สิ่งที่น่าสนใจกลับเล่าไปในส่วนที่เป็นเรื่องสั้นที่มีความยาวแค่ 15 นาทีแทบจะหมดแล้ว ถึงอย่างไรก็ตามหนังยังสามารถเล่นกับการตัดสินใจของคนให้ชวนสับสน น่าเห็นใจ และ กระอักกระอ่วนได้ดีอยู่ ขณะเดียวกันก็เกิดคำถามขึ้นในหัวว่า ถ้าเกิดเป็นเราขึ้นมา เราจะตัดสินใจอย่างไรในเมื่อคนที่ถูกลักพาตัวดันเป็นคนที่ชอบรังแกทำร้ายเราเป็นประจำแต่พอขยายภาพมาเป็นหนังเต็มตัว แน่นอน สเกลใหญ่ขึ้น งบเพิ่มขึ้น ทีมงานมากขึ้น Story ก็ขยายขึ้นตามด้วย แต่อย่างไรก็ไม่ได้ลดทอนความอยากดูลงไปแม้แต่น้อย เมื่อ Carlota Pereda ผู้กำกับสาวชาวสเปนที่เคยฝากงานกำกับมาแล้ว จาก The Devil’s Tail (2021) ต้องการขยายความต่อจากหนังสั้นของเธอเองก็คือ Cerdita (2018) ให้มีคำอธิบายมากขึ้นแถมยังใช้นางเอกคนเดิมอย่าง Laura Galan จาก The Man Who Killed Don Quixote (2018) มารับบท Sara เด็กสาวร่างอ้วนกันต่อโดยมีเรื่องย่อว่า เด็กสาวร่างอ้วนที่ถูกเพื่อนที่โรงเรียนรังแกเป็นประจำ มาวันหนึ่งขณะที่เธอลงเล่นน้ำในสระแห่งหนึ่ง กลุ่มเพื่อนสาวที่โรงเรียนมาหาเรื่องเธอโดยการขโมยของเธอไป จึงทำให้เธอเดินร้องไห้กลับบ้านโดยมีแค่ชุดบิกินี่เพียงอย่างเดียว ระหว่างทางเธอก็พบว่ามีรถตู้เก่า ๆ ขับผ่านหน้าแล้วข้างในกลับมีกลุ่มเพื่อนที่ชอบรังแกเธอกำลังถูกฆาตกรโรคจิตจับตัวไป เธอต้องตัดสินใจเลือกระหว่างความแค้น และ ความถูกต้อง
แต่ดูเหมือนว่าช่วงกลางเรื่องจะแผ่วลงไปบ้างแถมวนอ่างย่ำอยู่กับที่แต่ครอบครัวนางเอกซะมากจนไปบดบังส่วนอื่นที่ควรจะโฟกัสมากกว่า เช่น หลังจากถูกลักพาตัว 3 สาวบูลลี่ ประกอบด้วย Claudia รับบทโดย Irene Ferreiro จาก Skam Espana Series (2018-2020) , Roci รับบทโดย Camille Aguilar จาก Heaven Will Wait (2016) และ Maca รับบทโดย Claudia Salas จาก Elite Series (2019-2022) จะเป็นยังไงต่ออย่างนี้ ซึ่งผมอยากรู้ตรงนี้มากกว่า ยังดีที่หนังให้พื้นที่แก่ตัวฆาตกรได้ปล่อยของกับเขาบ้างเล็กน้อย แม้จะมีฉากฆ่าเหยื่อไม่มากเท่าไหร่ พอโผล่เป็นกับแกล้ม แต่ทุก Scene ที่เขาปรากฎรู้สึกดีต่อใจขึ้นมาจริง ๆ ที่น่าเสียดายอีกอย่างคือประเด็นการสืบสวนของตำรวจดูอ่อนมาก ขาดความจริงจังในการทำงานมาก เหมือนแค่ไปทำหน้าที่ดูที่เกิดเหตุ กับ นั่งสอบปากคำนางเอกพอผ่าน ๆ แค่นั้น แล้วหนังก็ทิ้งตรงส่วนนี้ออกไปง่าย ๆ ยิ่งในช่วงท้ายเรื่องแทบไม่มีความสำคัญซะเลย นั่งดูไปผมนึกถึงการทำงานของตำรวจเหมือนบ้านเราชัด ๆ ถ้าตัดส่วนที่พร่ำเพรื่อในเรื่องครอบครัวนางเอกที่กล่าวออกไปแล้วเน้นไปที่การสืบสวนตามล่าหาฆาตกรอย่างจริงจัง จะดูสมจริง ดูดิบมากกว่านี้
ขณะดูไปผมดันชอบเคมีระหว่าง Laura กับตัวฆาตกร แสดงโดย Richard Holmes จาก Sky High (2020) มากกว่าเพื่อนชายสิงห์มอเตอร์ไซต์ รับบทโดย Jose Pastor จาก The Vineyard Series (2021) ซะอีก คือ 2 คนนี้มันมี Something อะไรคล้าย ๆ กันอยู่ แม้ไม่ได้เล่าถึงปมของฆาตกรคนนี้ว่าที่มาจากอะไร แต่ก็พอจะคาดการณ์อะไรได้ไม่ยากว่าเวลาที่ 2 คนนี้ปรากฎ Scene ร่วมกันมันช่างโรแมนติกอยู่ไม่น้อย เป็นนางเอกก็ลำบากมิใช่น้อย นอกจากรูปร่างที่เป็นอุปสรรคแล้ว มองไปทางไหนก็เจอแต่ปัญหา ไหนจะเรื่องครอบครัวตนเอง , ครอบครัวเพื่อน , แก๊งค์สาวบูลลี่ , ฆาตกร รวมถึง ตำรวจอีก เพราะตลอดเวลา 1 ชั่วโมง 39 นาทีเราจะรู้สึกอึดอัดเหมือนน้ำท่วมปากคล้ายกับนางเอกที่แบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอีกยิ่งไปกระตุ้นอารมณ์ร่วมให้รู้สึกกดดัน บีบหัวใจร่วมไปกับมันได้เข้าไปอีก คือ เลือกทางไหนก็เจ็บปวดอยู่ดี
ช่วงกลางระหว่างทางเหมือนหนังจะลังเลอยู่ว่าจะใช้สูตรสำเร็จในแนวนี้หรือจะเปลี่ยนทางไปอีกทางหนึ่งไปเลย เหมือนอารมณ์ว่าเราจะไปต่อให้สุดทางหรือจะเอาแค่ Play Safe ก็พอจะได้ไม่ต้องเจ็บตัวมาก ขณะเดียวกันก็ยังคงทำหน้าที่ปูทางให้ไว้แล้วเราเดินตามเกมส์ต่อไปว่าจะเจอกับอะไรก็สามารถสร้างจังหวะได้ตื่นเต้น ได้ระทึกขวัญกันอยู่บ้าง แม้ว่าช่วงหลัง ๆ ดูจะลดความตื่นเต้นลงไปหน่อยจนกระทั่งบทสรุปที่พอจะรู้สึกอึ้งและตกใจขึ้นมาไม่คิดว่าจะเลือกแบบนี้ บางอย่างพอจะเดาทางถึงผลลัพธ์อะไรบางอย่างได้แล้ว แต่พอคิดดูอีกทีก็รู้สึกสมเหตุสมผลจนแอบสะใจเล็ก ๆ ดีว่าจบแบบนี้แหล่ะถึงจะสาสม รวมถึงอย่างน้อยก็ยังคงรักษามาตรฐานที่วางไว้อยู่ทั้งที่จริงหนังสามารถทะเยอทะยานไปได้มากกว่านี้
สรุป คือ พอใจในระดับกลาง ส่วนฉากความสยองยังทำได้ไม่โหดร้ายพอ ถ้าตัดส่วนนี้ออกไปมันก็คือหนัง Drama Coming of Age สะท้อนสังคมวัยรุ่น สำรวจศีลธรรมในมนุษย์จากผลพวงของการบูลลี่หรือการดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นเพียงแค่คำพูดก็สามารถฆ่าคนได้ ไม่ต่างจากการใช้กำลังทำร้ายตรง ๆ เผลอ ๆ อาจน่ากลัวกว่าด้วยซ้ำ ในเมื่อยุคนี้เป็นยุคสังคมที่เข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วเพียงแค่มีโทรศัพท์มือถือกับอินเตอร์เน็ตในมืออะไรก็ง่ายขึ้น อีกอย่างที่เกี่ยวข้องก็คือ สถาบันครอบครัว รากฐานสำคัญของการศึกษาและความเป็นคน ถ้าอบรมเลี้ยงดูมาดีก็จะมีภูมิคุ้มกันอยู่ร่วมกันในสังคมได้ดี แต่ ถ้าเลี้ยงไม่ดีก็จะกลายเป็นปมด้อยขึ้นมาเช่นกัน ฉะนั้นคุณภาพของความเป็นคนจะดีได้ต้องเริ่มต้นมาจากครอบครัว ผลลัพธ์ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเราก็ต้องตัดสินใจเลือกอยู่ดี คนบางคนสมควรได้รับการให้อภัย และ บางคนก็ไม่สมควรจะได้รับการขอโทษด้วยซ้ำ เพราะ โอกาสควรให้สำหรับคนที่กล้ายอมรับในสิ่งที่ผิดแล้วพร้อมแก้ไขในสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.14 Piggy = สาวน้อย ร้อยกิโล โนบูลลี่ ชีอย่าเยอะ
สิ่งที่น่าสนใจกลับเล่าไปในส่วนที่เป็นเรื่องสั้นที่มีความยาวแค่ 15 นาทีแทบจะหมดแล้ว ถึงอย่างไรก็ตามหนังยังสามารถเล่นกับการตัดสินใจของคนให้ชวนสับสน น่าเห็นใจ และ กระอักกระอ่วนได้ดีอยู่ ขณะเดียวกันก็เกิดคำถามขึ้นในหัวว่า ถ้าเกิดเป็นเราขึ้นมา เราจะตัดสินใจอย่างไรในเมื่อคนที่ถูกลักพาตัวดันเป็นคนที่ชอบรังแกทำร้ายเราเป็นประจำแต่พอขยายภาพมาเป็นหนังเต็มตัว แน่นอน สเกลใหญ่ขึ้น งบเพิ่มขึ้น ทีมงานมากขึ้น Story ก็ขยายขึ้นตามด้วย แต่อย่างไรก็ไม่ได้ลดทอนความอยากดูลงไปแม้แต่น้อย เมื่อ Carlota Pereda ผู้กำกับสาวชาวสเปนที่เคยฝากงานกำกับมาแล้ว จาก The Devil’s Tail (2021) ต้องการขยายความต่อจากหนังสั้นของเธอเองก็คือ Cerdita (2018) ให้มีคำอธิบายมากขึ้นแถมยังใช้นางเอกคนเดิมอย่าง Laura Galan จาก The Man Who Killed Don Quixote (2018) มารับบท Sara เด็กสาวร่างอ้วนกันต่อโดยมีเรื่องย่อว่า เด็กสาวร่างอ้วนที่ถูกเพื่อนที่โรงเรียนรังแกเป็นประจำ มาวันหนึ่งขณะที่เธอลงเล่นน้ำในสระแห่งหนึ่ง กลุ่มเพื่อนสาวที่โรงเรียนมาหาเรื่องเธอโดยการขโมยของเธอไป จึงทำให้เธอเดินร้องไห้กลับบ้านโดยมีแค่ชุดบิกินี่เพียงอย่างเดียว ระหว่างทางเธอก็พบว่ามีรถตู้เก่า ๆ ขับผ่านหน้าแล้วข้างในกลับมีกลุ่มเพื่อนที่ชอบรังแกเธอกำลังถูกฆาตกรโรคจิตจับตัวไป เธอต้องตัดสินใจเลือกระหว่างความแค้น และ ความถูกต้อง
แต่ดูเหมือนว่าช่วงกลางเรื่องจะแผ่วลงไปบ้างแถมวนอ่างย่ำอยู่กับที่แต่ครอบครัวนางเอกซะมากจนไปบดบังส่วนอื่นที่ควรจะโฟกัสมากกว่า เช่น หลังจากถูกลักพาตัว 3 สาวบูลลี่ ประกอบด้วย Claudia รับบทโดย Irene Ferreiro จาก Skam Espana Series (2018-2020) , Roci รับบทโดย Camille Aguilar จาก Heaven Will Wait (2016) และ Maca รับบทโดย Claudia Salas จาก Elite Series (2019-2022) จะเป็นยังไงต่ออย่างนี้ ซึ่งผมอยากรู้ตรงนี้มากกว่า ยังดีที่หนังให้พื้นที่แก่ตัวฆาตกรได้ปล่อยของกับเขาบ้างเล็กน้อย แม้จะมีฉากฆ่าเหยื่อไม่มากเท่าไหร่ พอโผล่เป็นกับแกล้ม แต่ทุก Scene ที่เขาปรากฎรู้สึกดีต่อใจขึ้นมาจริง ๆ ที่น่าเสียดายอีกอย่างคือประเด็นการสืบสวนของตำรวจดูอ่อนมาก ขาดความจริงจังในการทำงานมาก เหมือนแค่ไปทำหน้าที่ดูที่เกิดเหตุ กับ นั่งสอบปากคำนางเอกพอผ่าน ๆ แค่นั้น แล้วหนังก็ทิ้งตรงส่วนนี้ออกไปง่าย ๆ ยิ่งในช่วงท้ายเรื่องแทบไม่มีความสำคัญซะเลย นั่งดูไปผมนึกถึงการทำงานของตำรวจเหมือนบ้านเราชัด ๆ ถ้าตัดส่วนที่พร่ำเพรื่อในเรื่องครอบครัวนางเอกที่กล่าวออกไปแล้วเน้นไปที่การสืบสวนตามล่าหาฆาตกรอย่างจริงจัง จะดูสมจริง ดูดิบมากกว่านี้
ขณะดูไปผมดันชอบเคมีระหว่าง Laura กับตัวฆาตกร แสดงโดย Richard Holmes จาก Sky High (2020) มากกว่าเพื่อนชายสิงห์มอเตอร์ไซต์ รับบทโดย Jose Pastor จาก The Vineyard Series (2021) ซะอีก คือ 2 คนนี้มันมี Something อะไรคล้าย ๆ กันอยู่ แม้ไม่ได้เล่าถึงปมของฆาตกรคนนี้ว่าที่มาจากอะไร แต่ก็พอจะคาดการณ์อะไรได้ไม่ยากว่าเวลาที่ 2 คนนี้ปรากฎ Scene ร่วมกันมันช่างโรแมนติกอยู่ไม่น้อย เป็นนางเอกก็ลำบากมิใช่น้อย นอกจากรูปร่างที่เป็นอุปสรรคแล้ว มองไปทางไหนก็เจอแต่ปัญหา ไหนจะเรื่องครอบครัวตนเอง , ครอบครัวเพื่อน , แก๊งค์สาวบูลลี่ , ฆาตกร รวมถึง ตำรวจอีก เพราะตลอดเวลา 1 ชั่วโมง 39 นาทีเราจะรู้สึกอึดอัดเหมือนน้ำท่วมปากคล้ายกับนางเอกที่แบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอีกยิ่งไปกระตุ้นอารมณ์ร่วมให้รู้สึกกดดัน บีบหัวใจร่วมไปกับมันได้เข้าไปอีก คือ เลือกทางไหนก็เจ็บปวดอยู่ดี
ช่วงกลางระหว่างทางเหมือนหนังจะลังเลอยู่ว่าจะใช้สูตรสำเร็จในแนวนี้หรือจะเปลี่ยนทางไปอีกทางหนึ่งไปเลย เหมือนอารมณ์ว่าเราจะไปต่อให้สุดทางหรือจะเอาแค่ Play Safe ก็พอจะได้ไม่ต้องเจ็บตัวมาก ขณะเดียวกันก็ยังคงทำหน้าที่ปูทางให้ไว้แล้วเราเดินตามเกมส์ต่อไปว่าจะเจอกับอะไรก็สามารถสร้างจังหวะได้ตื่นเต้น ได้ระทึกขวัญกันอยู่บ้าง แม้ว่าช่วงหลัง ๆ ดูจะลดความตื่นเต้นลงไปหน่อยจนกระทั่งบทสรุปที่พอจะรู้สึกอึ้งและตกใจขึ้นมาไม่คิดว่าจะเลือกแบบนี้ บางอย่างพอจะเดาทางถึงผลลัพธ์อะไรบางอย่างได้แล้ว แต่พอคิดดูอีกทีก็รู้สึกสมเหตุสมผลจนแอบสะใจเล็ก ๆ ดีว่าจบแบบนี้แหล่ะถึงจะสาสม รวมถึงอย่างน้อยก็ยังคงรักษามาตรฐานที่วางไว้อยู่ทั้งที่จริงหนังสามารถทะเยอทะยานไปได้มากกว่านี้
สรุป คือ พอใจในระดับกลาง ส่วนฉากความสยองยังทำได้ไม่โหดร้ายพอ ถ้าตัดส่วนนี้ออกไปมันก็คือหนัง Drama Coming of Age สะท้อนสังคมวัยรุ่น สำรวจศีลธรรมในมนุษย์จากผลพวงของการบูลลี่หรือการดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นเพียงแค่คำพูดก็สามารถฆ่าคนได้ ไม่ต่างจากการใช้กำลังทำร้ายตรง ๆ เผลอ ๆ อาจน่ากลัวกว่าด้วยซ้ำ ในเมื่อยุคนี้เป็นยุคสังคมที่เข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วเพียงแค่มีโทรศัพท์มือถือกับอินเตอร์เน็ตในมืออะไรก็ง่ายขึ้น อีกอย่างที่เกี่ยวข้องก็คือ สถาบันครอบครัว รากฐานสำคัญของการศึกษาและความเป็นคน ถ้าอบรมเลี้ยงดูมาดีก็จะมีภูมิคุ้มกันอยู่ร่วมกันในสังคมได้ดี แต่ ถ้าเลี้ยงไม่ดีก็จะกลายเป็นปมด้อยขึ้นมาเช่นกัน ฉะนั้นคุณภาพของความเป็นคนจะดีได้ต้องเริ่มต้นมาจากครอบครัว ผลลัพธ์ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเราก็ต้องตัดสินใจเลือกอยู่ดี คนบางคนสมควรได้รับการให้อภัย และ บางคนก็ไม่สมควรจะได้รับการขอโทษด้วยซ้ำ เพราะ โอกาสควรให้สำหรับคนที่กล้ายอมรับในสิ่งที่ผิดแล้วพร้อมแก้ไขในสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้