ไวรัสตับอักเสบบีคืออะไร คือไวรัสตัวหนึ่งที่ติดต่อทางเลือด (เข็ม ที่โกนหนวด) และทางเพศสัมพันธ์เป็นหลัก ไม่ได้ติดต่อทางน้ำลาย สัมผัส หรืออาหารการกิน
ส่วนการติดต่อทางบาดแผล ต้องเป็นการได้รับเชื้อโดยตรง เช่น เข็ม การที่เรามีแผลเลือดออก แล้วสัมผัสเลือดของคนที่มีไวรัสตัวนี้ โอกาสติดจะน้อยมาก หมอให้คำตอบเราว่า จะติดได้คือต้องเอาบาดแผลจุ่มลงไปในถังเลือด เพราะฉะนั้นโอกาสติดคือค่อนข้างยากเลยค่ะ
การติดไวรัสตับอักเสบบีแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1. แบบเฉียบพลัน (ติดมาจากคนอื่น) - ในวัยผู้ใหญ๋ 90% จะหายเองได้
2. แบบเรื้อรัง (เป็นตั้งแต่เกิด - ติดมาจากครรภ์แม่ หรือตรวจพบว่าเป็นไวรัสตัวนี้มากกว่า 6 เดือน)
ทั้งสองแบบ มีทั้งแบบที่แสดงอาการ หรือไม่แสดงอาการ - กลายเป็นพาหะ
อย่าเพิ่งตกใจไปค่ะ ทั้งภาวะเฉียบพลันและภาวะเรื้อรัง (ที่ไม่ได้ติดมาจากครรภ์แม่) นั้นสามารถหายได้หมด แต่ต้องรักษาสุขภาพ ให้ร่างกายและภูมิคุ้มกันแข็งแรง ถึงจะมีโอกาสหายค่ะ
แต่การหายในที่นี้คือ การตรวจไม่พบไวรัสในเลือด หรือมีภูมิคุ้มกันไวรัสตัวนี้ขึ้นมา แต่เมื่อใดที่ภูมิคุ้มกันเราอ่อนแอ มันอาจจะกลับมาเป็นอีกได้ เพราะไวรัสตัวนี้เป็นปรสิต จะฝังตัวเองเข้าไปในตับของเรา เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า มันยังนอนฝังตัวเงียบๆ ในตับเรา หรือว่าถูกกำจัดออกไปแล้ว
การดูแลตัวเองจนภูมิขึ้น หรือตรวจไม่พบไวรัสในเลือด มีข้อดีตรงที่ลดอัตราการเกิดตับอักเสบ ตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้มากขึ้นค่ะ แต่ก็มีประชากรไทยหลายล้านคน ที่เป็นพาหะของไวรัสตัวนี้โดยไม่รู้ตัว สำหรับทางการแพทย์แล้ว โรคนี้จึงไม่ใช่โรคน่ากลัว แค่ต้องคอยหมั่นตรวจสุขภาพตับเป็นระยะเท่านั้น และมีหลายคนมากที่อยู่กับมันโดยไม่ได้เป็นตับแข็ง หรือมะเร็งตับในภายหลัง
ความเดิมตอนที่แล้ว...(ซึ่งไม่มีอยู่จริง เพราะไม่เคยโพสท์ 55) รู้ว่าเป็นตอนไหนกัน ผลตรวจผิดหรือเปล่า
เราพบว่าเป็นไวรัสตับอักเสบบี หลังจากไปบริจาคเลือด เราบริจาคเลือดอยู่เป็นระยะ แล้วจู่ๆ พอจะไปบริจาคอีกครั้ง ก็ไม่สามารถบริจาคได้ เพราะเจอไวรัสตับอักเสบบีในเลือด (สภากาชาดจะตรวจโรคเอดส์ ซิฟิลิส และไวรัสตับอักเสบบี และซีซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเลือดในเลือดทุกถุง) แล้วสภากาชาดก็ส่งเอกสารดูแลตัวเองใบหนึ่งให้ + คำว่าไม่สามารถบริจาคเลือดได้อีกต่อไป 555 ตอนนั้นเรางงไปเลย เอ๊ะ โรคนี้รักษาไม่หายเหรอ หรือยังไง แล้วมันจะเป็นอะไรมากไหม ตับอักเสบเลยนะเว้ย
พอลองหาข้อมูลโรคนี้ในเน็ต...ก็ประสาทแ-ก ไปสิคร้า เราเป็นแบบเฉียบพลันแน่นอน เพราะเคยบริจาคได้ตามปกติ แต่ๆๆๆๆๆ ถ้าเป็นเฉียบพลันมากกว่า 6 เดือน คุณจะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นระยะเรื้อรังโดยอัตโนมัติ
สภากาชาดพบไวรัสในเลือดเราครั้งแรกเดือนเมษา 65 แล้วอีท่าไหนไม่รู้ ไม่ได้ส่งเอกสารมาแจ้งเราอย่างที่ระบบทำตามปกติเราไปบริจาคอีกทีช่วงเดือนสิงหา 65 แล้วยังตรวจพบเชื้อไวรัสอยู่ นั่นเท่ากับว่า ถ้าเราเป็นอีก 1 เดือน = เราจะได้เป็นสมาชิกกิติมศักดิ์ของระยะเรื้อรังทันที กรี๊ดสิจ๊ะ ไม่ให้ชั้นได้เตรียมตัวเตรียมใจเลย อิสภากาชาดดดดด ในตอนนั้นคิดเลยว่า ถ้ารู้ล่วงหน้า เราอาจจะหาทางดูแลตัวเอง ไม่ให้มันกลายเป็นระยะเรื้อรังได้ ความเข้าใจในตอนนั้นคือ ระยะเรื้อรัง = ไม่มีทางหายแน่นอลลล
เราจึงไปหาหมอที่โรงพยาบาล เพื่อทำการตรวจอีกรอบหนึ่ง หมอที่ไปหายังคิดว่าน่าจะเป็นผลตรวจผิด เพราะเราดูจะไม่มีความเสี่ยงเลย มีมากสุดคือความเสี่ยงเรื่องเลือด ก็จะเป็นการผ่าฟันคุดที่คลินิกประจำแถวบ้าน กับการไปเดินป่าใต้แล้วถูกทากดูดเลือดกัดหลายสิบตัว ซึ่งหมอก็คิดว่าความเป็นไปได้น้อยมาก
เราลองหาข้อมูลต่างประเทศแล้ว มีการตรวจพบไวรัสตับอักเสบบีและเอดส์ในสัตว์จำพวกปลิงที่ออสเตรเลีย คาดว่ามันไปดูดเลือดคนที่เป็นโรคนี้ จึงมีโรคนี้ติดอยู่ในตัว และโรคจะติดอยู่ในตัวมันหลังจากผ่านไปหลายเดือนแล้ว
ไม่มีการวิจัยเรื่องเชื้อโรคใดๆ กับทากดูดเลือดในไทย (อย่าเกลียดกันนะคะ ทากเป็นสัตว์ที่บ่งชี้ความสมบูรณ์ในป่าประเภทหนึ่ง) แต่เพราะมันเป็นสัตว์จำพวกเดียวกัน เราจึงคิดว่า มันแน่ๆ เพราะมันนี่แหละ 555 เส้นทางป่าใต้ที่เราเดินตอนนั้น เป็นทริป เส้นทาง 5 วัน 4 คืน 2 วันแรกเคยมีคนเดินมาก่อนแต่ไม่ค่อยเยอะเท่าป่าอื่น เส้นทาง 3 วันหลัง กลุ่มเราคือทริปบุกเบิก แจ็กพอตแล้วหนึ่ง 555
ผลคือเราเป็นไวรัสตับอักเสบบีจริงๆ พอทำการตรวจนับเชื้อไวรัสในเลือดแล้ว มีอยู่ 64 ตัว/มล ถือว่าน้อย แต่ภูมิคุ้มกันไวรัสตัวนี้เราเป็น 0 เลย มีไวรัสตัวนี้ในตัวอย่างน้อย 5 เดือนล่ะ (เมษา-สิงหา) แต่ภูมิคุ้นกันเป็น 00000000 แล้วถามว่า ถ้าอยู่นิ่งๆ ใช้ชีวิตแบบเดิมไปอีก 1 เดือน ภูมิจะขึ้นงั้นเหรอ หึ คิดว่าไม่หรอก
วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี เป็นหนึ่งในวัคซีนที่เด็กไทยทุกคนต้องฉีด และโม้ว่า ฉีดแล้วจะมีภูมิคุ้นกันตลอดชีวิต เราลองเช็กใบฉีดวัคซีนตอนเป็นเด็กของตัวเองแล้ว เราฉีดครบ 3 เข็มตอนประมาณ 2 ขวบ แต่พออายุเข้าวัยทำงาน ได้รับเชื้อไวรัส แต่ภูมิเราเป็น 0 ชัดเจนนะทุกคนนนน
ดูแลตัวเองยังไงให้หาย
คำแนะนำที่ได้มาจากหมอคือ ไม่ต้องกังวลไป 90% จะหายเองได้ ถ้าอยากหาย ต้องให้ภูมิคุ้มกันทำงานเอง ไม่จำเป็นต้องใช้ยา เพราะตัวยาเอง หลักๆ มีไว้เพื่อลดจำนวนไวรัสในเลือด ไม่ได้ทำให้หายขาด---วนกลับมาที่ภูมิคุ้มกันตัวเองเหมือนเดิม
ถ้าคำตอบของมันคือ “ภูมิคุ้มกัน” เราก็ต้องหาทางทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้นจนสู้กับมันได้
และแล้ว ปฏิบัติการค้นหาข้อมูลออนไลน์ก็เกิดขึ้น เราเสิร์ชหารายงานวิจัยเรื่องโรคนี้ การทำงานของภูมิคุ้มกัน โรคนี้กับวิตามินอื่นๆ บลาๆๆ เยอะแยะมากมาย โดยเป็นข้อมูลต่างประเทศเท่านั้น ข้อมูลในไทยจะไปในโทนเดียวกันหมดคือ ไม่หายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ หรือถ้าหาย ก็ไม่ได้มีวิธีการดูแลตัวเองอะไรนอกจาก กินอาหารให้ครบห้าหมู่ นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ...ขอบคุณค่ะ ช่วยได้เยอะ
วิธีการของเราคือ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และลดการแตกตัวของไวรัสไปพร้อมๆ กัน
ไวรัสตับอักเสบบี เป็นไวรัสที่ฉลาด เนียนเก่ง เมื่อเข้ามาในกระแสเลือด มันจะตรงดิ่งไปฝังตัวที่ตับ ใช้โปรตีนในร่างกายเราร่ายคาถาแยกเงาพันร่าง แล้วปล่อยเข้าสู่กระแสเลือด เตรียมตัวแพร่เชื้อให้คนอื่นต่อไป ในขณะเดียว มันจะติดสินบนไม่ก็ข่มขู่ลูกน้องของเม็ดเลือดขาวให้ปิดปากเงียบ ไม่ต้องไปบอกเม็ดเลือดขาวว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในเลือด ไวรัสจึงใช้ชีวิตในร่างกายได้อย่างสบายใจเฉิบ
ดังนั้น ถ้าระบบภูมิคุ้มกันเราอ่อนแอ ไม่แข็งแรงพอ มันจะไม่รู้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามา และไม่ได้หาทางกำจัดมัน – นั่นคือสิ่งที่เกิดกับเรา
สิ่งที่เราต้องทำในแต่ละวันคือ
เสริมสร้างเรื่องภูมิคุ้มกัน - ใครสงสัยตรงไหน ลองเสิร์ซหาอีกรอบเพื่อความชัวร์ก็ได้ค่ะ ว่าสิ่งเหล่านี้ส่งผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกันมากน้อยแค่ไหน
1.นอนหลับวันละ 7-8 ชม.
2.ออกกำลังกายทุกวัน วันละ 20-50 นาที – เราออกกำลังกายผ่านยูทูป+ว่ายน้ำ
3.กินซอยโปรตีน – ปริมาณโปรตีนเราควรได้รับต่อวันของแต่ละคนจะแตกต่างกันไป เราใช้หลัก 1 กรัม/น้ำหนักตัว 1กิโลกรัม หากกินโปรตีนอื่นๆ ยากจะระบุว่าเราได้โปรตีนต่อวันครบหรือไม่ เราจึงกินซอยโปรตีน ที่มีระบุไว้ชัดเจนว่า 1 ถ้วย จะได้โปรตีนกี่กรัมค่ะ
4.วิตามินรวม– เราขี้เกียจมานั่งดูว่ากินวิตามินครบแล้วหรือยัง เลยกินมันทีเดียวจบเลยค่ะ
และอันต่อไปนี้ คือ
ช่วยลดการแตกตัวของไวรัส
5.ขมิ้นชัน - เรากินขมิ้นชันผง วันละ 3 แคปซูล (ตามระบุข้างกล่อง) เรากินก่อน หรือหลังอาหารบ้าง แล้วแต่ว่าลืมไม่ลืมค่ะ
เคยมีต่างชาติทำวิจัยเรื่องขมิ้นชันกับไวรัสตับอักเสบบีแล้ว พบว่าช่วยได้จริง สารในชมิ้นชันจะไปจับตัวกับไวรัสขณะแตกตัว ทำให้มันแตกตัวไม่สำเร็จ
ทุกรายการข้างต้นนี้ ทุกอย่างต้องทำหรือกินแต่พอดีนะคะ ถ้าทำหรือกินจนเกินพอดี จะกลายเป็นโทษแทนค่ะ
เสริม
บางคนอาจถามว่า แล้วน้ำมันมะพร้าวล่ะ ช่วยได้หรือเปล่า เราหารายงานวิจัยที่บ่งชี้ว่าน้ำมันมะพร้าวช่วยเรื่องไวรัสตับอักเสบบีไม่พบนะคะ ถ้าเจอที่ใกล้เคียง มีแค่วิตามินอี (ที่มีในน้ำมันมะพร้าว) ช่วยเรื่องภูมิคุ้มกันค่ะ ซึ่งเรากินวิตามินรวมแทน
ผลตรวจติดตามผล 3 เดือน - ไม่เจอเชื้อไวรัสในเลือด ภูมิคุ้มกันขึ้นมา 1 ใน 10 ส่วน (10 = มีภูมิคุ้มกัน)
หมอแปลกใจค่ะ ปกติต้องมีภูมิคุ้มกันขึ้นก่อน ไวรัสจึงจะหาย แต่เราไวรัสหายก่อน
ผลตรวจติดตามผล 6 เดือน – ไม่เจอเชื้อไวรัสในเลือด ตรวจนับเชื้อไวรัสคือไม่พบ ภูมิคุ้มกันขึ้นมาเป็น 3 ใน 10 ส่วน
ใจเราอยากฉีดวัคซีนกระตุ้นมันไปเลยให้จบๆ แต่หมอให้รอไปอีกสักหนึ่งปี ถ้าภูมิยังขึ้นไม่ถึง 10 ค่อยฉีดวัคซีนค่ะ
แต่ถึงจะตรวจไม่พบไวรัส หมอก็บอกว่า มันมีโอกาสกลับมาได้หากภูมิต้านทานอ่อนแอ หรือต้องรักษาโรคด้วยการกินยากดภูมิคุ้มกัน หากจำเป็นต้องกินยากดภูมิ ให้แจ้งแพทย์ก่อน เขาจะได้เลี่ยงไปใช้วิธีอื่นแทน
ถึงจะสบายใจที่ตรวจไม่พบไวรัสแล้ว แต่ก็ไม่สามารถกลับไปบริจาคเลือดได้แล้วค่ะ
คนที่เคยเป็นไวรัสตับอักเสบบี หรือมีภูมิคุ้มกันจากการติดไวรัสจะบริจาคไม่ได้ เพราะมีความเสี่ยงที่จะมีไวรัสหลงเหลือในเลือด และทำให้คนอื่นติดเชื้อตามค่ะ
สูตร(ไม่)ลับ ดูแลตัวเองยังไงให้หายจากไวรัสตับอักเสบบี
ส่วนการติดต่อทางบาดแผล ต้องเป็นการได้รับเชื้อโดยตรง เช่น เข็ม การที่เรามีแผลเลือดออก แล้วสัมผัสเลือดของคนที่มีไวรัสตัวนี้ โอกาสติดจะน้อยมาก หมอให้คำตอบเราว่า จะติดได้คือต้องเอาบาดแผลจุ่มลงไปในถังเลือด เพราะฉะนั้นโอกาสติดคือค่อนข้างยากเลยค่ะ
การติดไวรัสตับอักเสบบีแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1. แบบเฉียบพลัน (ติดมาจากคนอื่น) - ในวัยผู้ใหญ๋ 90% จะหายเองได้
2. แบบเรื้อรัง (เป็นตั้งแต่เกิด - ติดมาจากครรภ์แม่ หรือตรวจพบว่าเป็นไวรัสตัวนี้มากกว่า 6 เดือน)
ทั้งสองแบบ มีทั้งแบบที่แสดงอาการ หรือไม่แสดงอาการ - กลายเป็นพาหะ
อย่าเพิ่งตกใจไปค่ะ ทั้งภาวะเฉียบพลันและภาวะเรื้อรัง (ที่ไม่ได้ติดมาจากครรภ์แม่) นั้นสามารถหายได้หมด แต่ต้องรักษาสุขภาพ ให้ร่างกายและภูมิคุ้มกันแข็งแรง ถึงจะมีโอกาสหายค่ะ
แต่การหายในที่นี้คือ การตรวจไม่พบไวรัสในเลือด หรือมีภูมิคุ้มกันไวรัสตัวนี้ขึ้นมา แต่เมื่อใดที่ภูมิคุ้มกันเราอ่อนแอ มันอาจจะกลับมาเป็นอีกได้ เพราะไวรัสตัวนี้เป็นปรสิต จะฝังตัวเองเข้าไปในตับของเรา เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า มันยังนอนฝังตัวเงียบๆ ในตับเรา หรือว่าถูกกำจัดออกไปแล้ว
การดูแลตัวเองจนภูมิขึ้น หรือตรวจไม่พบไวรัสในเลือด มีข้อดีตรงที่ลดอัตราการเกิดตับอักเสบ ตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้มากขึ้นค่ะ แต่ก็มีประชากรไทยหลายล้านคน ที่เป็นพาหะของไวรัสตัวนี้โดยไม่รู้ตัว สำหรับทางการแพทย์แล้ว โรคนี้จึงไม่ใช่โรคน่ากลัว แค่ต้องคอยหมั่นตรวจสุขภาพตับเป็นระยะเท่านั้น และมีหลายคนมากที่อยู่กับมันโดยไม่ได้เป็นตับแข็ง หรือมะเร็งตับในภายหลัง
ความเดิมตอนที่แล้ว...(ซึ่งไม่มีอยู่จริง เพราะไม่เคยโพสท์ 55) รู้ว่าเป็นตอนไหนกัน ผลตรวจผิดหรือเปล่า
เราพบว่าเป็นไวรัสตับอักเสบบี หลังจากไปบริจาคเลือด เราบริจาคเลือดอยู่เป็นระยะ แล้วจู่ๆ พอจะไปบริจาคอีกครั้ง ก็ไม่สามารถบริจาคได้ เพราะเจอไวรัสตับอักเสบบีในเลือด (สภากาชาดจะตรวจโรคเอดส์ ซิฟิลิส และไวรัสตับอักเสบบี และซีซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเลือดในเลือดทุกถุง) แล้วสภากาชาดก็ส่งเอกสารดูแลตัวเองใบหนึ่งให้ + คำว่าไม่สามารถบริจาคเลือดได้อีกต่อไป 555 ตอนนั้นเรางงไปเลย เอ๊ะ โรคนี้รักษาไม่หายเหรอ หรือยังไง แล้วมันจะเป็นอะไรมากไหม ตับอักเสบเลยนะเว้ย
พอลองหาข้อมูลโรคนี้ในเน็ต...ก็ประสาทแ-ก ไปสิคร้า เราเป็นแบบเฉียบพลันแน่นอน เพราะเคยบริจาคได้ตามปกติ แต่ๆๆๆๆๆ ถ้าเป็นเฉียบพลันมากกว่า 6 เดือน คุณจะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นระยะเรื้อรังโดยอัตโนมัติ
สภากาชาดพบไวรัสในเลือดเราครั้งแรกเดือนเมษา 65 แล้วอีท่าไหนไม่รู้ ไม่ได้ส่งเอกสารมาแจ้งเราอย่างที่ระบบทำตามปกติเราไปบริจาคอีกทีช่วงเดือนสิงหา 65 แล้วยังตรวจพบเชื้อไวรัสอยู่ นั่นเท่ากับว่า ถ้าเราเป็นอีก 1 เดือน = เราจะได้เป็นสมาชิกกิติมศักดิ์ของระยะเรื้อรังทันที กรี๊ดสิจ๊ะ ไม่ให้ชั้นได้เตรียมตัวเตรียมใจเลย อิสภากาชาดดดดด ในตอนนั้นคิดเลยว่า ถ้ารู้ล่วงหน้า เราอาจจะหาทางดูแลตัวเอง ไม่ให้มันกลายเป็นระยะเรื้อรังได้ ความเข้าใจในตอนนั้นคือ ระยะเรื้อรัง = ไม่มีทางหายแน่นอลลล
เราจึงไปหาหมอที่โรงพยาบาล เพื่อทำการตรวจอีกรอบหนึ่ง หมอที่ไปหายังคิดว่าน่าจะเป็นผลตรวจผิด เพราะเราดูจะไม่มีความเสี่ยงเลย มีมากสุดคือความเสี่ยงเรื่องเลือด ก็จะเป็นการผ่าฟันคุดที่คลินิกประจำแถวบ้าน กับการไปเดินป่าใต้แล้วถูกทากดูดเลือดกัดหลายสิบตัว ซึ่งหมอก็คิดว่าความเป็นไปได้น้อยมาก
เราลองหาข้อมูลต่างประเทศแล้ว มีการตรวจพบไวรัสตับอักเสบบีและเอดส์ในสัตว์จำพวกปลิงที่ออสเตรเลีย คาดว่ามันไปดูดเลือดคนที่เป็นโรคนี้ จึงมีโรคนี้ติดอยู่ในตัว และโรคจะติดอยู่ในตัวมันหลังจากผ่านไปหลายเดือนแล้ว
ไม่มีการวิจัยเรื่องเชื้อโรคใดๆ กับทากดูดเลือดในไทย (อย่าเกลียดกันนะคะ ทากเป็นสัตว์ที่บ่งชี้ความสมบูรณ์ในป่าประเภทหนึ่ง) แต่เพราะมันเป็นสัตว์จำพวกเดียวกัน เราจึงคิดว่า มันแน่ๆ เพราะมันนี่แหละ 555 เส้นทางป่าใต้ที่เราเดินตอนนั้น เป็นทริป เส้นทาง 5 วัน 4 คืน 2 วันแรกเคยมีคนเดินมาก่อนแต่ไม่ค่อยเยอะเท่าป่าอื่น เส้นทาง 3 วันหลัง กลุ่มเราคือทริปบุกเบิก แจ็กพอตแล้วหนึ่ง 555
ผลคือเราเป็นไวรัสตับอักเสบบีจริงๆ พอทำการตรวจนับเชื้อไวรัสในเลือดแล้ว มีอยู่ 64 ตัว/มล ถือว่าน้อย แต่ภูมิคุ้มกันไวรัสตัวนี้เราเป็น 0 เลย มีไวรัสตัวนี้ในตัวอย่างน้อย 5 เดือนล่ะ (เมษา-สิงหา) แต่ภูมิคุ้นกันเป็น 00000000 แล้วถามว่า ถ้าอยู่นิ่งๆ ใช้ชีวิตแบบเดิมไปอีก 1 เดือน ภูมิจะขึ้นงั้นเหรอ หึ คิดว่าไม่หรอก
วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี เป็นหนึ่งในวัคซีนที่เด็กไทยทุกคนต้องฉีด และโม้ว่า ฉีดแล้วจะมีภูมิคุ้นกันตลอดชีวิต เราลองเช็กใบฉีดวัคซีนตอนเป็นเด็กของตัวเองแล้ว เราฉีดครบ 3 เข็มตอนประมาณ 2 ขวบ แต่พออายุเข้าวัยทำงาน ได้รับเชื้อไวรัส แต่ภูมิเราเป็น 0 ชัดเจนนะทุกคนนนน
ดูแลตัวเองยังไงให้หาย
คำแนะนำที่ได้มาจากหมอคือ ไม่ต้องกังวลไป 90% จะหายเองได้ ถ้าอยากหาย ต้องให้ภูมิคุ้มกันทำงานเอง ไม่จำเป็นต้องใช้ยา เพราะตัวยาเอง หลักๆ มีไว้เพื่อลดจำนวนไวรัสในเลือด ไม่ได้ทำให้หายขาด---วนกลับมาที่ภูมิคุ้มกันตัวเองเหมือนเดิม
ถ้าคำตอบของมันคือ “ภูมิคุ้มกัน” เราก็ต้องหาทางทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้นจนสู้กับมันได้
และแล้ว ปฏิบัติการค้นหาข้อมูลออนไลน์ก็เกิดขึ้น เราเสิร์ชหารายงานวิจัยเรื่องโรคนี้ การทำงานของภูมิคุ้มกัน โรคนี้กับวิตามินอื่นๆ บลาๆๆ เยอะแยะมากมาย โดยเป็นข้อมูลต่างประเทศเท่านั้น ข้อมูลในไทยจะไปในโทนเดียวกันหมดคือ ไม่หายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ หรือถ้าหาย ก็ไม่ได้มีวิธีการดูแลตัวเองอะไรนอกจาก กินอาหารให้ครบห้าหมู่ นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ...ขอบคุณค่ะ ช่วยได้เยอะ
วิธีการของเราคือ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และลดการแตกตัวของไวรัสไปพร้อมๆ กัน
ไวรัสตับอักเสบบี เป็นไวรัสที่ฉลาด เนียนเก่ง เมื่อเข้ามาในกระแสเลือด มันจะตรงดิ่งไปฝังตัวที่ตับ ใช้โปรตีนในร่างกายเราร่ายคาถาแยกเงาพันร่าง แล้วปล่อยเข้าสู่กระแสเลือด เตรียมตัวแพร่เชื้อให้คนอื่นต่อไป ในขณะเดียว มันจะติดสินบนไม่ก็ข่มขู่ลูกน้องของเม็ดเลือดขาวให้ปิดปากเงียบ ไม่ต้องไปบอกเม็ดเลือดขาวว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในเลือด ไวรัสจึงใช้ชีวิตในร่างกายได้อย่างสบายใจเฉิบ
ดังนั้น ถ้าระบบภูมิคุ้มกันเราอ่อนแอ ไม่แข็งแรงพอ มันจะไม่รู้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามา และไม่ได้หาทางกำจัดมัน – นั่นคือสิ่งที่เกิดกับเรา
สิ่งที่เราต้องทำในแต่ละวันคือ
เสริมสร้างเรื่องภูมิคุ้มกัน - ใครสงสัยตรงไหน ลองเสิร์ซหาอีกรอบเพื่อความชัวร์ก็ได้ค่ะ ว่าสิ่งเหล่านี้ส่งผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกันมากน้อยแค่ไหน
1.นอนหลับวันละ 7-8 ชม.
2.ออกกำลังกายทุกวัน วันละ 20-50 นาที – เราออกกำลังกายผ่านยูทูป+ว่ายน้ำ
3.กินซอยโปรตีน – ปริมาณโปรตีนเราควรได้รับต่อวันของแต่ละคนจะแตกต่างกันไป เราใช้หลัก 1 กรัม/น้ำหนักตัว 1กิโลกรัม หากกินโปรตีนอื่นๆ ยากจะระบุว่าเราได้โปรตีนต่อวันครบหรือไม่ เราจึงกินซอยโปรตีน ที่มีระบุไว้ชัดเจนว่า 1 ถ้วย จะได้โปรตีนกี่กรัมค่ะ
4.วิตามินรวม– เราขี้เกียจมานั่งดูว่ากินวิตามินครบแล้วหรือยัง เลยกินมันทีเดียวจบเลยค่ะ
และอันต่อไปนี้ คือช่วยลดการแตกตัวของไวรัส
5.ขมิ้นชัน - เรากินขมิ้นชันผง วันละ 3 แคปซูล (ตามระบุข้างกล่อง) เรากินก่อน หรือหลังอาหารบ้าง แล้วแต่ว่าลืมไม่ลืมค่ะ
เคยมีต่างชาติทำวิจัยเรื่องขมิ้นชันกับไวรัสตับอักเสบบีแล้ว พบว่าช่วยได้จริง สารในชมิ้นชันจะไปจับตัวกับไวรัสขณะแตกตัว ทำให้มันแตกตัวไม่สำเร็จ
ทุกรายการข้างต้นนี้ ทุกอย่างต้องทำหรือกินแต่พอดีนะคะ ถ้าทำหรือกินจนเกินพอดี จะกลายเป็นโทษแทนค่ะ
เสริม
บางคนอาจถามว่า แล้วน้ำมันมะพร้าวล่ะ ช่วยได้หรือเปล่า เราหารายงานวิจัยที่บ่งชี้ว่าน้ำมันมะพร้าวช่วยเรื่องไวรัสตับอักเสบบีไม่พบนะคะ ถ้าเจอที่ใกล้เคียง มีแค่วิตามินอี (ที่มีในน้ำมันมะพร้าว) ช่วยเรื่องภูมิคุ้มกันค่ะ ซึ่งเรากินวิตามินรวมแทน
ผลตรวจติดตามผล 3 เดือน - ไม่เจอเชื้อไวรัสในเลือด ภูมิคุ้มกันขึ้นมา 1 ใน 10 ส่วน (10 = มีภูมิคุ้มกัน)
หมอแปลกใจค่ะ ปกติต้องมีภูมิคุ้มกันขึ้นก่อน ไวรัสจึงจะหาย แต่เราไวรัสหายก่อน
ผลตรวจติดตามผล 6 เดือน – ไม่เจอเชื้อไวรัสในเลือด ตรวจนับเชื้อไวรัสคือไม่พบ ภูมิคุ้มกันขึ้นมาเป็น 3 ใน 10 ส่วน
ใจเราอยากฉีดวัคซีนกระตุ้นมันไปเลยให้จบๆ แต่หมอให้รอไปอีกสักหนึ่งปี ถ้าภูมิยังขึ้นไม่ถึง 10 ค่อยฉีดวัคซีนค่ะ
แต่ถึงจะตรวจไม่พบไวรัส หมอก็บอกว่า มันมีโอกาสกลับมาได้หากภูมิต้านทานอ่อนแอ หรือต้องรักษาโรคด้วยการกินยากดภูมิคุ้มกัน หากจำเป็นต้องกินยากดภูมิ ให้แจ้งแพทย์ก่อน เขาจะได้เลี่ยงไปใช้วิธีอื่นแทน
ถึงจะสบายใจที่ตรวจไม่พบไวรัสแล้ว แต่ก็ไม่สามารถกลับไปบริจาคเลือดได้แล้วค่ะ คนที่เคยเป็นไวรัสตับอักเสบบี หรือมีภูมิคุ้มกันจากการติดไวรัสจะบริจาคไม่ได้ เพราะมีความเสี่ยงที่จะมีไวรัสหลงเหลือในเลือด และทำให้คนอื่นติดเชื้อตามค่ะ