(ชาตินิยม) Soft Power ที่แท้จริง ไม่ใช่ว่า "ฉันมีอะไร" แต่มันคือ "ความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์" ซึ่งไม่ได้ใช้ต้นทุนสูง

บางคนอาจสงสัยว่าเดี๊ยนลืมกินยาระงับโรคจิตเภทรึเปล่า เปลี่ยนโหมดจากการตบตีกับประเทศอื่นพัวะ ๆ มาเป็นนักบุญ เทศนาสั่งสอน ก็ขอบอกว่าไม่ใช่

แน่นอน ซอฟต์ พาวเวอร์ ในรูปแบบ "นี่ของฉัน นั่นของเธอ" ก็ยังจำเป็นอยู่ แต่ของที่ทำได้ง่าย ๆ ทำผ่านเน็ตก็ได้ ก็คือการแสดงความเห็นอกเห็นใจนี่แหละค่ะ

"อันความกรุณาปรานี
จะมีใครบังคับก็หาไม่
หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ
จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน"

เชื้อชาติ ศาสนา ก็เป็นเหมือนเสื้อผ้าอาภรณ์ ผิวหนังสิคือของจริงติดตัวตั้งแต่เกิดยันตาย

เดี๊ยนเป็นคนบ้าการจัดอันดับ ในยุคก่อนโควิด บางสำนัก บางหน่วยงาน เขาจัดอันดับ Hard Power (by Trade) กับ Soft Power (by Love) ของแต่ละประเทศเอาไว้ แล้วด้านความรักนี่ ไทยก็เคยอยู่อันดับต้น ๆ

คำว่า ยิ้มสยาม, Land of Smile ก็เหมือนกับมวยไทย คือสร้างปม สร้างความสะดุดให้ประเทศอื่นที่ได้ทราบสมญานามนี้ คนไทยหลายคน พยายามจะหาเหตุผลต่าง ๆ นานา เพื่อตีความคำว่า Land of Smile ให้เป็นลบ อย่างเช่น

- คนไทยไม่เก่งภาษาอังกฤษ เลยยิ้มไว้ก่อน
- ยิ้มแบบปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ, ยิ้มแบบเห็นเหยื่อ
- ยิ้มให้ท่า, ยิ้มสร้างปัญหาให้ตัวเอง

แต่ปรากฏว่าประเทศต่าง ๆ เขากลับหนีไม่พ้นเรื่องนี้

- ประเทศฉันยิ้มจริงใจกว่าไทย ยิ้มเยอะกว่าไทย
- ประเทศฉันอยากได้ฉายานี้
- ประเทศฉันเป็นดินแดนที่หินยิ้มได้ (ทายสิคะ ว่าประเทศอะไร 55)

การยิ้มให้ เป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย ๆ เลย กอปรกับมนุษยธรรมขั้นพื้นฐาน ความเมตตากรุณา ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่มีอยู่แล้ว

เดี๊ยนเคยเอารถเครื่องไปล้มบ่อย และก็เคยได้รับความช่วยเหลือจากริมทาง หรือคนผ่านไปผ่านมาบ่อย ๆ ค่ะ เลยยังรู้สึกว่าเมืองไทยน่าอยู่อยู่ค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่