ทำไมแผ่นBlu-rayภาพยนต์ต้องมีเส้นผ่าศูนย์กลางแค่ขนาด4.7นิ้วหรือ12cm.ทำไมไม่ทำให้ขนาดใหญ่ๆสัก30ซม.เพื่อจุข้อมูลหนังได้มากๆ

คือผมก็สงสัยมานานมากๆๆๆๆๆ  คืออย่างภาพยนต์ ที่บรรจุลง ในแผ่นBlu-ray   จะมีความจุ 25 GB (single-layer)  หรือ ขนาด 50 GB (dual-layer)     คือมีขนาดของ เส้นผ่าศูนย์กลางแค่ขนาด 4.7 นิ้ว   หรือ 12  cm.  ทำไมเค้าไม่ทำให้ขนาดใหญ่ๆเส้นผ่านศูนย์กลางสัก 30 ซม. หรือขนาด 12 นิ้ว ไปเลยนะครับ เพื่อที่จุข้อมูลตัวหนังได้มากๆ อาจจะจุข้อมูลเพิมขึ้นมาได้สัก 200-300 GB. ก็ได้ครับ กับ ภาพยนตร์ที่ต้องการคุณภาพของภาพสูงๆ เรื่องยาวๆๆๆๆๆๆ มากๆๆ ให้จบ    ภายใน 1 แผ่น เลยนะครับ ที่เห็นๆๆ คือพวก หนังละคร series ยาวๆหลายๆตอนของฝั่ง hollywood นะครับ    หรือ ว่าเป็นข้อจำกัดทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การผลิต ขอบคุณมากๆๆๆๆๆๆ ครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
ในโลกนี้ ของที่มาวางขาย ไม่ใช่ของที่มี technology ดีที่สุด
แต่เป็น technology ที่ ผลิตได้มาก ในต้นทุนถูก และ ใช้งานสะดวก เหมาะกับคนหมู่มาก

แผนก R&D เป็นแค่แผนกหนึ่งในบริษัท แต่ต้องทำงานร่วมกับ Marketing (ทำ forecast ทำการตลาด), Finance (คำนวณต้นทุน กำไร), Engineering (หาเครื่องจักรมาผลิต), Production (ทำการผลิต), Warehouse&Delivery (จัดเก็บ ขนส่ง)

ยุค Analog แผ่น LaserDisc มันถูกพิสูจน์มาแล้วว่า แผ่นใหญ่ๆแบบนั้นมีข้อเสียอะไรบ้าง
วีดีโอเทป VHS ที่ Technology ห่วยกว่า กลับได้รับความนิยมมากกว่าล้นหลาม
ยิ่งมายุค Digital การจะให้คนมาซื้อแผ่นใหญ่ๆ เครื่องเล่นใหญ่ๆ มันมีแค่กลุ่ม niche market เล็กๆ
ซึ่งพอ streaming มา ก็ตายเรียบอยู่ดี

บริษัทไหนหาญกล้าออกผลิตภัณฑ์แบบที่ จขกท อยากได้ รับรอง หุ้นตกเละเทะ และจะมีคนสังเวยถูกไล่ออกไม่น้อยแน่นอน
ความคิดเห็นที่ 5
ผมว่า  แผ่นขนาด 12 นิ้วมันใหญ่เกินไปนะครับ
ไม่สะดวกแน่ ๆ   และ Ultra HD Blu-ray 100 GB (triple-layer)
ก็มีทั่วไปแล้ว  ดังนั้น  จึงไม่มีเหตุผลให้คิดจะสร้าง
แผ่น Blu-ray ขนาดใหญ่กว่า 12 cm
สำหรับเหตุผลว่าจะได้บรรจุภาพยนตร์หลายเรื่อง
ใน 1 แผ่น (ใหญ่)  ผมว่าไม่จำเป็นเลย
แค่พกแผ่นมาตรฐานหลาย ๆ แผ่น  สะดวกกว่ามากครับ


ขอเพิ่มข้อมูลให้บางท่านที่อาจเกิดไม่ทันยุค Laser Disc (LD)
ในยุคที่ LD รุ่งเรืองในไทย (พ.ศ.2530)
แหล่งขายแผ่น LD , LD Player คือที่ห้าง World Trade Center
(ปัจจุบันคือ Central World)  และ  ห้างอัมรินทร์พลาซ่า
(ปัจจุบันคือ เกษรพลาซ่า)  ในสมัยนั้นจะต้องมี "ชมรม"
ผู้เล่น LD กันเลยทีเดียว  เพื่อนำแผ่นของตนเอง
มาแลกเปลี่ยนกันในหมู่สมาชิก  ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น
เพราะแผ่น LD แพงมาก  ภาพยนตร์ทั่วไปราคาแผ่นละ
1,500 - 2 พันบาทต้น ๆ   อย่างในภาพนี้
ขนาดหนังไทยยังแผ่นละ 2,700 บาท !!
(2,700 บาทสมัยปี 2530  ถือว่าแพงโคตร)

ผมเองเล่นแต่แผ่นดนตรีคลาสสิกก็หนักหน่อย  
เพราะราคาถึงแผ่นละ 3,xxx บาท
ก็ได้ชมรมนี้แหละที่ทำให้ได้ดูหนัง  ดู Concert หลากหลาย
เพราะเพื่อน ๆ ในชมรมมีเกือบ 500 คน
นัดกันที่ชั้น 5 World Trade Center  เพื่อพบปะพูดคุย
นำแผ่นมาแลก(ยืม)กัน ครับ  .....  แผ่น LD จะมี 2 หน้า
Side A  Side B   แต่ละ side จะบรรจุ video ได้นาน 1 ชั่วโมง
LD Player รุ่นธรรมดาก็จะยุ่งยากหน่อยเพราะต้องกดเอาแผ่นออก
กลับด้าน  และ Play ต่อ  แต่ LD Player รุ่นดี ๆ จะมีกลไก
ที่หัวอ่านจะวิ่งอ้อมแผ่นจาก Side A  ไป Side B
สมัยนั้นแบรนด์ Pioneer เป็นเจ้าตลาด  กลไกวิ่งหัวอ่านเร็วมาก
ใช้เวลาแค่ 7 วินาทีเท่านั้น
ความคิดเห็นที่ 3
คนที่ใหญกว่านักวิทย์คือ คนให้ทุนการวิจัย
พอนักวิทย์พัฒนาแล้วนำเสนอไป ก็ต้องมีอีกฝ่ายพิจารณาเรื่องการตลาด  ต้นทุน อีกที
แล้วก็ต้องคุยกับบริษัทเครื่องเล่นด้วย ขนาดตัวเครื่องใหญ่ ต้นทุนยิ่งสูง ราคาเครื่องแพง ความนิยมต่ำ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่