รักภักดิ์ดี (7)

กระทู้สนทนา


ชลัน

                   บทที่ 7 ปลดปล่อย

                 "เหอะน่า... น้องกานต์เชื่อใจพี่ พี่บอกแล้วว่าพี่ไม่ปล้ำเด็ก" หนุ่มลูกครึ่งพูดติดตลก พลางโอบไหล่ของหญิงสาวเข้ามากอด เมื่อเปิดประตูห้องออกมาเจอสาวเจ้ายืนรออยู่พอดีและสะพายเป้ที่หลัง ทว่าสายตาที่มองมาคล้ายคนกำลังลังเล

                "กานต์ยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะคะ" กานณดาตอบ

                 "พูดแบบนี้แปลว่าอยากให้พี่ปล้ำแน่ ๆ" ไม่พูดเท่านั้นยังทำสายตามองร่างบางอย่างหยาดเยิ้ม ยกมือลูบริมฝีปาก ทำให้โดนฝ่ามือบางฟาดเข้าต้นแขนอย่างจัง

                 "จะเล่นอีกมั้ย งั้นกานต์ไม่ไปด้วยแล้วนะ"

                "ล้อเล่น ๆ แหม... หยอกนิดอยอกหน่อยแค่นี้เอง ไม่อยากให้คิดมากเรื่องพี่กันต์" ร่างสูงว่า คราวนี้สายตาทอดมองร่างบางตรงหน้าอย่างห่วงใย ไม่มีสายตาขี้เล่นทะเล้นเหมือนเมื่อครู่อีกแล้ว "พี่สัญญาด้วยเกียรติของลูกอิตาลีบวกไชน่า ว่าไปเที่ยวกับน้องกานต์วันนี้ จะดูแลอย่างดีและจะไม่ทำอะไรให้ผิดหวังเสียใจเด็ดขาด" มือหนาชูสามนิ้วคล้ายลูกเสือที่กำลังปฏิญาณตน

                "ดีมาก!" สาวเจ้าตอบ

                "ปะไปกันเหอะ ตอนนี้สี่โมงเย็น ไปถึงนู่นก็คงมืดพอดี อ๊ะ... ไม่ต้องถาม เดี๋ยวน้องกานต์ก็รู้เอง ไปเหอะ" พูดจบก็จูงมือบางเดินไปยังลิฟต์

               มาถึงที่จอดรถจิมมี่เลือกขับบิ๊กไบค์พาหญิงสาวไปเที่ยว จะได้คล่องตัวกว่า เวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด เขามักจะใช้บิ๊กไบค์มากกว่ารถยนต์ ส่วนรถยนต์นั้นมีไว้เพียงขับไปทำงานและพบปะลูกค้า จะได้ดูภูมิฐานและน่าเชื่อถือ ชายหนุ่มเปิดกระเป๋าหยิบเสื้อแขนยาวหนังสีดำที่เตรียมมาด้วยให้กานณดาโดยเฉพาะ

               "น้องกานต์ใส่เสื้อตัวนี้ จะได้กันลมได้" เขาบอก โชคดีที่หญิงสาวแต่งตัวอย่างทะมัดทะแมง กางเกงยีนส์รองเท้าผ้าใบและเสื้อยืดแขนสั้น เพราะเขาไม่ได้บอกว่าจะใช้รถอะไรขับไป พอสาวเจ้าแต่งตัวมาอย่างนี้ เข้าทางเขาไปอีก

              ราวกับว่าชายหนุ่มรู้ความในใจของหล่อนว่ากำลังสงสัยในเสื้อตัวที่จะให้ตนใส่เป็นของใคร เขาก็พูดว่าเสื้อตัวนี้เป็นตัวแถม มันถูกจัดโปรโมชั่นจากเสื้อแขนยาวที่เขาใส่อยู่ ซื้อเสื้อหนึ่งตัวแถมเสื้อคู่อีกหนึ่งตัว ยังไม่เคยมีคนได้ใส่สักคน
              
              "ขอบคุณค่ะ" แล้วกานณดาก็รับมาใส่ ร่างบางใส่เสื้อตัวนี้ได้พอดิบพอดี แม้จะออกหลวมนิดหน่อยไม่เป็นไร ทว่าก็นับว่าสาวเจ้าใส่ได้พอดีเป๊ะ ซึ่งเหมาะกับการได้เป็นเจ้าของที่สุด

             "เชิญคร้าบซินญอริน่า ขึ้นไปนั่งเร็ว" จิมมี่บอก อีกทั้งผายมือให้กานณดาขึ้นไปนั่งตรงตำแหน่งคนซ้อน
             
              ร่างบางทำตามอย่างว่าง่าย ก้าวขาขึ้นไปนั่งบนเบาะตรงตำแหน่งคนซ้อน ขณะนั้นทำให้เกือบเสียหลักนิดหน่อย โชคดีที่จิมมี่คว้าไว้ทัน ไม่อย่างนั้นหล่อนคงหน้าคะมำแน่ ๆ ทั้งคู่หัวเราะให้กันและกัน เบาะตรงตำแหน่งคนซ้อนมันถูกออกแบบมาให้สโลป เพราะเมื่อเวลารถวิ่งมันจะบังคับไปในตัวว่าคนซ้อนจะต้องโน้มตัวไปเกาะเอวคนขับไว้ พอนึกได้อย่างนั้นกานณดาก็กลอกตามองเพดาน 'ร้ายนักนะฝรั่งเนี่ย' เพราะหล่อนไม่มีทางเลือกเลย จะต้องกอดเขาไปตลอดทาง

              เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางจิมมี่ก็หยิบหมวกกันน็อคเต็มใบสีดำมาสวมให้กับเธอ อีกทั้งล็อกเซฟตี้ให้เธอด้วย "พี่นาราใส่แล้วนะหมวกใบนี้" หนุ่มลูกครึ่งพูดทั้งหัวเราะ อยากแหย่เธอ ความจริงยังไม่มีใครได้ใส่เลย นาราภัทรอาจจะเคยนั่งรถคันนี้ซ้อนไปกับเขาบ่อย แต่อุปกรณ์แอคเซสโซรี่สาวเจ้ามีพร้อมทุกอย่าง ส่วนหมวกใบนี้เขาเพียงซื้อมันมาเก็บไว้เท่านั้น เผื่อสักวันจะมีเจ้าของ และวันนี้เจ้าของตัวจริงก็ได้นำมันมาสวมใส่แล้ว

              "ช่าง! แล้วพี่จิมเอามาให้กานต์ใส่ทำไมล่ะของพี่นารา" หล่อนทำกระเง้ากระงอด

               "ล้อเล่น จริง ๆ ทุกอย่างไม่มีใครได้ใส่หรอก น้องกานต์เป็นคนแรก และจะไม่มีใครได้ใช้ต่อ จะให้กานต์ใส่คนเดียวและตลอดไป... พร้อมนะ" จิมมี่เฉลยและจัดเตรียมของตัวเองบ้าง จากนั้นก็ขึ้นคร่อมบิ๊กไบค์ ก่อนจะสตาร์ทรถเขาเอื้อมมือไปด้านหลัง มือหนาดันร่างบางให้โน้มตัวมาติดกับแผ่นหลังและกอดเขา กานณดาพยายามจะขัดขืนถอยห่างนิดหน่อย แต่โดนท่อนแขนแข็งแรงและมือบังคับรั้งไว้ จนสุดท้ายสาวเจ้าต้องยอมทำตาม จิมมี่หันหน้ามามองคนซ้อน "พร้อมนะ กอดพี่ไว้แน่น ๆ เดี๋ยวตก"

               "ค่ะ... พี่จิมอย่าขับเร็วมากนะคะ กานต์กลัว"

                "ครับผม" สิ้นประโยคชายหนุ่มจึงสตาร์ทรถเสียงของมันดังกระหึ่มไปทั่วลานจอดรถของคอนโดมิเนียม แล้วพาหญิงสาวทะยานขับออกไป มุ่งหน้าไปทางปริมณฑล ก่อนจะเข้าถนนสายมิตรภาพ และออกไปสูภาคอีสาน

             กานณดาโน้มตัวไปกอดร่างหนาไว้แน่นเพราะกลัว นิ้วเรียวสัมผัสถึงร่างกายภายใต้อาภรณ์ แม้ไม่ได้เปลือยเปล่าก็รับรู้ได้ถึงกล้ามเนื้อหน้าท้องที่แน่นบึก บ่งบอกถึงการออกกำลังกายรักษาหุ่นของจิมมี่ได้เป็นอย่างดี น่ากอดยิ่งนัก ทำให้มือบางกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นอีกโดยไม่รู้ตัว หล่อนไม่เคยนั่งมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์อย่างนี้เลย มันเร็วและแรงกว่ามอเตอร์ไซค์ปกติมาก ขณะนั่งซ้อนท้ายไปกับเขาคนซ้อนหลับตาปี๋ ภาวนาให้ถึงที่หมายโดยเร็ว

              จิมมี่พาเธอขับรถมาตามถนนสายมิตรภาพ เข้าสู่จังหวัดนครราชสีมา และมุ่งหน้าไปยังอำเภอวังน้ำเขียว ซึ่งที่นั่นเป็นบ้านพักตากอากาศของครอบครัวเขาเอง นาราภัทรและพสุธรสองคนนี้ยังไม่เคยได้มาสัมผัส เขาไม่เคยบอกให้ทั้งคู่รู้ว่ามีบ้านพักตากอากาศที่นี่ เพราะอยากให้เป็นส่วนตัวเฉพาะครอบครัวของตนเท่านั้น แต่สำหรับซินญอริน่าคนนี้คือคนพิเศษ และจะเป็นคนในครอบครัวในอนาคต
              
               ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าเธอกับเขาจะรักกันได้นานที่สุดเท่าใด แต่เมื่อตกลงที่จะเป็นคนพิเศษของกันและกันแล้ว ทุกอย่างรอบตัวจึงดูพิเศษไปหมด แม้แต่เรื่องเล็กน้อย

              ก่อนจะเดินทางมาชายหนุ่มได้บอกแม่บ้านคนที่คอยดูแลที่นี่ทำความสะอาดบ้านไว้รอ  จัดเตรียมห้องนอนไว้สองห้อง และยังสั่งให้ไปดูชุดที่เขาสั่งเตรียมเอาไว้จากร้านที่รู้จักกันที่นั่นด้วย นอกจากการมาพักผ่อนแล้ว ชายหนุ่มยังคิดจะพาสาวน้อยของเขาไปเปิดตัวแบบเนียน ๆ ด้วยอีกเช่นกัน ขับรถเกือบสามชั่วโมงก็มาถึงอำเภอวังน้ำเขียว มาถึงก็จวนพลบค่ำพอดี

              "ถึงแล้วครับสาวน้อย" จิมมี่บอกเมื่อขับรถมาจอดยังหน้าบ้านหลังหนึ่ง ตอนนี้มันถูกเปิดไฟไว้ทั่วบ้าน เป็นบ้านทรงโมเดิร์น ข้างล่างก่อด้วยอิฐครึ่งเดียว ที่เหลือปล่อยเป็นใต้ถุนโล่ง และเทพื้นแบบขัดมันไม่ปูกระเบื้อง ส่วนข้างบนก็มีดาดฟ้าไว้นั่งรับลม บรรยากาศล้อมรอบเต็มไปด้วยหุบเขาน้อยใหญ่ และใกล้ ๆ บริเวณบ้านก็เป็นไร่สตอวเบอร์รี่ที่ครอบครัวของชายหนุ่มปลูกไว้
              
             เขาลงมายืดเส้นยืดสาย ก่อนจะประคองให้สาวเจ้าลงจากรถด้วย จากนั้นก็ปลดเซฟตี้ถอดหมวกกันน็อกให้ กานณดาตื่นตาตื่นใจมากกับสถานที่ที่เห็น ไม่คิดว่าจิมมี่จะพาหล่อนมาที่นครราชสีมาแบบนี้ อากาศยามพลบค่ำเย็นสบาย อีกทั้งยังมองเห็นพระอาทิตย์ลูกสีแดงสุกดวงโตที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวคล้อยต่ำลง คล้ายกำลังจะอำลาโลกแล้วกลับมาเจอกันอีกในวันพรุ่งนี้ กานณดาอดที่จะคว้าโทรศัพท์มาถ่ายรูปพระอาทิตย์ดวงโตเก็บไว้ไม่ได้

                "ที่นี่คือบ้านพี่จิมเหรอคะ" สาวน้อยร่างบางถาม ดวงตากลมโตกำลังตื่นเต้นดื่มด่ำไปกับบรรยากาศของที่นี่ ไร่ปลายตะวันของหล่อนเทียบไม่ติดเลย

               "ครับ บ้านตากอากาศของพ่อกับแม่พี่เอง" ทั้งสองยืนคุยกัน

              "คุณจิมมี่มาถึงตั้งแต่ตอนไหนคะ นี่ป้าน้อยคงหูตึงแล้วแน่ ๆ ที่ไม่ได้ยินเสียงรถของคุณจิมมี่มาค่ะ" แม่บ้านวัยกลางคนค่อนไปทางสูงอายุวิ่งกระหืดกระหอบออกมาต้อนรับ กลัวเจ้านายรุ่นลูกจะต่อว่าเป็นที่สุด ที่ตนเองไม่ได้ยินเสียงรถวิ่งเข้ามาจอดและไม่ออกมาต้อนรับ กลัวชายหนุ่มหาว่าเสียงมอเตอร์ไซค์ออกจะดังขนาดนั้นตนก็ยังไม่ได้ยินมัวทำอะไรอยู่ นางน้อยนึกอย่างหวาดหวั่น

              "ไม่เป็นไรหรอกครับป้าน้อย แค่เรื่องที่ผมสั่งเรียบร้อยก็พอ" เจ้านายหนุ่มว่า ใบหน้าเจือรอยยิ้ม ไม่มีแววจะดุหรือไม่พอใจสักนิด

               "เรียบร้อยค่ะคุณจิมมี่ ส่วนชุดของคุณหนูผู้หญิง ป้าให้นังแอนไปจัดการให้แล้วค่ะ" แม่บ้านว่าพร้อมชายตามองคนที่ตามเจ้านายมาด้วย สาวน้อยตากลมคนนี้ต้องเป็นคนสำคัญนั่นแหละ ชายหนุ่มถึงพามาด้วย เพราะนี่เป็นผู้หญิงคนแรกที่จิมมี่พามาที่บ้านหลังนี้ คนอื่น ๆ ที่คบผ่านมาเจ้านายไม่เคยพามาเลยสักคน อีกไม่นานคงได้ยินข่าวดี

              ร่างบางหันมองร่างสูงที่ยืนข้าง ๆ "ชุดอะไรคะพี่จิม"

               "เข้าบ้านกันก่อนเถอะ เดี๋ยวกานต์ก็รู้เอง อาบน้ำอาบท่ามาทานข้าวกัน" ไม่พูดเฉย ชายหนุ่มจับมือบางเดินเข้าไปในตัวบ้าน ส่วนแม่บ้านก็แยกตัวออกไปทำกับข้าวมื้อเย็นให้
               
                หนุ่มลูกครึ่งพาหล่อนเดินขึ้นมายังชั้นสองของบ้าน ซึ่งทำด้วยเหล็ก ไม่ได้หวือหวาอะไรมากนัก ราวกับว่าเจ้าของไม่อยากทำให้มันอลังการงานสร้าง เหมือนอยากให้กลมกลืนไปกับธรรมชาติและบ้านของคนแถวนี้ ดู ๆ ไปก็คล้ายเรือนเล็กของหล่อนที่ไร่ปลายตะวัน แต่บ้านหลังนี้มีความทันสมัยกว่า ชั้นบนของบ้านมีสามห้องนอนหนึ่งห้องน้ำ มีบันไดขึ้นไปยังชั้นบนอีก ซึ่งเป็นชั้นดาดฟ้า กานณดาเริ่มได้ยินเสียงหรีดหริ่งเรไรร้อง มันชวนให้นึกถึงไร่ปลายตะวันมาก ๆ และทำให้อยากกลับบ้านอยู่ในที

               "น้องกานต์นอนห้องนี้ส่วนพี่จะนอนห้องนี้ แต่ว่าไม่มีห้องน้ำในตัวนะ เราต้องใช้ห้องน้ำร่วมกัน" จิมมี่ชี้แจง หญิงสาวพยักหน้าและบอกว่าไม่เป็นไร "อาบน้ำเสร็จเราจะไปรอทานข้าวกันข้างบน หรือถ้าน้องกานต์เพลียอยากนอนก่อนก็ได้"

                "ไม่ค่ะกานต์ไม่เพลีย พี่จิมแหละขับรถเพลียหรือเปล่า" ชายหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ "กานต์อยากขึ้นไปดูวิวข้างบน ใช่เขาใหญ่มั้ยคะ"

               "เขาปัก เขาใหญ่น่ะอยู่แถว ๆ ปากช่องนู่น"

                 "อ่อ งั้นกานต์ขอตัวเอากระเป๋าเข้าไปเก็บก่อนนะคะ แล้วเจอกันค่ะ" ทั้งสองเปิดประตูเข้าไปในห้องของใครของมัน กานณดาหยิบกระเป๋ามาวางนำเสื้อผ้าออกมาเพื่อจะอาบน้ำ ขณะเดียวกันก็น้อยใจที่พี่ชายไม่ห่วงเหมือนก่อน วันนี้ทั้งวันไม่มีข้อความและไม่โทรหาเลย ถ้าเป็นเมื่อก่อนอย่าหวังว่าหล่อนจะได้หาทางออกมาแบบนี้ได้ ไม่โทรมาคุยด้วยก็ส่งข้อความมาหา แต่นี่เงียบกริบ พอนึกถึงกันตภณก็เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่คอหอยอีกครั้ง สาวเจ้าจะร้องไห้ทุกที จากนั้นเสียงแจ้งเตือนข้อความไลน์ของชยุตทำลายความคิดมากของหล่อน

              ชยุต : 'น้องกานต์คะ ว่างคุยกับพี่ยุตมั้ยตอนนี้' กานณดาอ่านแช็ตไลน์ของเพื่อนพี่ชาย หญิงสาวชายตามองที่ประตูมั่นใจว่าลงกลอนแล้ว มองดูนาฬิกายังพอมีเวลา คุยกับชยุตสองสามนาทีเจ้าของบ้านคงไม่รอนานเท่าไหร่

               กานต์ : 'ว่างค่ะ กานต์คุยได้'

               ชยุต : 'งั้นพี่ยุตโทรคุยนะ ไม่สะดวกพิมพ์เลยค่ะ' พอได้รับอนุญาตแล้วชยุตจึงกดโทรหาสาวเจ้าทันที

              "ค่ะพี่ยุต มีเรื่องอะไรจะถามกานต์เหรอคะ" หล่อนรู้ทัน เพราะธุระของชยุตที่มีต่อหล่อนก็มีเพียงเรื่องของนาราสุเท่านั้น

              "แหมเราก้อ" ชยุตยอมรับ ทว่าชายหนุ่มก็ไม่แคร์ เขาอยากได้ขอมูลที่ต้องการมากกว่า "พี่ยุตอยากรู้ตารางงานของนาราสุค่ะ ว่าตอนนี้มีงานอะไรเข้ามาบ้าง ถ้ามีงานเยอะพี่ยุตก็จะได้สบายใจว่าบริษัทน้องสาวกำลังไปได้สวย แต่ถ้ามีน้อย พี่จะลองไปปรึกษากับคุณพ่อของพี่ยุตว่าจะช่วยนาราสุยังไงบ้าง พี่ยุตวานน้องกานต์เอามาให้พี่ได้มั้ยพรุ่งนี้น่ะ"

                 "พรุ่งนี้กับมะรืนนี้คงไม่ได้ค่ะพี่ยุต เพราะกานต์ลาฝึกงาน กานต์มาเที่ยวกับเพื่อนค่ะ ตอนนี้กานต์อยู่โคราช" กานณดาบอก เอ่ยชื่อเดิมของจังหวัดที่ตนมากับเขา ซึ่งพูดชื่อนี้เชื่อว่าใคร ๆ ก็รู้จักว่าเป็นจังหวัดอะไร ทว่าต้องอ้าปากเหวอที่เผลอบอกไป ขืนชยุตนำไปเล่าต่อพี่ชายมีหวังคงโกรธหล่อนยันชาติหน้าแน่ คดีเก่าก็ยังไม่เคลียร์ ยังเพิ่มคดีใหม่มาอีก
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่