมูลในเว็บ BreachForum ซึ่งเป็นเว็บบอร์ดที่ใช้สำหรับซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลที่หลุดออกมาจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนในหลายประเทศ
โดยระบุรายละเอียดว่า มี 55 ล้านข้อมูลรายชื่อคนไทย มีรายละเอียดทั้งชื่อ นามสกุล ที่อยู่ วันเกิด เลขประจำตัวประชาชน เบอร์โทรศัพท์ ที่เป็นเบอร์ที่ใช้งานจริง ไม่ใช่เบอร์โทรฯ ที่ลงทะเบียนไว้กับหน่วยงานรัฐ จนหลายคนเกิดความกังวล
ทั้งนี้ทางกระทรวงสาธารณสุข ได้ปฏิเสธว่าข้อมูลคนไทย 55 ล้านคนไม่ได้หลุดมาจากบริการให้วัคซีนโรคโควิด-19 “หมอพร้อม” เพราะบริการดังกล่าวมีข้อมูลคนไทยเพียง 33 ล้านคน
'ณัฐชา' ก้าวไกล แฉ พรรคการเมืองเก่า เล่นเกมปล่อยเฟกนิวส์ระบาดไลน์
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7587695
‘ณัฐชา’ ก้าวไกล แฉ พรรคการเมืองเก่า เล่นเกมปล่อยเฟกนิวส์ระบาดไลน์ จี้ กกต. หามาตรการ กำกับ-ดูแล วิธีการหาเสียงชกใต้เข็มขัดแบบนี้
วันที่ 30 มี.ค.2566 นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ อดีต ส.ส.กรุงเทพฯ เขตบางขุนเทียน พรรคก้าวไกล กล่าวว่า เมื่อปี่กลองการเลือกตั้งดังขึ้น สิ่งที่ตามมาคือสารพัดวิชามาร ปล่อยข่าวลวงหรือข่าวเท็จป้ายสีกัน เป็นวิธีของการเมืองแบบเก่า ที่เมื่อสู้ด้วยไอเดีย สู้ด้วยนโยบายไม่ได้ก็ใช้ความกลัวจากการโกหกประชาชนสู้แทน
นายณัฐชา กล่าว่า ขณะนี้ในไลน์เกลื่อนมาก โดยเฉพาะพรรคการเมืองเก่า ที่เล่นการเมืองแบบเก่าๆ จะเป็นต้นทาง สั่งให้หัวคะแนนพรรคตัวเอง สร้างเฟกนิวส์ส่งเข้าไลน์กลุ่มหมู่บ้าน กลุ่มโรงเรียน กลุ่มชุมชนโจมตีพรรคก้าวไกลแบบถี่ๆด้วยเนื้อหาที่บิดเบือน
เช่นบอกว่า ถ้าเลือกพิธาเป็นนายกฯ จะยกเลิกบำนาญข้าราชการ ลูกหลานจะลำบาก เป็นการโกหกมดเท็จที่ไม่มีความจริงแม้แต่นิดเดียว ผมขอยืนยันเป็นครั้งที่ร้อยว่า พรรคก้าวไกลไม่มีและไม่เคยมีนโยบายยกเลิกบำนาญข้าราชการ
นายณัฐชากล่าวว่า การใช้วิธีการแบบนี้ถือว่าสกปรกมาก ไม่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนและพัฒนาการการเมืองในระยะยาว การหาเสียงด้วยเนื้อหาที่รุนแรงหรือกล่าวหากันหนักๆบ้างในช่วงหาเสียงเป็นเรื่องปกติ แต่ควรอยู่บนข้อเท็จจริง ที่สำคัญคือควรเป็นพื้นที่ที่ทุกฝ่ายสามารถแลกเปลี่ยนตอบโต้กันได้
“ไม่ใช่ไปทำกันลับๆล่อๆ เน้นเล่นเกมใต้ดินมากกว่าแข่งกันแฟร์ๆ ยิ่งเป็นพรรคการเมืองเก่า ควรมีศักดิ์ศรีในตัวเองบ้าง พฤติกรรมน่าละอาย สู้ไม่ได้ก็ปั้นน้ำเป็นตัว ควรเลิกเสีย” นายณัฐชากล่าว
นายณัฐชา กล่าวทิ้งท้ายว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ควรหามาตรการมากำกับดูแลวิธีการหาเสียงแบบชกใต้เข็มขัดแบบนี้ด้วย แม้ท่านอาจจะไม่ถนัดเรื่องการสื่อสารสมัยใหม่ แต่ก็เป็นหน้าที่โดยตรงที่จะดำเนินการจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยโปร่งใส บริสุทธิ์ และยุติธรรม
จีน แผ่อิทธิพลด้วยกับดักหนี้ 13 ปี ปล่อยกู้กว่า 8 ล้านล้านบาท ผ่าน BRI เส้นทางสายไหม
https://www.thairath.co.th/business/feature/2668028
ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จีนปล่อยกู้เงินจำนวนมหาศาลแก่รัฐบาลทั่วเอเชีย แอฟริกา และยุโรป ขยายอิทธิพลไปทั่วโลกผ่านโครงการขนาดใหญ่ด้านโครงสร้างพื้นฐาน จนก้าวสู่ตำแหน่งเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก ข้อมูลล่าสุด ระบุว่า ภายในระยะเวลา 13 ปี จีนทุ่มเงินไปแล้วถึง 2.4 แสนล้านดอลลาร์ หรือราว 8.22 ล้านล้านบาท เพื่อสนับสนุนเงินกู้สำหรับโครงการ Belt-Road Initiative ช่วยเหลือ 128 รายใน 22 ประเทศตั้งแต่ปี 2551-2564 เบื้องหลังการทุ่มเงินมหาศาลตลอดช่วงที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
ย้อนดูโครงการ Belt and Road Initiative
โครงการจีนเชื่อมโลกหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative: BRI) ที่ประกาศครั้งแรกในปี 2556 ภายใต้การนำของรัฐบาลสี จิ้นผิง ที่มีเป้าหมายฟื้นเส้นทางสายไหมเดิมสู่ “เส้นทางสายไหมใหม่” ทางบก (One Belt) และทางทะเล (One Road) เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจของทวีปเอเชีย ยุโรป และแอฟริกาเข้าด้วยกัน เส้นทางดังกล่าวจะครอบคลุม 65 ประเทศ ใน 6 ภูมิภาค ได้แก่ เอเชียตะวันออก, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, เอเชียกลาง, ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ, เอเชียใต้ และยุโรป
สำหรับ BRI ถือเป็นโครงการที่ก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกที่มีขนาดใหญ่ที่สุด โดยมีจีน เป็นผู้อำนวยความสะดวกด้วยการเสนอเงินกู้มหาศาลแก่ประเทศที่เข้าร่วมในตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เกิดโครงการใหม่จำนวนมากในบรรดาประเทศกำลังพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการปักเสาเข็มยกระดับเส้นทางสัญจร ปูทางหลวง สร้างท่าเรือ จัดหาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและโทรคมนาคม กว่าทศวรรษโครงการนี้มีประเทศที่ลงนามแล้วกว่า 139 ประเทศ ซึ่งคิดเป็น 40% ของ GDP โลก
ความกังวลของประเทศตะวันตกที่มีต่อจีน นอกจากปัจจัยภายในทางการเมือง การทุจริต ภัยพิบัติ ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม การละเมิดแรงงาน ยังมีประเด็นหนี้ส่วนเกินและอิทธิพลของจีน ซึ่งได้ยกให้ Belt and Road เป็น “กับดักหนี้” ที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมโครงสร้างพื้นฐานในท้องถิ่น ทำให้บางโครงการหยุดชะงักและบางโครงการได้รับเงินไม่เต็มจำนวน
อย่างไรก็ตาม แม้การให้สินเชื่อระหว่างประเทศเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสำหรับจีน เพราะจีนในฐานะผู้กู้เองก็เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจโลกและปัจจัยภายในประเทศ โดยเฉพาะยอดหนี้โดยตรงของรัฐบาลท้องถิ่นจีนที่สูงกว่า 120% ของรายได้ในปี 2565 แต่ยังมีข้อมูลที่ชี้ให้เห็นว่า จีนกำลังสร้างช่องทางธนาคารและระบบการเงินของตนเองไปพร้อมๆ กันด้วย
ข้อตกลงเงินกู้จีน พบดอกเบี้ยสูงกว่า IMF เน้นช่วยเหลือประเทศรายได้ปานกลาง
World Bank ร่วมกับสถาบันศึกษา Harvard Kennedy School สถาบัน Kiel Institute for the World Economy และบริษัทวิจัยด้านข้อมูลสหรัฐฯ AidData ได้เผยแพร่ข้อมูลที่ระบุว่า ในปี 2565 สินเชื่อที่จีนปล่อยกู้ของพอร์ตสินเชื่อในต่างประเทศ เพิ่มขึ้นถึง 60% จากปี 2553 ที่มีอยู่เพียง 3%
คาร์เมน ไรน์ฮาร์ต อดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ World Bank หนึ่งในทีมวิจัย ระบุว่า การให้กู้ยืมของจีนมุ่งเป้าไปที่ประเทศที่มีหนี้จีนอยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว ประเทศส่วนใหญ่ที่ได้รับเงินจากระบบ Swap Line ล้วนเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการเกินวิกฤติทางการเงินและคาดจะทวีความรุนแรงขึ้นอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่นักวิจัยอื่นๆ แสดงความกังวลเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยของเงินกู้เพื่อการช่วยเหลือของจีนอยู่ที่ 5% สูงกว่าเงินกู้เพื่อการช่วยเหลือทั่วไปจาก IMF ที่อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยอยู่ที่ 2%
เงินกู้ยืมทั้งหมด 2.4 แสนล้านดอลลาร์นั้น มีที่มาจากระบบเครือข่าย Swap line ของธนาคารกลางจีนที่ได้ทำข้อตกลงระหว่างการแลกเปลี่ยนสกุลเงินหยวนกับธนาคารกลางในประเทศนั้นๆ จำนวน 170,000 ล้านดอลลาร์ และอีก 70,000 ล้านดอลลาร์ มีที่มาจากการให้กู้โดยธนาคารและรัฐวิสาหกิจของจีน รวมถึงบริษัทน้ำมันและก๊าซจีน
โดยเงินกู้ส่วนใหญ่จะขยายไปยังประเทศที่มีรายได้ปานกลางซึ่งมีสัดส่วนถึง 4 ใน 5 ของสินเชื่อทั้งหมด ซึ่งถือว่ามีความสำคัญต่อภาคการธนาคารของจีนมากกว่า ในขณะที่ประเทศที่มีรายได้ต่ำจะได้รับเงินเพียงเล็กน้อยหรือไม่ได้เลย และได้รับข้อเสนอให้ปรับโครงสร้างหนี้
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ประเทศลูกหนี้ทั้งหลายมีแนวโน้มที่จะได้รับการเสนอปรับโครงสร้างหนี้จากจีน และถูกหลายฝ่ายวิจารณ์และเรียกร้องให้ World Bank และ IMF เข้ามามีส่วนร่วมเสนอมาตรการบรรเทาหนี้บรรดาประเทศลูกหนี้ของจีนอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลใหม่ที่แสดงให้เห็นว่าจีนให้เงินกู้ฉุกเฉินแก่ประเทศต่างๆ มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศที่มีความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ หรือครอบครองทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก
เมื่อเทียบกันแล้ว IMF ให้กู้ยืมเงินจำนวน 6.86 หมื่นล้านดอลลาร์แก่ประเทศต่างๆ ที่ประสบปัญหาทางการเงินในปี 2564 ซึ่งเป็นอัตราที่ค่อนข้างคงที่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยกเว้นการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในปี 2563 ในช่วงเริ่มต้นของการระบาดใหญ่
และในหลายๆ ทาง จีนได้เข้ามาแทนที่สหรัฐฯ ในประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลาง ความเคลื่อนไหวทางการเงินดังกล่าวทำให้ประเทศต่างๆ ใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น
อย่างไรก็ตามจะเห็นว่า การกระทำของจีน มีความคล้ายคลึงกันทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนกับตอนที่สหรัฐฯ เริ่มผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางการเงินของโลกและจัดวางให้ IMF เคยเป็นที่พึ่งสุดท้ายของโลกมานานหลายทศวรรษ นอกจากการประสานความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแล้ว การเข้าสู่ระบบปล่อยกู้เพื่อช่วยเหลือข้ามพรมแดนยังสะท้อนให้เห็นว่า จีนหวังชิงสถานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ และตั้งใจก้าวเข้ามามีบทบาทในระบบการเงินการธนาคารโลกมากยิ่งขึ้นในอนาคต
อ้างอิง nytimes , reuters , cnn