ไปเจอข่าวนี้มา ค่อนข้างน่าสนใจเลยครับ เกี่ยวกับ การเล่าเรื่องพลังงาน ทำไมราคาน้ำมันเบนซินยังแพงอยู่...????
เลยเอามาแชร์ให้อ่านกันดูครับ ผมเข้าไปอ่านในเนื้อข่าว ค่อนข้างเขียนสรุปมาได้ละเอียดเลยครับ
รัฐบาลมีนโยบายตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งแต่ต้น ปี 2565 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน โดยเลือกตรึงเฉพาะราคาน้ำมันดีเซลและก๊าซหุงต้ม (LPG) โดยใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการตรึงราคาดีเซลนั้น จะกำหนดให้ค่าการตลาดเฉลี่ยของน้ำมันดีเซล ไว้ที่ 1.40 บาทต่อลิตร ส่วนค่าการตลาดน้ำมันเบนซินเป็นไปตามกลไกตลาด รวมเฉลี่ยทั้งสองชนิด 2.00 บาทต่อลิตร น้ำมันเบนซินนั้นทางกองทุนฯ ไม่ได้กำหนดค่าการตลาดตายตัว ซึ่งในการเฉลี่ยค่าการตลาดนั้น จะต้องนำปริมาณการใช้น้ำมันแต่ละชนิดมาคำนวณร่วมด้วย ถ้าราคาน้ำมันดีเซลในตลาดสิงคโปร์สูงขึ้น กองทุนฯ จะเข้าไปชดเชย และหากราคาน้ำมันดีเซลสิงคโปร์ลดลง กองทุนฯจะเก็บเข้ากองทุนเพื่อให้ค่าการตลาดคงที่ที่ระดับ 1.40 บาทต่อลิตร ทางกองทุนฯ จะประชุมติดตามปรับทุกวัน เพื่อให้ค่าการตลาดเฉลี่ยของน้ำมันดีเซลทั้งเดือนอยู่ในระดับ 1.40 บาทต่อลิตรส่วนราคาน้ำมันเบนซินก็จะติดตามให้ค่าการตลาดอยู่ในระดับที่กำหนดไว้เช่นกัน
กลไกการตรึงราคาน้ำมันดีเซลข้างต้นใช้มาประมาณ 1 ปีกว่า จนกระทั้งกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับลดลง โดยราคาดูไบลดลงมาอยู่ในระดับ 75-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดีเซลในระดับ 95-100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันเบนซินในระดับ 93-98 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งจะเห็นได้ว่าราคาน้ำมันดีเซลลดลงในอัตรามากกว่าทำให้มีเงินไหลเข้ากองทุนของน้ำมันดีเซลประมาณ 4-5 บาทต่อลิตร ในวันที่ 15 และ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ตามลำดับและในขณะเดียวกันได้มีการปรับกลไกกองทุนฯ ในการตรึงราคาน้ำมันดีเซลใหม่ โดยกำหนดค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล จาก 1.40 บาทต่อลิตร เพิ่มเป็น 1.80 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดเบนซินลดลงตามด้วยสัดส่วนเหลือประมาณ 3.00 บาท และกลุ่มน้ำมันเบนซินจาก 3.40 บาทต่อลิตร เหลือเพียง 3.00 บาทต่อลิตร ซึ่งทำ ให้ค่าการตลาดเฉลี่ยทั้ง 2 กลุ่มอยู่ที่ 2.00 บาทต่อลิตรเท่าเดิม
ในวันที่เริ่มเปลี่ยนแปลงกลไกกำกับราคาใหม่นั้น ถ้าเป็นไปตามหลักเกณฑ์แล้วราคาน้ำมันเบนซินควรจะต้องปรับลดลงประมาณ 0.50 บาทต่อลิตร แต่เนื่องจากในวันดังกล่าว เป็นช่วงที่ราคาน้ำมันเบนซินในตลาดสิงคโปร์เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมา 2 วันแล้ว ส่งผลให้ค่าการตลาดเบนซินเฉลี่ยอยู่ที่ 2.81บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นราคาน้ำมันเบนซินก็ได้มีการปรับขึ้นลงตามกลไกที่ ได้มีการกำหนดไว้ที่
หากเปรียบเทียบราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซิน จะพบว่าโดยเฉลี่ยแล้วราคาน้ำมันดีเซลจะสูงกว่าราคาน้ำมันเบนซินประมาณ 3-5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล มีบางช่วงเวลา เช่น ช่วง ฤดูหนาวมีความต้องการน้ำมันดีเซลมาก ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลสูงขึ้นกว่าราคาน้ำมันเบนชินมาก แต่ในบางช่วง เช่น ช่วงฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน จะมีความต้องการใช้น้ำมันเบนชินมาก ซึ่งอาจจะทำให้ราคาน้ำมันเบนชินปรับตัวสูงขึ้นกว่าราคาน้ำมันดีเซลได้ ดูตามรูปกราฟจะเห็นได้ว่า ในช่วงปลายปี 2565 ราคาน้ำมันดีเซลสูงกว่าราคาน้ำมันเบนซินอยู่ที่ระดับ 19-25 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ราคาน้ำมันดีเซลใกล้เคียงกับราคาน้ำมันเบนซิน และบางช่วงราคาน้ำมันเบนซินสูงกว่าราคาน้ำมันดีเซลด้วย
จากสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ต้นปี 2565 เป็นต้นมา ราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก ทำให้มีเงินไหลเข้ากองทุนในระดับ 4-5 บาทต่อลิตร จึงทำให้มีการลดราคาน้ำมันดีเซลไป 2 ครั้ง ครั้งละ 0.50 บาทต่อลิตร รวมเป็น 1 บาทต่อลิตร ในขณะที่ราคาน้ำมันเบนซินค่อนข้างคงที่ จึงทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินในประเทศลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากนั้นราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลได้ปรับตามกลไกราคาที่กองทุนน้ำมัน ดังที่ได้อธิบายไว้ข้างต้น
เครดิต วีระพล จิรประดิษฐกุล คอลัมน์ thaipost ฉบับวันที่ 6 มีนาคม 2566
https://www.thaipost.net/e-pub-news/336170/#&gid=a14a4385&pid=7
ไขข้อข้องใจ ทำไมราคาน้ำมันเบนซินยังแพงอยู่....??
เลยเอามาแชร์ให้อ่านกันดูครับ ผมเข้าไปอ่านในเนื้อข่าว ค่อนข้างเขียนสรุปมาได้ละเอียดเลยครับ
กลไกการตรึงราคาน้ำมันดีเซลข้างต้นใช้มาประมาณ 1 ปีกว่า จนกระทั้งกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับลดลง โดยราคาดูไบลดลงมาอยู่ในระดับ 75-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดีเซลในระดับ 95-100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันเบนซินในระดับ 93-98 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งจะเห็นได้ว่าราคาน้ำมันดีเซลลดลงในอัตรามากกว่าทำให้มีเงินไหลเข้ากองทุนของน้ำมันดีเซลประมาณ 4-5 บาทต่อลิตร ในวันที่ 15 และ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ตามลำดับและในขณะเดียวกันได้มีการปรับกลไกกองทุนฯ ในการตรึงราคาน้ำมันดีเซลใหม่ โดยกำหนดค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล จาก 1.40 บาทต่อลิตร เพิ่มเป็น 1.80 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดเบนซินลดลงตามด้วยสัดส่วนเหลือประมาณ 3.00 บาท และกลุ่มน้ำมันเบนซินจาก 3.40 บาทต่อลิตร เหลือเพียง 3.00 บาทต่อลิตร ซึ่งทำ ให้ค่าการตลาดเฉลี่ยทั้ง 2 กลุ่มอยู่ที่ 2.00 บาทต่อลิตรเท่าเดิม
ในวันที่เริ่มเปลี่ยนแปลงกลไกกำกับราคาใหม่นั้น ถ้าเป็นไปตามหลักเกณฑ์แล้วราคาน้ำมันเบนซินควรจะต้องปรับลดลงประมาณ 0.50 บาทต่อลิตร แต่เนื่องจากในวันดังกล่าว เป็นช่วงที่ราคาน้ำมันเบนซินในตลาดสิงคโปร์เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมา 2 วันแล้ว ส่งผลให้ค่าการตลาดเบนซินเฉลี่ยอยู่ที่ 2.81บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นราคาน้ำมันเบนซินก็ได้มีการปรับขึ้นลงตามกลไกที่ ได้มีการกำหนดไว้ที่
หากเปรียบเทียบราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซิน จะพบว่าโดยเฉลี่ยแล้วราคาน้ำมันดีเซลจะสูงกว่าราคาน้ำมันเบนซินประมาณ 3-5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล มีบางช่วงเวลา เช่น ช่วง ฤดูหนาวมีความต้องการน้ำมันดีเซลมาก ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลสูงขึ้นกว่าราคาน้ำมันเบนชินมาก แต่ในบางช่วง เช่น ช่วงฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน จะมีความต้องการใช้น้ำมันเบนชินมาก ซึ่งอาจจะทำให้ราคาน้ำมันเบนชินปรับตัวสูงขึ้นกว่าราคาน้ำมันดีเซลได้ ดูตามรูปกราฟจะเห็นได้ว่า ในช่วงปลายปี 2565 ราคาน้ำมันดีเซลสูงกว่าราคาน้ำมันเบนซินอยู่ที่ระดับ 19-25 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ราคาน้ำมันดีเซลใกล้เคียงกับราคาน้ำมันเบนซิน และบางช่วงราคาน้ำมันเบนซินสูงกว่าราคาน้ำมันดีเซลด้วย
จากสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ต้นปี 2565 เป็นต้นมา ราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก ทำให้มีเงินไหลเข้ากองทุนในระดับ 4-5 บาทต่อลิตร จึงทำให้มีการลดราคาน้ำมันดีเซลไป 2 ครั้ง ครั้งละ 0.50 บาทต่อลิตร รวมเป็น 1 บาทต่อลิตร ในขณะที่ราคาน้ำมันเบนซินค่อนข้างคงที่ จึงทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินในประเทศลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากนั้นราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลได้ปรับตามกลไกราคาที่กองทุนน้ำมัน ดังที่ได้อธิบายไว้ข้างต้น
เครดิต วีระพล จิรประดิษฐกุล คอลัมน์ thaipost ฉบับวันที่ 6 มีนาคม 2566
https://www.thaipost.net/e-pub-news/336170/#&gid=a14a4385&pid=7