เราเพิ่งจบกับหนุ่มผิวสีมาหมาดๆเลยค่ะ หลายคนที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้อาจมีประสบการณ์คบหากับคนผิวสีมาเหมือนกัน ขอเล่าเรื่องราวของเราเพื่อระบายแล้วกันนะคะ
เรากับเค้าเจอกันที่ห้างสรรพสินค้า เราเป็นพนักงานที่พอจะพูดภาษาได้บ้างก็เลยเข้าไปช่วยเค้า ตอนนั้นเค้าขอไลน์เราไว้ เราไม่ได้คิดอะไร ให้ไปเพราะเห็นว่าเป็นลูกค้าต่างชาติ เผื่อเค้าต้องการความช่วยเหลืออย่างอื่น ตั้งแต่วันนั้นเกือบ 2 เดือนเค้าก็ทักมา บอกว่าที่หายไปเพราะคิดว่าเราแต่งงานแล้ว เลยไม่กล้าทักมา เราก็บอกว่าเราโสด เค้าบอกว่างั้นดีเลย ผมตกหลุมรักคุณตั้งแต่แรกเห็น แต่งงานกันได้มั้ย ที่จริงแล้วมันมีคำพูดหวานๆมากกว่านี้ แต่ก็นั่นแหละ เราก็ปฏิเสธไปตามระเบียบ บอกไปว่าแม้แต่การคบหาแบบแฟนฉันก็ยังไม่เคยคบกับผู้ชายคนไหนเลย จะให้แต่งแล้วหรอ เร็วไปนะ เค้าก็บอกว่าเค้ารอได้ จากตอนแรกที่ไม่อยากคุยเราก็เลยลองให้โอกาสตัวเอง เปิดใจคุยกับเค้า เค้าอายุ 42 มาจากประเทศเบนิน เป็นเจ้าของธุรกิจนำเข้า-ส่งออกเชียร์บัตเตอร์ บริษัทแม่อยู่ที่พม่า แต่เหมือนจะมาสร้างฐานเพิ่มที่ประเทศไทย เคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว มีลูกแฝด 2 คน และหย่ากับภรรยาชาวไนจีเรียแล้ว เราคุยกันมาเรื่อยๆ นัดเจอ นัดเดตกัน เค้าเป็นคนที่มีวาทศิลป์ในการพูดคุย พูดยังไงให้ดูน่าเชื่อถือ แต่เราก็ไม่ใช่คนที่เชื่อลมปากคนง่ายขนาดนั้น เราเป็นคนที่มีกำแพงในใจสูงมากพอสมควร และก็เคยบอกเค้าไปแล้วว่า ถึงคำพูดหวานๆของเค้าจะทำให้เรายิ้มและมีความสุข แต่มันไม่ได้ทำให้เราตกหลุมรักง่ายๆหรอกนะ เค้าก็บอกว่าเค้ารู้และเค้าก็จะพยายามชนะใจเราให้ได้
ครั้งแรกที่ไปห้องพักของเค้าที่คอนโดวันนั้นเค้าไม่สบายเราก็เลยตัดสินใจไปเยี่ยม ถามว่าตอนนั้นคิดยังไง เป็นผู้หญิงทำไมถึงกล้าไปหาเค้า ไม่กลัวหรอ เราคิดแค่ว่าทำไมจะไปไม่ได้ล่ะ ก็จะได้รู้ไปเลยว่าเค้าจะทำอะไรเรามั้ย สรุปวันนั้นเราแค่กินข้าวกัน ที่จริงตอนที่ไปหาเค้าอาการดีขึ้นมากแล้ว ดีจนสามารถทำอาหารไว้รอเราเลย วันนั้นไม่มีอะไรเกินเลยแม้แต่การจับมือ ตรงนั้นมันเลยเป็นอะไรที่เราค่อนข้างประทับใจ
เมื่อวันที่ 7 กุมภาที่ผ่านมา เป็นวันเกิดของแม่เรา เรามีแพลนที่จะพาพ่อกับแม่ไปกินอาหารค่ำอยู่แล้ว เลยชวนเค้าไปด้วยเพื่อไปแนะนำให้พ่อกับแม่รู้จักและรับรู้ว่าเรากำลังคบหากับเค้าอยู่ ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี พ่อกับแม่เราไม่ได้ห้ามแต่ก็บอกให้เราค่อยๆคบค่อยๆดูไป ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไรมากเรื่องการพาเค้าไปเจอพ่อแม่ หลายคนมองว่าพาไปเจอขนาดนั้นแสดงว่าเริ่มจริงจังแล้ว ก็น่าจะเป็นแบบนั้น เราแค่อยากแสดงความบริสุทธิ์ใจในการคบหากับเค้า คบกันแบบที่พ่อกับแม่รับรู้เฉยๆ วันนั้นเราเลยชวนเค้าไปงานแต่งงานของน้าเราที่จ.สระแก้ว วันที่ 5 มีนา เค้าก็บอกว่ายังไม่รับปากเพราะอาจติดงานด่วน
อ้อ..เราลืมเล่าให้ฟังว่าเค้าทำงานอยู่หน้าคอมกับโทรศัพท์ มีออฟฟิศอยู่พระราม3 มีลูกน้องคอยทำงานอยู่ที่นั่น เค้าบอกเราว่าเวลามีออเดอร์เข้าเค้าจะไปที่นั่น เราเคยบอกให้เค้าถ่ายรูปบรรยากาศตอนทำงานที่นั่นมาให้ดูหน่อย เพราะอยากรู้ว่าเค้าทำงานกันยังไง เค้าก็พยายามบ่ายเบี่ยงและถ่ายวิดีโอเป็นบรรยากาศนอกระเบียงมาให้แทน เราเลยแซะเค้ากลับไปว่า วิวสวยดีถึงจะเป็นอะไรที่เราไม่อยากเห็นก็ตาม เค้าก็เงียบไป 555 แต่ก็นั่นแหละ ความสงสัยมันก็เริ่มเกิดขึ้น แต่เราก็ปล่อยให้มันผ่านไปเพราะคิดว่าเค้าอาจจะไม่พร้อมให้เรารับรู้
มาพูดถึงเรื่องงานแต่งน้าต่อ พอใกล้ๆวันงานเราก็ถามเค้าอีกครั้งนึงว่าสรุปจะไปมั้ย เค้าก็บอกว่าเค้ายังไม่พร้อมที่จะไปเจอญาติพี่น้องเรา เราก็โอเค ไม่เป็นไร พอวันที่ 5 มีนา เค้าบอกว่ากำลังเดินทางไปเกาะช้าง ตามประสาผู้หญิง..เราก็ถามไปนั่นแหละว่าไปกับใคร เค้าบอกว่าขับรถไปคนเดียวแล้วไปเจอกับเพื่อนที่นู่น ถึงที่เกาะช้างเค้าก็ส่งรูปที่เค้านั่งอยู่ที่ร้านอาหารมาให้ รูปนึงเป็นรูปเซลฟี่ อีกรูปเป็นรูปที่มีคนถ่ายให้ แต่เซนส์ผู้หญิงอย่างเรามันแรงอ่ะค่ะ ถึงเค้าจะบอกว่าไปกับเพื่อนแต่ไม่รู้ว่าทำไมเราไม่เชื่อ ภาพที่มีคนถ่ายให้ จุดสังเกตของเรามันดันไปอยู่ที่เก้าอี้ข้างๆเค้าที่มีกระเป๋าอยู่ใบนึงวางอยู่ มันเป็นกระเป๋าที่สามารถใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่เรามั่นใจว่าไม่ใช่ของเค้าแน่นอน ถึงจะเห็นแบบนั้นแต่เราก็ไม่ได้ถามอะไร
วันที่ 14-15 มีนา ที่ผ่านมา เราสองคนก็ได้ไปเที่ยวเกาะล้านด้วยกัน วันที่ 13 เราเลิกงานเกือบ 5 ทุ่ม เลยไปพักที่ห้องเค้าเพื่อจะได้เตรียมตัวออกเดินทางในตอนเช้ามืด ประมาณตี 3 มีผู้หญิงคนนึงไขประตูห้องเข้ามา เป็นผู้หญิงที่เค้าเคยบอกว่าเป็นแฟนเก่า เราหน้าชาและทำอะไรไม่ถูก ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ด่าว่าเราแค่พูดประชดประชันว่าได้กันกี่ครั้งแล้วล่ะ เราก็บอกไปว่าแค่นอนเฉยๆ ยังไม่เคยทำอะไรแบบนั้น แต่ด้วยความที่เรายืมเสื้อกับกางเกงเค้าใส่นอนผู้หญิงเค้าเลยไม่เชื่อ เราบอกผู้หญิงไปว่า พี่จะว่าหนูยังไงก็ได้แต่หนูไม่รู้จริงๆ หลังจากนั้นเราเลยหอบกระเป๋าออกมาจากห้องเค้า เค้าต้องเดินมาส่งเพราะถ้าออกจากคอนโดต้องใช้คีย์การ์ด เดินมาส่งที่รถเราแล้วก็บอกว่าอย่าเพิ่งไปไหน เค้าขอเคลียร์กับผู้หญิงคนนั้นก่อน
ด้วยความโมโหเราก็ไม่ได้รอเค้าค่ะ ตอนนั้นตี3ตี4ไม่รู้จะไปไหน กลับบ้านก็กลัวพ่อแม่ถาม เลยขับรถไปบางแสน กะว่าในเมื่อไม่ได้ไปเกาะล้านเราก็คงจะเช่าโรงแรมนอนที่นี่คนเดียวนี่แหละ ระหว่างขับรถเค้าก็พยายามติดต่อเราค่ะ แต่เราไม่รับสาย เค้าส่งข้อความมาบอกว่าจบกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว และขอโอกาสจากเรา เราสับสนมาก ทั้งรักทั้งเสียใจ สุดท้ายเราก็ยอมบอกเค้าว่าเราอยู่ที่ไหน เค้าก็ขับรถตามมา สุดท้ายเราก็ข้ามไปเกาะล้านด้วยกัน และไปพูดคุยปรับความเข้าใจกัน เราไม่ได้เชื่อในสิ่งที่เค้าพูดทั้งหมด แต่ก็ให้โอกาสเค้า เราคิดว่าไหนก็ได้มาเที่ยวแล้วก็ไม่อยากให้อะไรมากวนใจ เราพยายามลืมเรื่องที่เกิดขึ้นและใช้เวลากับเค้า และใช่ค่ะในเมื่อผู้หญิงกับผู้ชายอยู่ด้วยกันเรื่องอย่างว่าก็เกิดขึ้น และนั่นก็เป็นครั้งแรกของเราด้วย ถ้าถามว่าตอนนั้นคิดอะไรทำไมถึงปล่อยให้เป็นแบบนั้น เราแค่ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติและความรู้สึกค่ะ และเราก็เตรียมพร้อมเรื่องการป้องกันต่างๆ และด้วยอายุและวุฒิภาวะของเรา เราคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ เราไม่ได้อินเรื่องความเวอร์จิ้นขนาดนั้น ถ้าครั้งแรกจะเกิดขึ้นก็ขอให้มันเกิดกับคนที่เรารัก จนวันที่ 15 ตอนเย็นเราขับรถถึงกรุงเทพ เราก็บอกว่าขับรถเหนื่อย ขอไปพักที่ห้องเค้าก่อนกลับบ้าน เค้าวุ่นวายกับการเตรียมตัวไปต่อวีซ่าที่พม่า เก็บกระเป๋านู่นนี่ เราเลยไม่ค่อยได้คุยกัน แต่สิ่งที่เราสังเกตเห็นคือรูปคู่ของเรากับเค้าที่เคยวางไว้บนชั้นมันหายไป เลยถามเค้าว่ามันหายไปไหน เค้าบอกว่าผู้หญิงคนนั้นเขวี้ยงแตกไปแล้ว เราก็พยักหน้าทำเป็นเชื่อ เค้าบอกว่ากำลังคิดเรื่องย้ายออกจากที่นี่ เพราะรู้ว่าเราคงไม่สบายใจที่จะมาที่นี่อีก แต่สัญญามันเหลืออีก 6 เดือน เค้าเลยยังทำอะไรไม่ได้ เราก็พยักหน้าหงึกๆทำเป็นคนว่าง่ายอีก แล้วเราก็กลับบ้าน
ด้วยความเป็นนักขุด เราใช้เวลาในคืนนั้นทั้งคืนขุดเรื่องราวของผู้หญิงคนนั้น เพราะสิ่งที่เค้าพูดกับเรามันไม่ Make sense และในตอนที่ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาในห้อง เราได้ยินเค้าบอกว่าเค้าเป็นคนเช่าห้องนี้ แล้วคุณพาผู้หญิงคนอื่นมาอยู่ในห้องของฉันหรอ ผู้หญิงเก็บเสื้อผ้าในตู้ และขอกุญแจห้องคืนจากเค้า รวมถึงกุญแจรถ และบอกว่าจะไปอยู่ไหนก็ไป เค้าก็พยายามเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้นและพาเข้าไปคุยกันสองคนในห้องครัว ซึ่งพอเรามานั่งทบทวนดูอีกที ทำไมตอนนั้นเราถึงไม่เอะใจนะว่าถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นแฟนเก่าจริงๆ ทำไมถึงยังเก็บเสื้อผ้าผู้หญิงไว้ และถ้าเป็นแฟนเก่าจริงๆคนที่เค้าควรปกป้องควรจะเป็นเราที่เป็นคนปัจจุบัน คนที่ควรออกไปจากห้องควรเป็นคนเก่าไม่ใช่หรอ แต่พอเห็นว่าเรากำลังจะออกจากห้อง เค้ารีบหยิบคีย์การ์ดและพาเราออกมาเลย มาคิดดูอีกทีตอนนั้นก็ดึกนะ เค้าไม่ได้เป็นห่วงเราเลยหรอ มันก็เหมือนเวลาพอเรามีสติทุกอย่างมันก็ทำให้เราได้คิดทบทวนอย่างละเอียดอีกครั้ง และพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทั้งหมด เราไม่รู้ว่าที่เราคิดจะเป็นเรื่องจริงทั้งหมดมั้ยนะ ทั้งวันเรานั่งจมอยู่หน้าโทรศัพท์ขุดทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเขา ผู้หญิงเป็นคนชอบเล่นโซเชียลมีเดียมาก มีการเคลื่อนไหวอยู่เรื่อยๆทั้งไลน์ เฟส IG และ tiktok แอพนึงมีประมาณ 2-3 แอคเคาท์ ถ้าดูผ่านๆทางเฟส ไลน์ และIG อาจไม่มีอะไรมาก ในนี้ผู้หญิงไม่เคยโพสอะไรเกี่ยวกับเค้าเลย แต่ทุกอย่างมันรวมอยู่ใน tiktok คนที่ไม่เคยเล่น tiktok อย่างเราก็เลยต้องโหลดแอพมาเพื่อสืบเรื่องราวทั้งหมด
1.เค้าเล่าว่าเจอผู้หญิงคนนั้นผ่านแอพ เริ่มต้นจากการเป็นเพื่อน หลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มคบกัน เริ่มคบกันน่าจะช่วงต้นปี 2021 ถึงปัจจุบัน
2.ทั้ง 2 คนมีช่วงเวลาดีๆด้วยกัน เค้าดูแลผู้หญิงและครอบครัวของผู้หญิงเป็นอย่างดี ครอบครัวของผู้หญิงก็รู้จักและต้อนรับเค้าเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวเหมือนกัน
3.ผู้ชายน่าจะมีปัญหาเรื่องผู้หญิงอยู่เรื่อยๆ จากคำพูดที่เราได้ยินในวันที่ผู้หญิงเข้ามาในห้อง 'กี่ครั้งแล้วที่คุณขอโทษและขอโอกาสจากฉัน' และแคปชั่นต่างๆที่พูดถึงผู้หญิงคนอื่นๆ
4.วันสำคัญสำหรับคู่รักอย่างวาเลนไทน์เค้าบอกว่าต้องเดินทางไปจ.กาฬสินธุ์ เพื่อไปติดต่อเกี่ยวกับธุรกิจ สุดท้ายแล้วเราก็เพิ่งรู้ความจริงว่าเค้าก็ไปเที่ยวด้วยกันตามประสาคู่รัก สำหรับเราเค้าส่งข้อความมาบอกว่า 'you are my val'
5.วันงานแต่งน้าเราที่เค้าบอกว่าไปเกาะช้าง เค้าก็ไปด้วยกันนั่นแหละค่ะ ระหว่างที่เค้าเที่ยวด้วยกันก็ยังส่งข้อความมาหยอดอยู่เลยว่าครั้งหน้าจะไม่พลาดมาเจอครอบครัวเราแน่ๆ 555
ก็ประมาณนี้ค่ะเรื่องราวความรักครั้งแรกของเรา ครั้งแรกทุกอย่างจริงๆค่ะ เพราะตลอดชีวิตเราไม่เคยคบกับผู้ชายคนไหนเลย และเค้าก็เข้ามาเหมือนรู้ว่าจุดอ่อนของผู้หญิงแบบเรามันเป็นยังไง การวางตัว การดูแลเทคแคร์เอาใจใส่ คำพูดต่างๆ ถึงเราจะบอกว่าไม่ยากที่จะตกหลุมสุดท้ายก็หลงเชื่ออยู่ดี คำพูดตอนที่เค้ามาขอโอกาส น้ำตาซึมๆก็ทำเราใจอ่อนแล้ว เค้าเล่าให้ฟังว่าวันนั้นเค้าถามผู้หญิงคนนั้นว่า คุณยังจะต้องการอะไรอีก ต้องการเซ็กส์หรอ ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะทำให้แล้วก็ไปจากผมซะ บลาๆ โอ้โห พอมาคิดดูอีกทีก็นั่นแหละ..เราเชื่อไปได้ยังไงนะ ไม่อยากคิดเลยว่าเค้าจะพูดถึงเรายังไงบ้างตอนที่ไปขอโอกาสคืนดีกับผู้หญิงคนนั้น ที่เรารู้ว่าเค้ากลับไปคืนดีกันก็ tiktok อีกนั่นแหละ 'แม้จะรู้ว่าเค้าทำผิดพลาด แต่ในเมื่อเค้าร้องขอโอกาสฉันก็พร้อมที่จะให้โอกาสเค้าเสมอ'
เห็นแบบนั้นในใจมันตีกันไปหมด จะแกล้งทำเป็นเอาหูเอานาเอาตาไปไร่แล้วดูเค้าเล่นละครไปเรื่อยๆ หรือตัดจบแค่นี้ สุดท้ายก็เลือกอย่างหลังค่ะ หลังจากกลับจากทริปเกาะล้าน 2วันต่อมาเค้าก็บินไปพม่า แต่ติดตม.พม่าที่ไม่ยอมให้คนผิวดำเข้า เค้าบอกว่าเพราะคนผิวดำคนอื่นๆสร้างปัญหาที่นี่เค้าเลยพลอยซวยไปด้วย เราถามเค้าว่าทำไมไม่บอกไปล่ะว่าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจอยู่ที่นั่น เค้าก็บอกว่าบอกไปแล้วแต่ก็ทำไรไม่ได้ สุดท้ายแล้วเค้าก็ต้องกลับไปไนจีเรีย 1 เดือน ถึงจะกลับมาที่พม่าได้อีก ตอนที่เค้าอยู่สนามบินเค้าก็คอลมาหาเราบอกว่าถ้ารู้ว่าต้องไปเป็นเดือนแบบนี้ผมจะเอาคีย์การ์ดและกุญแจห้องไว้ให้คุณ เผื่อคุณอยากจะเข้าไปทำความสะอาดหรือนั่งเล่นในห้อง พอซื้อตั๋วกลับไนจีเรียเค้าบอกว่าต้องกลับมาขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิ ซึ่งมันจะมีเวลาอีก 1 คืนในกรุงเทพก่อนบินในตอนเช้า เราก็ถามเค้าว่าจะกลับมาพักที่คอนโดหรือจะพักแถวสนามบินล่ะ เค้าบอกว่าอาจจะเป็นคอนโดอื่นไม่ไกลจากเรา หรือไม่ก็คอนโดเดิมแต่ห้องอื่น เราก็เอ๊ะ!ละนะ ถามต่อว่าทำไมต้องไปที่อื่น เมื่อตอนคอลกันยังบอกเราอยู่เลยว่าจะเอากุญแจห้องให้เรา สิ่งที่เค้าตอบกลับมาคือ ผมย้ายออกมาแล้ว WTF เราก็แอบเหน็บกลับไปว่าเอาเวลาตอนไหนไปย้ายของออกล่ะพ่อ เร็วจัง เค้าก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ สุดท้ายแล้วเราก็รวบรวมคลิปและรูปภาพทั้งหมดที่ขุดได้ส่งให้เขา และบอกว่าเราขอจบแค่นี้ และบล็อคเค้าทันที
ประสบการณ์รักครั้งแรกของสาวโสดวัย 30 กับหนุ่มผิวสี
เรากับเค้าเจอกันที่ห้างสรรพสินค้า เราเป็นพนักงานที่พอจะพูดภาษาได้บ้างก็เลยเข้าไปช่วยเค้า ตอนนั้นเค้าขอไลน์เราไว้ เราไม่ได้คิดอะไร ให้ไปเพราะเห็นว่าเป็นลูกค้าต่างชาติ เผื่อเค้าต้องการความช่วยเหลืออย่างอื่น ตั้งแต่วันนั้นเกือบ 2 เดือนเค้าก็ทักมา บอกว่าที่หายไปเพราะคิดว่าเราแต่งงานแล้ว เลยไม่กล้าทักมา เราก็บอกว่าเราโสด เค้าบอกว่างั้นดีเลย ผมตกหลุมรักคุณตั้งแต่แรกเห็น แต่งงานกันได้มั้ย ที่จริงแล้วมันมีคำพูดหวานๆมากกว่านี้ แต่ก็นั่นแหละ เราก็ปฏิเสธไปตามระเบียบ บอกไปว่าแม้แต่การคบหาแบบแฟนฉันก็ยังไม่เคยคบกับผู้ชายคนไหนเลย จะให้แต่งแล้วหรอ เร็วไปนะ เค้าก็บอกว่าเค้ารอได้ จากตอนแรกที่ไม่อยากคุยเราก็เลยลองให้โอกาสตัวเอง เปิดใจคุยกับเค้า เค้าอายุ 42 มาจากประเทศเบนิน เป็นเจ้าของธุรกิจนำเข้า-ส่งออกเชียร์บัตเตอร์ บริษัทแม่อยู่ที่พม่า แต่เหมือนจะมาสร้างฐานเพิ่มที่ประเทศไทย เคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว มีลูกแฝด 2 คน และหย่ากับภรรยาชาวไนจีเรียแล้ว เราคุยกันมาเรื่อยๆ นัดเจอ นัดเดตกัน เค้าเป็นคนที่มีวาทศิลป์ในการพูดคุย พูดยังไงให้ดูน่าเชื่อถือ แต่เราก็ไม่ใช่คนที่เชื่อลมปากคนง่ายขนาดนั้น เราเป็นคนที่มีกำแพงในใจสูงมากพอสมควร และก็เคยบอกเค้าไปแล้วว่า ถึงคำพูดหวานๆของเค้าจะทำให้เรายิ้มและมีความสุข แต่มันไม่ได้ทำให้เราตกหลุมรักง่ายๆหรอกนะ เค้าก็บอกว่าเค้ารู้และเค้าก็จะพยายามชนะใจเราให้ได้
ครั้งแรกที่ไปห้องพักของเค้าที่คอนโดวันนั้นเค้าไม่สบายเราก็เลยตัดสินใจไปเยี่ยม ถามว่าตอนนั้นคิดยังไง เป็นผู้หญิงทำไมถึงกล้าไปหาเค้า ไม่กลัวหรอ เราคิดแค่ว่าทำไมจะไปไม่ได้ล่ะ ก็จะได้รู้ไปเลยว่าเค้าจะทำอะไรเรามั้ย สรุปวันนั้นเราแค่กินข้าวกัน ที่จริงตอนที่ไปหาเค้าอาการดีขึ้นมากแล้ว ดีจนสามารถทำอาหารไว้รอเราเลย วันนั้นไม่มีอะไรเกินเลยแม้แต่การจับมือ ตรงนั้นมันเลยเป็นอะไรที่เราค่อนข้างประทับใจ
เมื่อวันที่ 7 กุมภาที่ผ่านมา เป็นวันเกิดของแม่เรา เรามีแพลนที่จะพาพ่อกับแม่ไปกินอาหารค่ำอยู่แล้ว เลยชวนเค้าไปด้วยเพื่อไปแนะนำให้พ่อกับแม่รู้จักและรับรู้ว่าเรากำลังคบหากับเค้าอยู่ ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี พ่อกับแม่เราไม่ได้ห้ามแต่ก็บอกให้เราค่อยๆคบค่อยๆดูไป ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไรมากเรื่องการพาเค้าไปเจอพ่อแม่ หลายคนมองว่าพาไปเจอขนาดนั้นแสดงว่าเริ่มจริงจังแล้ว ก็น่าจะเป็นแบบนั้น เราแค่อยากแสดงความบริสุทธิ์ใจในการคบหากับเค้า คบกันแบบที่พ่อกับแม่รับรู้เฉยๆ วันนั้นเราเลยชวนเค้าไปงานแต่งงานของน้าเราที่จ.สระแก้ว วันที่ 5 มีนา เค้าก็บอกว่ายังไม่รับปากเพราะอาจติดงานด่วน
อ้อ..เราลืมเล่าให้ฟังว่าเค้าทำงานอยู่หน้าคอมกับโทรศัพท์ มีออฟฟิศอยู่พระราม3 มีลูกน้องคอยทำงานอยู่ที่นั่น เค้าบอกเราว่าเวลามีออเดอร์เข้าเค้าจะไปที่นั่น เราเคยบอกให้เค้าถ่ายรูปบรรยากาศตอนทำงานที่นั่นมาให้ดูหน่อย เพราะอยากรู้ว่าเค้าทำงานกันยังไง เค้าก็พยายามบ่ายเบี่ยงและถ่ายวิดีโอเป็นบรรยากาศนอกระเบียงมาให้แทน เราเลยแซะเค้ากลับไปว่า วิวสวยดีถึงจะเป็นอะไรที่เราไม่อยากเห็นก็ตาม เค้าก็เงียบไป 555 แต่ก็นั่นแหละ ความสงสัยมันก็เริ่มเกิดขึ้น แต่เราก็ปล่อยให้มันผ่านไปเพราะคิดว่าเค้าอาจจะไม่พร้อมให้เรารับรู้
มาพูดถึงเรื่องงานแต่งน้าต่อ พอใกล้ๆวันงานเราก็ถามเค้าอีกครั้งนึงว่าสรุปจะไปมั้ย เค้าก็บอกว่าเค้ายังไม่พร้อมที่จะไปเจอญาติพี่น้องเรา เราก็โอเค ไม่เป็นไร พอวันที่ 5 มีนา เค้าบอกว่ากำลังเดินทางไปเกาะช้าง ตามประสาผู้หญิง..เราก็ถามไปนั่นแหละว่าไปกับใคร เค้าบอกว่าขับรถไปคนเดียวแล้วไปเจอกับเพื่อนที่นู่น ถึงที่เกาะช้างเค้าก็ส่งรูปที่เค้านั่งอยู่ที่ร้านอาหารมาให้ รูปนึงเป็นรูปเซลฟี่ อีกรูปเป็นรูปที่มีคนถ่ายให้ แต่เซนส์ผู้หญิงอย่างเรามันแรงอ่ะค่ะ ถึงเค้าจะบอกว่าไปกับเพื่อนแต่ไม่รู้ว่าทำไมเราไม่เชื่อ ภาพที่มีคนถ่ายให้ จุดสังเกตของเรามันดันไปอยู่ที่เก้าอี้ข้างๆเค้าที่มีกระเป๋าอยู่ใบนึงวางอยู่ มันเป็นกระเป๋าที่สามารถใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่เรามั่นใจว่าไม่ใช่ของเค้าแน่นอน ถึงจะเห็นแบบนั้นแต่เราก็ไม่ได้ถามอะไร
วันที่ 14-15 มีนา ที่ผ่านมา เราสองคนก็ได้ไปเที่ยวเกาะล้านด้วยกัน วันที่ 13 เราเลิกงานเกือบ 5 ทุ่ม เลยไปพักที่ห้องเค้าเพื่อจะได้เตรียมตัวออกเดินทางในตอนเช้ามืด ประมาณตี 3 มีผู้หญิงคนนึงไขประตูห้องเข้ามา เป็นผู้หญิงที่เค้าเคยบอกว่าเป็นแฟนเก่า เราหน้าชาและทำอะไรไม่ถูก ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ด่าว่าเราแค่พูดประชดประชันว่าได้กันกี่ครั้งแล้วล่ะ เราก็บอกไปว่าแค่นอนเฉยๆ ยังไม่เคยทำอะไรแบบนั้น แต่ด้วยความที่เรายืมเสื้อกับกางเกงเค้าใส่นอนผู้หญิงเค้าเลยไม่เชื่อ เราบอกผู้หญิงไปว่า พี่จะว่าหนูยังไงก็ได้แต่หนูไม่รู้จริงๆ หลังจากนั้นเราเลยหอบกระเป๋าออกมาจากห้องเค้า เค้าต้องเดินมาส่งเพราะถ้าออกจากคอนโดต้องใช้คีย์การ์ด เดินมาส่งที่รถเราแล้วก็บอกว่าอย่าเพิ่งไปไหน เค้าขอเคลียร์กับผู้หญิงคนนั้นก่อน
ด้วยความโมโหเราก็ไม่ได้รอเค้าค่ะ ตอนนั้นตี3ตี4ไม่รู้จะไปไหน กลับบ้านก็กลัวพ่อแม่ถาม เลยขับรถไปบางแสน กะว่าในเมื่อไม่ได้ไปเกาะล้านเราก็คงจะเช่าโรงแรมนอนที่นี่คนเดียวนี่แหละ ระหว่างขับรถเค้าก็พยายามติดต่อเราค่ะ แต่เราไม่รับสาย เค้าส่งข้อความมาบอกว่าจบกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว และขอโอกาสจากเรา เราสับสนมาก ทั้งรักทั้งเสียใจ สุดท้ายเราก็ยอมบอกเค้าว่าเราอยู่ที่ไหน เค้าก็ขับรถตามมา สุดท้ายเราก็ข้ามไปเกาะล้านด้วยกัน และไปพูดคุยปรับความเข้าใจกัน เราไม่ได้เชื่อในสิ่งที่เค้าพูดทั้งหมด แต่ก็ให้โอกาสเค้า เราคิดว่าไหนก็ได้มาเที่ยวแล้วก็ไม่อยากให้อะไรมากวนใจ เราพยายามลืมเรื่องที่เกิดขึ้นและใช้เวลากับเค้า และใช่ค่ะในเมื่อผู้หญิงกับผู้ชายอยู่ด้วยกันเรื่องอย่างว่าก็เกิดขึ้น และนั่นก็เป็นครั้งแรกของเราด้วย ถ้าถามว่าตอนนั้นคิดอะไรทำไมถึงปล่อยให้เป็นแบบนั้น เราแค่ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติและความรู้สึกค่ะ และเราก็เตรียมพร้อมเรื่องการป้องกันต่างๆ และด้วยอายุและวุฒิภาวะของเรา เราคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ เราไม่ได้อินเรื่องความเวอร์จิ้นขนาดนั้น ถ้าครั้งแรกจะเกิดขึ้นก็ขอให้มันเกิดกับคนที่เรารัก จนวันที่ 15 ตอนเย็นเราขับรถถึงกรุงเทพ เราก็บอกว่าขับรถเหนื่อย ขอไปพักที่ห้องเค้าก่อนกลับบ้าน เค้าวุ่นวายกับการเตรียมตัวไปต่อวีซ่าที่พม่า เก็บกระเป๋านู่นนี่ เราเลยไม่ค่อยได้คุยกัน แต่สิ่งที่เราสังเกตเห็นคือรูปคู่ของเรากับเค้าที่เคยวางไว้บนชั้นมันหายไป เลยถามเค้าว่ามันหายไปไหน เค้าบอกว่าผู้หญิงคนนั้นเขวี้ยงแตกไปแล้ว เราก็พยักหน้าทำเป็นเชื่อ เค้าบอกว่ากำลังคิดเรื่องย้ายออกจากที่นี่ เพราะรู้ว่าเราคงไม่สบายใจที่จะมาที่นี่อีก แต่สัญญามันเหลืออีก 6 เดือน เค้าเลยยังทำอะไรไม่ได้ เราก็พยักหน้าหงึกๆทำเป็นคนว่าง่ายอีก แล้วเราก็กลับบ้าน
ด้วยความเป็นนักขุด เราใช้เวลาในคืนนั้นทั้งคืนขุดเรื่องราวของผู้หญิงคนนั้น เพราะสิ่งที่เค้าพูดกับเรามันไม่ Make sense และในตอนที่ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาในห้อง เราได้ยินเค้าบอกว่าเค้าเป็นคนเช่าห้องนี้ แล้วคุณพาผู้หญิงคนอื่นมาอยู่ในห้องของฉันหรอ ผู้หญิงเก็บเสื้อผ้าในตู้ และขอกุญแจห้องคืนจากเค้า รวมถึงกุญแจรถ และบอกว่าจะไปอยู่ไหนก็ไป เค้าก็พยายามเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้นและพาเข้าไปคุยกันสองคนในห้องครัว ซึ่งพอเรามานั่งทบทวนดูอีกที ทำไมตอนนั้นเราถึงไม่เอะใจนะว่าถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นแฟนเก่าจริงๆ ทำไมถึงยังเก็บเสื้อผ้าผู้หญิงไว้ และถ้าเป็นแฟนเก่าจริงๆคนที่เค้าควรปกป้องควรจะเป็นเราที่เป็นคนปัจจุบัน คนที่ควรออกไปจากห้องควรเป็นคนเก่าไม่ใช่หรอ แต่พอเห็นว่าเรากำลังจะออกจากห้อง เค้ารีบหยิบคีย์การ์ดและพาเราออกมาเลย มาคิดดูอีกทีตอนนั้นก็ดึกนะ เค้าไม่ได้เป็นห่วงเราเลยหรอ มันก็เหมือนเวลาพอเรามีสติทุกอย่างมันก็ทำให้เราได้คิดทบทวนอย่างละเอียดอีกครั้ง และพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทั้งหมด เราไม่รู้ว่าที่เราคิดจะเป็นเรื่องจริงทั้งหมดมั้ยนะ ทั้งวันเรานั่งจมอยู่หน้าโทรศัพท์ขุดทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเขา ผู้หญิงเป็นคนชอบเล่นโซเชียลมีเดียมาก มีการเคลื่อนไหวอยู่เรื่อยๆทั้งไลน์ เฟส IG และ tiktok แอพนึงมีประมาณ 2-3 แอคเคาท์ ถ้าดูผ่านๆทางเฟส ไลน์ และIG อาจไม่มีอะไรมาก ในนี้ผู้หญิงไม่เคยโพสอะไรเกี่ยวกับเค้าเลย แต่ทุกอย่างมันรวมอยู่ใน tiktok คนที่ไม่เคยเล่น tiktok อย่างเราก็เลยต้องโหลดแอพมาเพื่อสืบเรื่องราวทั้งหมด
1.เค้าเล่าว่าเจอผู้หญิงคนนั้นผ่านแอพ เริ่มต้นจากการเป็นเพื่อน หลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มคบกัน เริ่มคบกันน่าจะช่วงต้นปี 2021 ถึงปัจจุบัน
2.ทั้ง 2 คนมีช่วงเวลาดีๆด้วยกัน เค้าดูแลผู้หญิงและครอบครัวของผู้หญิงเป็นอย่างดี ครอบครัวของผู้หญิงก็รู้จักและต้อนรับเค้าเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวเหมือนกัน
3.ผู้ชายน่าจะมีปัญหาเรื่องผู้หญิงอยู่เรื่อยๆ จากคำพูดที่เราได้ยินในวันที่ผู้หญิงเข้ามาในห้อง 'กี่ครั้งแล้วที่คุณขอโทษและขอโอกาสจากฉัน' และแคปชั่นต่างๆที่พูดถึงผู้หญิงคนอื่นๆ
4.วันสำคัญสำหรับคู่รักอย่างวาเลนไทน์เค้าบอกว่าต้องเดินทางไปจ.กาฬสินธุ์ เพื่อไปติดต่อเกี่ยวกับธุรกิจ สุดท้ายแล้วเราก็เพิ่งรู้ความจริงว่าเค้าก็ไปเที่ยวด้วยกันตามประสาคู่รัก สำหรับเราเค้าส่งข้อความมาบอกว่า 'you are my val'
5.วันงานแต่งน้าเราที่เค้าบอกว่าไปเกาะช้าง เค้าก็ไปด้วยกันนั่นแหละค่ะ ระหว่างที่เค้าเที่ยวด้วยกันก็ยังส่งข้อความมาหยอดอยู่เลยว่าครั้งหน้าจะไม่พลาดมาเจอครอบครัวเราแน่ๆ 555
ก็ประมาณนี้ค่ะเรื่องราวความรักครั้งแรกของเรา ครั้งแรกทุกอย่างจริงๆค่ะ เพราะตลอดชีวิตเราไม่เคยคบกับผู้ชายคนไหนเลย และเค้าก็เข้ามาเหมือนรู้ว่าจุดอ่อนของผู้หญิงแบบเรามันเป็นยังไง การวางตัว การดูแลเทคแคร์เอาใจใส่ คำพูดต่างๆ ถึงเราจะบอกว่าไม่ยากที่จะตกหลุมสุดท้ายก็หลงเชื่ออยู่ดี คำพูดตอนที่เค้ามาขอโอกาส น้ำตาซึมๆก็ทำเราใจอ่อนแล้ว เค้าเล่าให้ฟังว่าวันนั้นเค้าถามผู้หญิงคนนั้นว่า คุณยังจะต้องการอะไรอีก ต้องการเซ็กส์หรอ ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะทำให้แล้วก็ไปจากผมซะ บลาๆ โอ้โห พอมาคิดดูอีกทีก็นั่นแหละ..เราเชื่อไปได้ยังไงนะ ไม่อยากคิดเลยว่าเค้าจะพูดถึงเรายังไงบ้างตอนที่ไปขอโอกาสคืนดีกับผู้หญิงคนนั้น ที่เรารู้ว่าเค้ากลับไปคืนดีกันก็ tiktok อีกนั่นแหละ 'แม้จะรู้ว่าเค้าทำผิดพลาด แต่ในเมื่อเค้าร้องขอโอกาสฉันก็พร้อมที่จะให้โอกาสเค้าเสมอ'
เห็นแบบนั้นในใจมันตีกันไปหมด จะแกล้งทำเป็นเอาหูเอานาเอาตาไปไร่แล้วดูเค้าเล่นละครไปเรื่อยๆ หรือตัดจบแค่นี้ สุดท้ายก็เลือกอย่างหลังค่ะ หลังจากกลับจากทริปเกาะล้าน 2วันต่อมาเค้าก็บินไปพม่า แต่ติดตม.พม่าที่ไม่ยอมให้คนผิวดำเข้า เค้าบอกว่าเพราะคนผิวดำคนอื่นๆสร้างปัญหาที่นี่เค้าเลยพลอยซวยไปด้วย เราถามเค้าว่าทำไมไม่บอกไปล่ะว่าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจอยู่ที่นั่น เค้าก็บอกว่าบอกไปแล้วแต่ก็ทำไรไม่ได้ สุดท้ายแล้วเค้าก็ต้องกลับไปไนจีเรีย 1 เดือน ถึงจะกลับมาที่พม่าได้อีก ตอนที่เค้าอยู่สนามบินเค้าก็คอลมาหาเราบอกว่าถ้ารู้ว่าต้องไปเป็นเดือนแบบนี้ผมจะเอาคีย์การ์ดและกุญแจห้องไว้ให้คุณ เผื่อคุณอยากจะเข้าไปทำความสะอาดหรือนั่งเล่นในห้อง พอซื้อตั๋วกลับไนจีเรียเค้าบอกว่าต้องกลับมาขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิ ซึ่งมันจะมีเวลาอีก 1 คืนในกรุงเทพก่อนบินในตอนเช้า เราก็ถามเค้าว่าจะกลับมาพักที่คอนโดหรือจะพักแถวสนามบินล่ะ เค้าบอกว่าอาจจะเป็นคอนโดอื่นไม่ไกลจากเรา หรือไม่ก็คอนโดเดิมแต่ห้องอื่น เราก็เอ๊ะ!ละนะ ถามต่อว่าทำไมต้องไปที่อื่น เมื่อตอนคอลกันยังบอกเราอยู่เลยว่าจะเอากุญแจห้องให้เรา สิ่งที่เค้าตอบกลับมาคือ ผมย้ายออกมาแล้ว WTF เราก็แอบเหน็บกลับไปว่าเอาเวลาตอนไหนไปย้ายของออกล่ะพ่อ เร็วจัง เค้าก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ สุดท้ายแล้วเราก็รวบรวมคลิปและรูปภาพทั้งหมดที่ขุดได้ส่งให้เขา และบอกว่าเราขอจบแค่นี้ และบล็อคเค้าทันที