13 ปี คดียึดทรัพย์ทักษิณ ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยหรือ?

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษายึดทรัพย์ของอดีตนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ ชินวัตร ที่ได้จากการขายหุ้นและเงินปันผล รวมทั้งสิ้น 46,373 ล้านบาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ฐานร่ำรวยผิดปกติ เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควร อาศัยอำนาจรัฐเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของตน เป็นการกระทำที่ขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม (คดีนี้ไม่มีโทษจำคุก)  

มาปีนี้ ทักษิณส่งลูกสาวลงสู่สนามการเมืองหวังแย่งชิงอำนาจรัฐ

ป่าวประกาศบนเวทีซ้ำๆ ว่า “พ่อใหญ่ทักษิณอยากกลับบ้าน”

ให้สัมภาษณ์ซ้ำซาก ว่าทักษิณถูกกลั่นแกล้งMy dad was GONG ฯลฯ

ทักษิณก็เคลื่อนไหวการเมืองถี่ยิบ ราวกับบงการพรรคเอง บอกจะกลับบ้านแน่นอน ไม่ติดคุก(แล้วมาอ้างทีหลังว่าไม่ต้องอาศัยออกกฎหมาย ไม่ต้องพึ่งพรรคการเมือง ซึ่งใครจะเชื่อ)  

ทั้งหมด ทำราวกับสังคมไม่ได้เรียนรู้เลยว่าคดียึดทรัพย์ทักษิณนั้น ได้ตีแผ่ “ความจริง” เกี่ยวกับการฉ้อฉลอำนาจรัฐ เอื้อประโยชน์แก่ตนเองมโหฬารที่สุดในประวัติศาสตร์อย่างไร?  

13 ปี คดียึดทรัพย์ทักษิณ ตอกย้ำอะไรบ้างที่สังคมไม่ควรลืม?  

1. ศาลฎีกาฯ ชี้ชัดว่า ทักษิณคือเจ้าของหุ้นชินฯ ตัวจริงโดยตลอดช่วงที่ยังเป็นนายกฯ แต่ใช้วิธีใช้ตัวแทนเชิด อำพรางความเป็นเจ้าของไว้
ประการสำคัญ ขณะเป็นนายกฯ ได้อาศัยอำนาจรัฐเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจส่วนตัวโดยมิชอบ หลายกรณีสำคัญ ได้แก่ กรณีแปลงสัมปทานโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต, กรณีเงินกู้เอ็กซิมแบงก์เอื้อกิจการโทรคมนาคม, กรณีแก้สัมปทานมือถือลดอัตราส่วนแบ่งรายได้พรีเพด, กรณีแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วม (ROAMING), กรณีแก้สัมปทานดาวเทียม กรณีดาวเทียมไอพีสตาร์ (หลังจากนั้นจึงมีคดีความผิดทางอาญาในแต่ละกรณีที่เป็นความผิดกับผู้เกี่ยวข้องโดยตรงตามมา)  

ขณะนั้น ศาลฎีกาฯ ตัดสินยึดเฉพาะส่วนที่เพิ่มขึ้นหลังดำรงตำแหน่งนายกฯ และเงินปันผล (ถือว่าเป็นทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นมาโดยมิชอบ ร่ำรวยผิดปกติ)รวม 46,373 ล้านบาท  จากเงินที่รวบรวมขายหุ้นทั้งหมด 76,261ล้านบาท  โดยคืนส่วนที่เหลือ 30,247 ล้านบาท เพราะเห็นว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เงินที่มีอยู่แต่เดิม ต่างกับการยึดทรัพย์กรณีคดียาเสพติด เจอเท่าไหร่ยึดหมด ไม่มีคืนให้ เพราะถือเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดด้วย  ครั้งนั้น ตระกูลชินวัตรจึงได้เงินคืนไปกว่าสามหมื่นล้านบาท  

2. ในคดีทักษิณร่ำรวยผิดปกติฯ แม้นายพานทองแท้นางสาวพินทองทา อ้างว่าตนเป็นเจ้าของหุ้นชินฯ แต่ศาลฎีกาฯ ชี้ขาดว่า ทักษิณเป็นเจ้าของตัวจริง เพียงแค่ซุกใส่ชื่อลูกๆ และแอมเพิล ริช ไว้ เท่านั้นเอง 

โดยต่อมา คดีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ การขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและส่วนรวม (คำพิพากษา ปี 2563) ศาลฎีกาฯ ชี้ขาดไว้อย่างชัดแจ้ง 

ระบุว่า พานทองแท้ - พินทองทา - ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร - บรรณพจน์ ดามาพงศ์ ที่ปรากฏชื่อถือหุ้นชินฯในช่วงทักษิณเป็นนายกฯ นั้น ล้วนแต่เป็นผู้ถือหุ้นแทนนายทักษิณ เพื่อหลบเลี่ยงกฎหมายทั้งสิ้น 

คุณหญิงพจมานเป็นคนชำระเงินค่าหุ้นเพิ่มทุนให้นายบรรณพจน์ 

ส่วนการขายหุ้นให้นายพานทองแท้ นางสาวยิ่งลักษณ์ และนายบรรณพจน์ ต่างก็ใช้วิธีออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อชําระค่าซื้อหุ้น มีกําหนดใช้เงินเมื่อทวงถามโดยไม่มีดอกเบี้ย พูดง่ายๆ คือ ยังไม่จ่ายเงินค่าหุ้นจริงๆ ศาลระบุถึงขนาดว่า “ตามพฤติการณ์ดังกล่าวจึงน่าเชื่อว่า แท้จริงไม่มีการโอนซื้อขายและไม่มีการชําระราคากันจริง” แถมมีเอกสารเชิงลึกจากธนาคารกลางประเทศสิงคโปร์ประกอบ มัดแน่น ว่าเจ้าของหุ้นชินตัวจริง คือ ทักษิณและภริยาโดยตลอด ยังคงเป็นผู้ควบคุมกิจการชินคอร์ปในขณะนั้น พร้อมกับอาศัยอำนาจรัฐเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจส่วนตัว  

ศาลฎีกาฯ ชี้ขาดว่า ทักษิณยังคงเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ ซึ่งเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานรัฐ โดยให้บุคคลอื่นมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นแทน อันเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม และฝ่าฝืนกฎหมาย  

ศาลวินิจฉัยว่า ทักษิณได้มอบนโยบายและสั่งการกรณี พ.ร.ก.เก็บภาษีสรรพสามิตจากกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งได้รับสัมปทานจากรัฐ และให้คู่สัญญาภาคเอกชนนำภาษีสรรพสามิตมาหักออกจากส่วนแบ่งรายได้หรือค่าสัมปทานที่คู่สัญญาภาคเอกชนจะต้องนำส่งให้คู่สัญญาภาครัฐได้ เอื้อประโยชน์ให้แก่เอไอเอส และบริษัท ดีพีซี ทั้ง 2 บริษัทเป็นบริษัทในเครือของบริษัทชินคอร์ปฯ ซึ่งจำเลยเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ให้ทั้ง 2 บริษัทได้รับคืนเงินภาษีสรรพสามิต โดยมีสิทธินำไปหักออกจากค่าสัมปทานที่ต้องนำส่งให้ ทศท. และ กสท. เป็นผลให้ ทศท. และ กสท. ได้รับความเสียหาย พิพากษาลงโทษ ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ จำคุก 2 ปี  ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการเข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เนื่องด้วยกิจการนั้น จำคุก 3 ปี  รวมเป็นจำคุก 5 ปี 

3. ในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา ยังมีคดีทุจริตประพฤติมิชอบอีกหลายคดี ด้วยมูลเหตุจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เอื้อประโยชน์แก่ทักษิณ  ศาลมีคำพิพากษาชี้ขาด ปรากฏพยานหลักฐานข้อมูลความจริง  และมีบุคคลที่กระทำผิดต้องติดคุกติดตะรางไปจำนวนมาก  

เฉพาะที่เป็นความผิดทางอาญาของนายทักษิณ ได้แก่ คดีปล่อยกู้เอ็กซิมแบงก์ คุก 3 ปี, คดีหุ้นชินคอร์ปฯ (ใช้นอมินีถืออำพรางความเป็นเจ้าของและภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคม) 5 ปี, คดีหวยบนดิน คุก 2 ปี 

หลายคดี ทักษิณเป็นฝ่ายชนะ เช่น คดีเงินกู้กรุงไทย คดีทีพีไอ เป็นต้น 

นอกจากนี้ คดีที่เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เอื้อประโยชน์แก่คนในครอบครัวทักษิณ เช่น คดีสัมปทานดาวเทียม หมอเลี๊ยบ อดีต รมว.ไอซีทีคุก 1 ปี, คดีพาสฟอร์ต นายสรพงษ์ อดีต รมว.ตปท. คุก 2 ปี, คดีธรณีสงฆ์อัลไพน์ ยงยุทธ คุก 2 ปี,คดีช่วยเลี่ยงภาษี อดีตอธิบดีสรรพากรคุก 3 ปี, คดีลดค่าสัมปทานเอไอเอส อดีต ผอ.องค์การโทรศัพท์ คุก 6 ปี เป็นต้น  

อ่าน.  https://www.naewna.com/politic/columnist/54377
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่