สวัสดีค่า เราคือผู้บกพร่องทางสายตาคนนึง ที่ตามหาความเท่าเทียมมาโดยตลอด และเราไม่สามารถหาได้จากที่ไทย เลยตัดสินใจเตรียมความพร้อม บินลัดฟ้าไปเรียนต่อแคนาดา พร้อมวางแผนอยู่ยาว🇹🇭🇨🇦✈️
เอาจริง เรื่องการหางานเป็นเรื่องเดียวที่กังวลมากที่สุดตั้งแต่คิดว่าจะมาเรียนที่นี่ เพราะอย่างที่รู้กัน คนส่วนใหญ่ที่มาเรียน ตปท. จะทำพวกงานเสิร์ฟ หรือ housekeeper ใดๆก็ว่าไป ซึ่งมันอาจจะลำบากสำหรับคนที่มีปัญหาด้านสายตา
ช่วงตัดสินใจคนก็ถามเยอะ ว่าจะไปทำงานอะไร บางคนก็บอกว่า “ไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับหรอก บ. เค้าก็อยากได้คนปกติเข้าไปทำงานทั้งนั้น”
เห็นแถบตะวันตกเค้าโปรโมทเรื่องความเท่าเทียมทางสังคม เลยแบบ อะ ลองสักตั้ง คำดูถูกมันท้าทายดี จ่ายค่าเทอม ขอวีซ่าเลยแล้วกัน ค่อยหาคำตอบทีหลังว่าผลลัพธ์จะเป็นไง
เหมือนโชคเข้าข้าง หรือเป็นสายมู หรือใดๆก็แล้วแต่ กำลังจะกดคอนเฟิร์มชำระค่าหอพัก Job Advertisement ก็ป๊อบอัพขึ้นมา “Are you interested in being a Resident Advisor? นี่ก็เข้าไปกรอกใบสมัคร ส่ง Resume ไป ผ่านไปไม่กี่วันก็มีเมลมาเรียกสัมภาษณ์
ทีแรกจะเรียกสัมฯแบบ in person เราเลยบอกว่า ยังอยู่ไทยอยู่เลยจ้า Zoom ได้มั้ยยย บอสก็น่ารักมากก นัดบ่าย 2 แคนาดา ซึ่งมันคือตี 2 บ้านเรา!!! Thanks goddd! เราเลยขอเปลี่ยนเป็น 10 โมงเช้า (4 ทุ่ม) เพราะต้องมีสติ 100% ถ้ารู้ว่าจะเริ่มต้นไม่ดี ก็จะไม่เริ่มมันเลย
คำถามทุกคำถามเป็นคำถามจิตวิทยา ไม่ถามเรื่องส่วนตัวใดๆเลย มีประมาณ 13 คำถาม + 2 สถานการณ์จำลอง เดี๋ยวสรุปให้นะ เริ่ม!
Q “ถ้าเพื่อนเป็น homesick แล้วไม่ยอมร่วมกิจกรรม จะมีวิธีอะไรที่ทำให้เพื่อนเข้าร่วมกิจกรรม”
A “จริงๆแล้วรู้สึกว่าคนที่เป็น Homesick เค้าต้องการคนที่อยู่ข้างๆเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจนะ อย่างตอนเราไปอเมริกาเราก็เป็น และสิ่งเดียวที่จะเยียวยาได้คือมิตรภาพที่ดี เราเป็นคนเฮฮา ชอบเอนเตอร์เทนคนอื่น ถ้าเรามีเพื่อนเป็น Homesick เราจะเบี่ยงเบนความสนใจโดยการพาเค้าออกไป Hangouts จนเค้ารู้สึกว่าเราคือที่ปลอดภัย วิธีนี้อาจจะเป็นวิธีที่ทำให้เค้าหายคิดถึงบ้านได้บ้าง”
Q “ถ้าเพื่อนโดน Discriminate มีวิธีให้กำลังใจยังไงบ้าง”
A “เราจะพยายามเอาข้อดีของเค้ามาพูด เช่น เราเข้าใจนะว่าการโดนแบ่งแยกไม่ได้ทำให้ใครรู้สึกดี แต่เธอลองกลับมาดูตัวเองสิ มีดีตั้งเยอะแยะ เรียนเก่ง ขยัน อดทน ฯลฯ อย่ามองจุดดำๆแค่จุดเดียวเลย…นี่เป็นคำพูดที่เราได้ยินจากคนอื่นตอนเราเป็น victim และเราจะส่งต่อคำพูดนี้ให้กับคนที่กำลังเผชิญสถานการณ์แบบเดียวกัน”
Q “นิยามการเป็นหัวหน้าว่าอย่างไร”
A “สำหรับเรา หัวหน้าไม่ใช่คนที่ใช้แต่พาวเวอร์ และหลงระเริงในอำนาจ ถ้าเราได้รับตำแหน่งนี้ เราจะเป็นมิตรที่ดีกับทุกคน เมื่อเราบอกอะไรไป เค้าจะได้ทำตามอย่างสบายใจ”
Q “ถ้าพูดแล้วคนไม่ฟัง จะใช้ทฤษฎีอะไรที่จะทำให้เค้าฟัง”
A สตั้นไป 1…ก็…จะพูดเหตุผลที่เค้าอยากฟัง แล้วก็ยกตัวอย่าง ซึ่งลืมละ ว่าพูดไรไป 555 อันนี้ตอบได้ไม่ดี
Q “มีวิธีการบริหารงานยังไง”
A “เราเป็นคนเกลียดการดองงานมาก และทุกครั้งที่เราได้รับงานมา จะเก็บรายละเอียดให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการจดโน้ด อัดเสียง หรือวิธีอื่นๆที่จะทำได้ เพื่อให้งานถูกต้องและครบถ้วนที่สุด งานจะเสร็จตั้งแต่วันแรกๆ ไม่มีทางทำก่อนเดทไลน์แน่นอน”
Q “คิดว่าสกิลใดสำคัญที่สุดสำหรับตำแหน่งนี้”
A “Planning Skills, interpersonal skills, and problem-solving skills
Q “ถ้ามี superpower อยากทำอะไร”
A “อยากมีโลกส่วนตัวน้อยลง อยากเข้าได้กับทุกคน และอยากรับฟังทุกคนได้ทุกเมื่อที่เค้าต้องการ อยากออกจากการเป็น Introvert เพราะอยากมีชีวิตเพื่อคนอื่นมากกว่านี้”
Q “มีแพลนอยากทำไรเพื่อสังคมบ้าง”
A “อนาคตอยากทำงานกับมูลนิธิ โดยเฉพาะมูลนิธิผู้พิการทางสายตา เราหาข้อมูลมาแล้วว่าที่ลอนดอนก็มี เพราะเราเคยเป็นคนนึงที่หาทางออกไม่ได้ ไม่มีใครยื่นมือมาช่วยเหลือ วันนี้เราประสบความสำเร็จ เลยอยากส่งต่อสิ่งดีๆให้คนอื่นบ้าง”
The End
1 อาทิตย์ถัดมา หลังจากไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในคืนนั้น ไม่ถึงชั่วโมง เสียงอีเมลก็ดังขึ้น
Good Morning Chitlada,
Thank you for taking the time to meet us for an interview.
I would like to offer you a position as a Resident advisor for the winter term. Please see the attached offer.
ไม่นงไม่นอนมันแล้วคืนนั้น เซนสัญญาเลยยย!
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้ามีความรู้ความสามารถและทัศนคติที่ดีติดตัวไว้ อยู่ที่ไหนก็ไม่อดตาย
🙏🏻🙏🏻🙏🏻ขอบคุณสำหรับโอกาสดีๆ🙏🏻🙏🏻🙏🏻
ติดตามเรื่องราวและประสบการณ์ดีๆจากเราได้ที่เพจ “เรื่องเล่าจากแคนาดา ผ่านดวงตาที่อิสระ”
รีวิว “ทำอย่างไรให้ได้ Job Offer ตั้งแต่ยังไม่มาถึงแคนาดา🇨🇦”
เอาจริง เรื่องการหางานเป็นเรื่องเดียวที่กังวลมากที่สุดตั้งแต่คิดว่าจะมาเรียนที่นี่ เพราะอย่างที่รู้กัน คนส่วนใหญ่ที่มาเรียน ตปท. จะทำพวกงานเสิร์ฟ หรือ housekeeper ใดๆก็ว่าไป ซึ่งมันอาจจะลำบากสำหรับคนที่มีปัญหาด้านสายตา
ช่วงตัดสินใจคนก็ถามเยอะ ว่าจะไปทำงานอะไร บางคนก็บอกว่า “ไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับหรอก บ. เค้าก็อยากได้คนปกติเข้าไปทำงานทั้งนั้น”
เห็นแถบตะวันตกเค้าโปรโมทเรื่องความเท่าเทียมทางสังคม เลยแบบ อะ ลองสักตั้ง คำดูถูกมันท้าทายดี จ่ายค่าเทอม ขอวีซ่าเลยแล้วกัน ค่อยหาคำตอบทีหลังว่าผลลัพธ์จะเป็นไง
เหมือนโชคเข้าข้าง หรือเป็นสายมู หรือใดๆก็แล้วแต่ กำลังจะกดคอนเฟิร์มชำระค่าหอพัก Job Advertisement ก็ป๊อบอัพขึ้นมา “Are you interested in being a Resident Advisor? นี่ก็เข้าไปกรอกใบสมัคร ส่ง Resume ไป ผ่านไปไม่กี่วันก็มีเมลมาเรียกสัมภาษณ์
ทีแรกจะเรียกสัมฯแบบ in person เราเลยบอกว่า ยังอยู่ไทยอยู่เลยจ้า Zoom ได้มั้ยยย บอสก็น่ารักมากก นัดบ่าย 2 แคนาดา ซึ่งมันคือตี 2 บ้านเรา!!! Thanks goddd! เราเลยขอเปลี่ยนเป็น 10 โมงเช้า (4 ทุ่ม) เพราะต้องมีสติ 100% ถ้ารู้ว่าจะเริ่มต้นไม่ดี ก็จะไม่เริ่มมันเลย
คำถามทุกคำถามเป็นคำถามจิตวิทยา ไม่ถามเรื่องส่วนตัวใดๆเลย มีประมาณ 13 คำถาม + 2 สถานการณ์จำลอง เดี๋ยวสรุปให้นะ เริ่ม!
Q “ถ้าเพื่อนเป็น homesick แล้วไม่ยอมร่วมกิจกรรม จะมีวิธีอะไรที่ทำให้เพื่อนเข้าร่วมกิจกรรม”
A “จริงๆแล้วรู้สึกว่าคนที่เป็น Homesick เค้าต้องการคนที่อยู่ข้างๆเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจนะ อย่างตอนเราไปอเมริกาเราก็เป็น และสิ่งเดียวที่จะเยียวยาได้คือมิตรภาพที่ดี เราเป็นคนเฮฮา ชอบเอนเตอร์เทนคนอื่น ถ้าเรามีเพื่อนเป็น Homesick เราจะเบี่ยงเบนความสนใจโดยการพาเค้าออกไป Hangouts จนเค้ารู้สึกว่าเราคือที่ปลอดภัย วิธีนี้อาจจะเป็นวิธีที่ทำให้เค้าหายคิดถึงบ้านได้บ้าง”
Q “ถ้าเพื่อนโดน Discriminate มีวิธีให้กำลังใจยังไงบ้าง”
A “เราจะพยายามเอาข้อดีของเค้ามาพูด เช่น เราเข้าใจนะว่าการโดนแบ่งแยกไม่ได้ทำให้ใครรู้สึกดี แต่เธอลองกลับมาดูตัวเองสิ มีดีตั้งเยอะแยะ เรียนเก่ง ขยัน อดทน ฯลฯ อย่ามองจุดดำๆแค่จุดเดียวเลย…นี่เป็นคำพูดที่เราได้ยินจากคนอื่นตอนเราเป็น victim และเราจะส่งต่อคำพูดนี้ให้กับคนที่กำลังเผชิญสถานการณ์แบบเดียวกัน”
Q “นิยามการเป็นหัวหน้าว่าอย่างไร”
A “สำหรับเรา หัวหน้าไม่ใช่คนที่ใช้แต่พาวเวอร์ และหลงระเริงในอำนาจ ถ้าเราได้รับตำแหน่งนี้ เราจะเป็นมิตรที่ดีกับทุกคน เมื่อเราบอกอะไรไป เค้าจะได้ทำตามอย่างสบายใจ”
Q “ถ้าพูดแล้วคนไม่ฟัง จะใช้ทฤษฎีอะไรที่จะทำให้เค้าฟัง”
A สตั้นไป 1…ก็…จะพูดเหตุผลที่เค้าอยากฟัง แล้วก็ยกตัวอย่าง ซึ่งลืมละ ว่าพูดไรไป 555 อันนี้ตอบได้ไม่ดี
Q “มีวิธีการบริหารงานยังไง”
A “เราเป็นคนเกลียดการดองงานมาก และทุกครั้งที่เราได้รับงานมา จะเก็บรายละเอียดให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการจดโน้ด อัดเสียง หรือวิธีอื่นๆที่จะทำได้ เพื่อให้งานถูกต้องและครบถ้วนที่สุด งานจะเสร็จตั้งแต่วันแรกๆ ไม่มีทางทำก่อนเดทไลน์แน่นอน”
Q “คิดว่าสกิลใดสำคัญที่สุดสำหรับตำแหน่งนี้”
A “Planning Skills, interpersonal skills, and problem-solving skills
Q “ถ้ามี superpower อยากทำอะไร”
A “อยากมีโลกส่วนตัวน้อยลง อยากเข้าได้กับทุกคน และอยากรับฟังทุกคนได้ทุกเมื่อที่เค้าต้องการ อยากออกจากการเป็น Introvert เพราะอยากมีชีวิตเพื่อคนอื่นมากกว่านี้”
Q “มีแพลนอยากทำไรเพื่อสังคมบ้าง”
A “อนาคตอยากทำงานกับมูลนิธิ โดยเฉพาะมูลนิธิผู้พิการทางสายตา เราหาข้อมูลมาแล้วว่าที่ลอนดอนก็มี เพราะเราเคยเป็นคนนึงที่หาทางออกไม่ได้ ไม่มีใครยื่นมือมาช่วยเหลือ วันนี้เราประสบความสำเร็จ เลยอยากส่งต่อสิ่งดีๆให้คนอื่นบ้าง”
The End
1 อาทิตย์ถัดมา หลังจากไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในคืนนั้น ไม่ถึงชั่วโมง เสียงอีเมลก็ดังขึ้น
Good Morning Chitlada,
Thank you for taking the time to meet us for an interview.
I would like to offer you a position as a Resident advisor for the winter term. Please see the attached offer.
ไม่นงไม่นอนมันแล้วคืนนั้น เซนสัญญาเลยยย!
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้ามีความรู้ความสามารถและทัศนคติที่ดีติดตัวไว้ อยู่ที่ไหนก็ไม่อดตาย
🙏🏻🙏🏻🙏🏻ขอบคุณสำหรับโอกาสดีๆ🙏🏻🙏🏻🙏🏻
ติดตามเรื่องราวและประสบการณ์ดีๆจากเราได้ที่เพจ “เรื่องเล่าจากแคนาดา ผ่านดวงตาที่อิสระ”