ขอขอบคุณเพจ ป.ปืน อย่างสูงครับ
https://www.facebook.com/Porpeunbybaster
หลังจากความสำเร็จของ Hiram Maxim ในการออกแบบและผลิตปืนกลแบบ Maxim gun ซึ่งอาศัยพลังงานจากการเผาไหม้ของกระสุนปืน จึงทำให้เกิดผลกระทบต่อนักออกแบบอาวุธรายอื่นๆ เพื่อออกแบบอาวุธอัตโนมัติของตน โดยที่ไม่ระเมิดต่อสิทธิบัตรของ Maxim หรือการออกแบบของ Colt คือ lever-actuated Colt-Browning M1895. ในระบบแก๊ส
นักออกแบบนาม Captain Baron Adolph von Odkolek (Odkolek von Ujezda)ซึ่งเขาเป็นนายทหารของกองทัพออสเตรีย ได้ทำการออกแบบอาวุธอัตโนมัติ ซึ่งอาศัยหลักการทำงานด้วยแรงดันแก๊สปี1893 โดยที่เขาเดินทางนำแบบของเขาไปเสนอต่อผู้ผลิตคือ Hotchkiss et Cie ใน St. Denis, ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมีเจ้าของคือ Benjamin B. Hotchkiss. ซึ่งได้ทำการทดสอบต้นแบบซึ่งสิทธิบัตรก็ถูกซื้อโดย Hotchkiss แต่ระหว่างที่กำลังจะมีการพัฒนา Benjamin B. Hotchkiss.ก็เสียชีวิตก่อน
งานจึงตกเป็นของ หลักการทำงานของปืนถูกปรับปรุงโดยวิศวกรอเมริกัน Laurence Vincent Benét. และผู้ช่วยชาวฝรั่งเศสของเขาคือ Henri Mercié. ซึ่งทำงานใน Hotchkiss et Cie โดยออกแบบระบบลูกสูบช่วงยาว ระบบขัดกลอนของปืนจะมีกระเดื่องอยู่กลางระบบลูกเลื่อนโดยจะมีตัลูกเบี้ยวซึ่งอยู่บนโครงนำลูกเลื่อนเป็นตัวบังคับให้ตัวกระเดื่องลงไปขัดกลอนกับโครงปืน ระบบเข็มแทงชนวนเป็นแบบกึ่งพุงกระแทงซึ่งอาศัยโครงนำลูกเลื่อนเป็นตัวบังคับให้พุ่งไปด้านหน้า ซึ่งทั้งระบบขัดกลอนและระบบเข็มแทงชนวนจะถูกบังคับให้ทำงานเป็นจังหวะเดียวกันโดยโครงนำลูกเลื่อน ระบบป้อนกระสุนจะใช้การป้อนจากตับ (strip) กระสุนจำนวน 30 นัด
ซึ่งแบบแรกที่ถูกนำเสนอคือโดยเป็น Hotchkiss Mle 1897,ขนาด 7.มม
ในช่วงปี 1898 แบบของปืนอัตโนมัตินี้ถูกนำเสนอไปยังประเทศต่างๆเพื่อเสนอขายเช่น บราซิล ชิลี ญี่ปุ่น เม็กซิโก นอร์เวย์ และเวเนซุเอลา
มีการปรับปรุงใช้กระสุนขนาด 8×50R Lebel เช่นการเพิ่มขนาดวงแหวนครีบระบายความร้อน5วงบนลำกล้อง มีพานท้ายเหล็กที่มีแป้นรองบ่าซึ่งนำไปสู่แบบ Hotchkiss Mle 1900.
ในปี1901 มีการนำไปทดสอบโดยChasseur (Chasseur à cheval) จำนวน2กองพัน รวมถึงทหารม้า ระหว่างปี1903-1909 โดยกองทัพฝรั่งเศสสั่งซื้อมาทำการทดสอบในช่วงปี 1907–1909. จำนวน50กระบอกโดยเปรียบเทียบกับปืนกลแบบ Puteaux Mle 1905 ซึ่งออกแบบโดย Atelier de Construction de Puteaux (APX) (ซึ่งต่อมาถูกอัพเกรดเป็น St. Étienne Mle 1907) ซึ่งต่อมากองทัพฝรั่งเศสก็มีการจัดซื้อ Mle 1900 เพื่อนำไปใช้กับกองกำลังโพ้นทะเลหรือกองกำลังในอาณานิคม
เมื่อสงครามโลกครั้งที่1ปะทุขึ้นฝรั่งเศสพบว่าตนเองมีอาวุธปืนกลอัตโนมัติอยู่น้อยไปซึ่งเดิมก็มี St. Etienne Model of 1907 และ Hotchkiss Model 1900 แต่ฝรั่งเศสนั้นก็ยังมีโรงงานผลิตอาวุธและแบบอาวุธที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถใช้งานได้ มีการนำแบบ Hotchkiss Model 1900 มาปรับปรุงแทนที่พานท้ายด้วยด้ามหลังแบบตัว D (D-grip,) แบบเรียบง่าย การปรับปรุงวัสดุหลายส่วนจึงทำให้ปืนมีความเรียบง่ายขึ้นและถูกผลิตเป็น Hotchkiss Model 1914. ซึ่งได้รับการยอมรับและใช้งานในแนวหน้าจำนวนมาก
ได้รับการพิสูจน์ในสนามรบโดยการรบ Verdun,บนเนินเขา Hill 304 ฝ่ายฝรั่งเศสมีการใช้งาน Hotchkiss Model 1914. สองกระบอกในการสกัดการรุกของฝ่ายเยอรมันได้เป็นเวลาสิบวันมีการใช้กระสุนไปกว่า 150,000 นัด ได้รับการสนับสนุนการรบอย่างจำกัด นั้นหมายถึงตลอดการรบสิบวันโดยเฉลี่ยปืนกล Hotchkiss Model 1914 ไปกว่า75,000 นัด ซึ่งกลายเป็นบทพิสูจน์ความหน้าเชื่อถือของปืนได้เป็นอย่างดี
เมื่อ American Expeditionary Force อเมริกันเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่1 ฝรั่งเศสก็สามารถจัดหา Hotchkiss Model 1914 ให้ได้เป็นจำนวนมากพอ สำหรับ 12 กองพล มีการจัดส่ง Hotchkiss Model 1914 จำนวน 5,255 กระบอกให้แก่กองทัพสหรับฯ ซึ่งมีการจ่าย 224 กระบอกต่อกองพลทหารราบ 16 กระบอกต่อกรมทหารราบ และ 16 กระบอกต่อกองร้อยปืนกล( Machine Gun Company ) รวมแล้วถึง7,000 กระบอก ต่อมามีการจัดหา Colt Vickers Model 1915 และ Browning Model 1917 มาใช้งาน
มีการใช้งานนอกฝรั่งเศสและนำไปผลิตเองได้แก่
ญี่ปุ่น ได้จัดซื้อ Mle 1897. ไปใช้งานในช่วง Boxer Rebellion,(กบฏนักมวย) และต่อมาได้รับสิทธิบัตรเพื่อนำมาผลิตเองในขนาด 6.5x50mm Arisaka ในช่วงสงคราม Russo-Japanese War ญี่ปุ่นมีปืนกล Hotchkiss กระบอกต่อกองพล และยังมีน้ำหนักเบากว่า Maxims, ของรัสเซีย ในปี1914 ญี่ปุ่นได้พัฒนาเป้นปืนกลหนักแบบ Type 3 Heavy Machine Gun และ ปืนกลหนักแบบ Type 92 Heavy Machine Gun ขนาด 7.7 มม.
จีน มีการสั่งซื้อโดยรัฐบาลจีนคณะชาติ ในช่วง1930-1935 ซึ่งเป็นขนาด German 7.92×57mm Mauser จำนวน 1,192 กระบอก เมื่อสงครามกับญี่ปุ่นเริ่มขึ้นก็มีการสั่งอีก1,300 กระบอก แต่ได้รับเพียง 300 กระบอก ใช้งานจนถึงช่วงสงครามกลางเมืองจีน
เชโกสโลวาเกีย สั่งซื้อ Hotchkiss Mle 1914 ในปี 1919-1920 จำนวน 855 กระบอก ฝรั่งเศสมอบให้ Czechoslovak Legion อีก 89 กระบอก
โปแลนด์ นำไปใช้งานในชื่อ Ckm wz.25 Hotchkiss ได้รับพร้อมการมาถึงของ Blue Army ในปี 1919 กับการต่อสู้กับบอเชวิค ในปี1936ได้ซื้อเพิ่มอีก 2,620. กระบอก ในชื่อ ckm wz. 14 - "HMG Mk. 1914" มีการดัดแปลงรุ่น Ckm wz.25 Hotchkiss ใช้กระสุนขนาด 7.92×57mm Mauser แต่มีข้อเสียทำให้ปืนร้อนเร็วเกินไป
สเปน ซื้อสิทธิบัตรรุ่น Hotchkiss machine gun Model 1903, มาทำการผลิตในขนาด 7×57mm Mauser ซึ่งมีการผลิตประมาณ 2000 กระบอก
ซึ่งมีการนำมาใช้งานกว่า 30 ประเทศทั่วโลก จนถึงช่วงสงครามเย็น เช่นสงครามเวียดนาม
ขอบคุณที่ติดตามและขออภัยหากมีข้อผิดพลาดประการใดมา ณ. ที่นี้ครับ
Cr.
https://www.historicalfirearms.info/.../hotchkiss-mle...
https://www.rockislandauction.com/.../hotchkiss-1897...
https://sadefensejournal.com/the-french-hotchkiss-model.../
#Hotchkiss_Mle_1914 #ป_ปืน
สวัสดีครับ
สารานุกรมปืนตอนที่ 1932 Hotchkiss Mle 1914 Machine Gun
https://www.facebook.com/Porpeunbybaster
หลังจากความสำเร็จของ Hiram Maxim ในการออกแบบและผลิตปืนกลแบบ Maxim gun ซึ่งอาศัยพลังงานจากการเผาไหม้ของกระสุนปืน จึงทำให้เกิดผลกระทบต่อนักออกแบบอาวุธรายอื่นๆ เพื่อออกแบบอาวุธอัตโนมัติของตน โดยที่ไม่ระเมิดต่อสิทธิบัตรของ Maxim หรือการออกแบบของ Colt คือ lever-actuated Colt-Browning M1895. ในระบบแก๊ส
นักออกแบบนาม Captain Baron Adolph von Odkolek (Odkolek von Ujezda)ซึ่งเขาเป็นนายทหารของกองทัพออสเตรีย ได้ทำการออกแบบอาวุธอัตโนมัติ ซึ่งอาศัยหลักการทำงานด้วยแรงดันแก๊สปี1893 โดยที่เขาเดินทางนำแบบของเขาไปเสนอต่อผู้ผลิตคือ Hotchkiss et Cie ใน St. Denis, ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมีเจ้าของคือ Benjamin B. Hotchkiss. ซึ่งได้ทำการทดสอบต้นแบบซึ่งสิทธิบัตรก็ถูกซื้อโดย Hotchkiss แต่ระหว่างที่กำลังจะมีการพัฒนา Benjamin B. Hotchkiss.ก็เสียชีวิตก่อน
งานจึงตกเป็นของ หลักการทำงานของปืนถูกปรับปรุงโดยวิศวกรอเมริกัน Laurence Vincent Benét. และผู้ช่วยชาวฝรั่งเศสของเขาคือ Henri Mercié. ซึ่งทำงานใน Hotchkiss et Cie โดยออกแบบระบบลูกสูบช่วงยาว ระบบขัดกลอนของปืนจะมีกระเดื่องอยู่กลางระบบลูกเลื่อนโดยจะมีตัลูกเบี้ยวซึ่งอยู่บนโครงนำลูกเลื่อนเป็นตัวบังคับให้ตัวกระเดื่องลงไปขัดกลอนกับโครงปืน ระบบเข็มแทงชนวนเป็นแบบกึ่งพุงกระแทงซึ่งอาศัยโครงนำลูกเลื่อนเป็นตัวบังคับให้พุ่งไปด้านหน้า ซึ่งทั้งระบบขัดกลอนและระบบเข็มแทงชนวนจะถูกบังคับให้ทำงานเป็นจังหวะเดียวกันโดยโครงนำลูกเลื่อน ระบบป้อนกระสุนจะใช้การป้อนจากตับ (strip) กระสุนจำนวน 30 นัด
ซึ่งแบบแรกที่ถูกนำเสนอคือโดยเป็น Hotchkiss Mle 1897,ขนาด 7.มม
ในช่วงปี 1898 แบบของปืนอัตโนมัตินี้ถูกนำเสนอไปยังประเทศต่างๆเพื่อเสนอขายเช่น บราซิล ชิลี ญี่ปุ่น เม็กซิโก นอร์เวย์ และเวเนซุเอลา
มีการปรับปรุงใช้กระสุนขนาด 8×50R Lebel เช่นการเพิ่มขนาดวงแหวนครีบระบายความร้อน5วงบนลำกล้อง มีพานท้ายเหล็กที่มีแป้นรองบ่าซึ่งนำไปสู่แบบ Hotchkiss Mle 1900.
ในปี1901 มีการนำไปทดสอบโดยChasseur (Chasseur à cheval) จำนวน2กองพัน รวมถึงทหารม้า ระหว่างปี1903-1909 โดยกองทัพฝรั่งเศสสั่งซื้อมาทำการทดสอบในช่วงปี 1907–1909. จำนวน50กระบอกโดยเปรียบเทียบกับปืนกลแบบ Puteaux Mle 1905 ซึ่งออกแบบโดย Atelier de Construction de Puteaux (APX) (ซึ่งต่อมาถูกอัพเกรดเป็น St. Étienne Mle 1907) ซึ่งต่อมากองทัพฝรั่งเศสก็มีการจัดซื้อ Mle 1900 เพื่อนำไปใช้กับกองกำลังโพ้นทะเลหรือกองกำลังในอาณานิคม
เมื่อสงครามโลกครั้งที่1ปะทุขึ้นฝรั่งเศสพบว่าตนเองมีอาวุธปืนกลอัตโนมัติอยู่น้อยไปซึ่งเดิมก็มี St. Etienne Model of 1907 และ Hotchkiss Model 1900 แต่ฝรั่งเศสนั้นก็ยังมีโรงงานผลิตอาวุธและแบบอาวุธที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถใช้งานได้ มีการนำแบบ Hotchkiss Model 1900 มาปรับปรุงแทนที่พานท้ายด้วยด้ามหลังแบบตัว D (D-grip,) แบบเรียบง่าย การปรับปรุงวัสดุหลายส่วนจึงทำให้ปืนมีความเรียบง่ายขึ้นและถูกผลิตเป็น Hotchkiss Model 1914. ซึ่งได้รับการยอมรับและใช้งานในแนวหน้าจำนวนมาก
ได้รับการพิสูจน์ในสนามรบโดยการรบ Verdun,บนเนินเขา Hill 304 ฝ่ายฝรั่งเศสมีการใช้งาน Hotchkiss Model 1914. สองกระบอกในการสกัดการรุกของฝ่ายเยอรมันได้เป็นเวลาสิบวันมีการใช้กระสุนไปกว่า 150,000 นัด ได้รับการสนับสนุนการรบอย่างจำกัด นั้นหมายถึงตลอดการรบสิบวันโดยเฉลี่ยปืนกล Hotchkiss Model 1914 ไปกว่า75,000 นัด ซึ่งกลายเป็นบทพิสูจน์ความหน้าเชื่อถือของปืนได้เป็นอย่างดี
เมื่อ American Expeditionary Force อเมริกันเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่1 ฝรั่งเศสก็สามารถจัดหา Hotchkiss Model 1914 ให้ได้เป็นจำนวนมากพอ สำหรับ 12 กองพล มีการจัดส่ง Hotchkiss Model 1914 จำนวน 5,255 กระบอกให้แก่กองทัพสหรับฯ ซึ่งมีการจ่าย 224 กระบอกต่อกองพลทหารราบ 16 กระบอกต่อกรมทหารราบ และ 16 กระบอกต่อกองร้อยปืนกล( Machine Gun Company ) รวมแล้วถึง7,000 กระบอก ต่อมามีการจัดหา Colt Vickers Model 1915 และ Browning Model 1917 มาใช้งาน
มีการใช้งานนอกฝรั่งเศสและนำไปผลิตเองได้แก่
ญี่ปุ่น ได้จัดซื้อ Mle 1897. ไปใช้งานในช่วง Boxer Rebellion,(กบฏนักมวย) และต่อมาได้รับสิทธิบัตรเพื่อนำมาผลิตเองในขนาด 6.5x50mm Arisaka ในช่วงสงคราม Russo-Japanese War ญี่ปุ่นมีปืนกล Hotchkiss กระบอกต่อกองพล และยังมีน้ำหนักเบากว่า Maxims, ของรัสเซีย ในปี1914 ญี่ปุ่นได้พัฒนาเป้นปืนกลหนักแบบ Type 3 Heavy Machine Gun และ ปืนกลหนักแบบ Type 92 Heavy Machine Gun ขนาด 7.7 มม.
จีน มีการสั่งซื้อโดยรัฐบาลจีนคณะชาติ ในช่วง1930-1935 ซึ่งเป็นขนาด German 7.92×57mm Mauser จำนวน 1,192 กระบอก เมื่อสงครามกับญี่ปุ่นเริ่มขึ้นก็มีการสั่งอีก1,300 กระบอก แต่ได้รับเพียง 300 กระบอก ใช้งานจนถึงช่วงสงครามกลางเมืองจีน
เชโกสโลวาเกีย สั่งซื้อ Hotchkiss Mle 1914 ในปี 1919-1920 จำนวน 855 กระบอก ฝรั่งเศสมอบให้ Czechoslovak Legion อีก 89 กระบอก
โปแลนด์ นำไปใช้งานในชื่อ Ckm wz.25 Hotchkiss ได้รับพร้อมการมาถึงของ Blue Army ในปี 1919 กับการต่อสู้กับบอเชวิค ในปี1936ได้ซื้อเพิ่มอีก 2,620. กระบอก ในชื่อ ckm wz. 14 - "HMG Mk. 1914" มีการดัดแปลงรุ่น Ckm wz.25 Hotchkiss ใช้กระสุนขนาด 7.92×57mm Mauser แต่มีข้อเสียทำให้ปืนร้อนเร็วเกินไป
สเปน ซื้อสิทธิบัตรรุ่น Hotchkiss machine gun Model 1903, มาทำการผลิตในขนาด 7×57mm Mauser ซึ่งมีการผลิตประมาณ 2000 กระบอก
ซึ่งมีการนำมาใช้งานกว่า 30 ประเทศทั่วโลก จนถึงช่วงสงครามเย็น เช่นสงครามเวียดนาม
ขอบคุณที่ติดตามและขออภัยหากมีข้อผิดพลาดประการใดมา ณ. ที่นี้ครับ
Cr.
https://www.historicalfirearms.info/.../hotchkiss-mle...
https://www.rockislandauction.com/.../hotchkiss-1897...
https://sadefensejournal.com/the-french-hotchkiss-model.../
#Hotchkiss_Mle_1914 #ป_ปืน