หลังจากที่ลิขสิทธิ์ของ Winnie the Pooh ที่เขียนโดย A. A. Milne และนักวาดภาพประกอบ E. H. Shepard หมดอายุลงในปี ค.ศ.2021 ผู้กำกับ ริส เฟรค-วอเตอร์ฟิลด์ (Rhys Frake-Waterfield) จึงไม่รอช้าที่จะนำผลงานอมตะชิ้นนี้มาดัดแปลงให้เป็นภาพยตร์สยองขวัญแนวไล่เชือด แถมยังเลือกที่จะถ่ายทำใกล้ๆ กับป่า Ashdown ต้นฉบับของป่าร้อยเอเคอร์ที่เป็นที่อยู่ของเหล่าหมีพูห์ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีอีกด้วย
หนำซ้ำจากตัวอย่างหนังและพล็อตเรื่องก็เป็นที่ดึงดูดยิ่งขึ้นไปอีก ว่าเราจะได้เห็นตัวละครที่เป็นเพื่อนวัยเด็กของใครหลายคน ถูกตีความใหม่ให้กลายเป็นสัตว์ป่าที่ดุร้ายจากการถูกคริสโตเฟอร์ โรบิน ทอดทิ้งเพราะต้องไปเรียนมหาวิทยาลัย ทำให้พวกมันหิวโหยอย่างหนักจนถึงต้องกินเพื่อนอย่างอียอร์เพื่อเอาชีวิตรอด นั่นทำให้พวกมันปฏิญาณตนว่าจะหันหลังให้กับมนุษย์และเข่นฆ่าทุกคนที่ย่างกลายเข้ามาในป่าแห่งนี้
Winnie The Pooh: Blood And Honey ที่ใช้ทุนสร้างไปราวๆ 1 แสนเหรียญฯ นี้ อาจทำให้ผู้ชมประทับใจได้ในเรื่องของงานสร้าง การประเคนฉากโหด สยอง ที่ดูถึงเลือดถึงเนื้อดีนักแล และการถ่ายภาพที่ทำออกมาได้สวย สีสันฉูดฉาด (ถ้าไม่ติดว่าจะใช้ควันเยอะเกินไปหน่อยก็ตาม) แต่ที่ส่วนที่เหลือนอกจากนี้ เรียกว่า เป็นสิ่งที่ล้มเหลวจนไม่น่าให้อภัยเลยจริงๆ
อย่างแรก ทั้งๆ ที่อุตส่าห์ได้ไอเดียของการตีความหมีพูห์และผองเพื่อนไปในรูปแบบใหม่แล้วแท้ๆ แต่สิ่งที่ปรากฏบนจอนั้น คือ ความไร้เสน่ห์อย่างสิ้นเชิงของสองฆาตกรพูห์และพิกเล็ต (Pooh and Piglet) ที่ไม่ได้มีอะไรไกลเกินไปกว่าแค่ฆาตกรไล่เชือดธรรมดาๆ ไร้ความคิดสร้างสรรค์ ไร้ซึ่งความน่าจดจำ แถมดูๆ ไปตอนท้ายเรื่อง ยังชวนให้นึกถึงฆาตกรไล่เชือดในตำนานอย่าง ไมเคิล เมเยอร์ส ไปอีก (ซึ่งพอสืบค้นข้อมูลก็ถึงบางอ้อว่า ตัวผู้กำกับได้แรงบันดาลใจมากจาก Halloween) ก็ยิ่งทำให้สองตัวละครนี้ไม่ได้มีอะไรเป็นของตัวเองสักอย่าง ยกเว้นว่าคนจะจำได้ว่ามาจากอนิเมชั่นชื่อดังของดิสนี่ย์เท่านั้นเอง
อย่างต่อมา เนื้อเรื่องที่น่าเบื่อ ตัวละครที่ใส่มาเพื่อถูกฆ่า และบทสนทนาไร้สาระ ไม่แปลกใจถ้าจะมีใครลุกออกจากโรงเพราะทนดูต่อไม่ได้ เหมือนเขียนบทได้ 3 วันแล้ววันที่ 4 ก็ใช้ถ่ายทำเลย (ยังไม่นับรวมการถ่ายทำที่ใช้เวลาเพียงแค่ 10 วันเท่านั้น) หากนึกไม่ออกว่าการดำเนินเรื่องในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างไร ขอให้นึกถึงภาพยนตร์ไทยเรื่อง The World of Killing People หรือใน ชื่อไทยว่า "คืนหมีฆ่า" (แหน่ะ มีหมีเหมือนกันอีก) ถ้าให้พูดตามตรง คืนหมีฆ่า ยังมีการดำเนินเรื่องที่น่าสนใจกว่าด้วยซ้ำ ในแง่ของตัวละครที่ยังพอมีเรื่องราวให้ติดตาม แต่ใน Winnie The Pooh ฉบับนี้ พอเหล่าตัวละครในเรื่องถูกพูห์และพิกเล็ตไล่ล่าแล้ว จากนั้นก็ไม่มีอะไรให้ติดตามอีกเลย ยิ่งตอนท้ายเรื่องยิ่งเกิดความรู้สึกว่า เอาใจช่วยฝั่งพูห์ให้รีบๆ ฆ่าคนที่เหลือให้หมดซะ จะได้จบๆ กันที เพราะหงุดหงิดกับการกระทำของตัวละครในเรื่องเหลือเกิน
แม้กระทั่งการตัดต่อและการผสมเสียงยังเหมือนไม่ได้รับการใส่ใจพอ หรือไม่ก็เป็นมือสมัครเล่นที่ทำได้เพียงเท่านี้จริงๆ (ต่อให้จะมองเป็นภาพยนตร์เกรด B ก็ไม่ควรจะมีผลลัพธ์แบบนี้) ซึ่งตัวผู้กำกับ ริส เฟรค-วอเตอร์ฟิลด์ ก็ไม่ได้เคยผ่านผลงานใหญ่ใดๆ มาก่อน ที่พอจะดูดีหน่อยก็เป็น The Area 51 Incident (2022) หากเทียบกับ Terrifier 1 ที่ใช้ทุนสร้างไปเพียง 2หมื่น5พันเหรียญฯ แล้วก็ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นมือสมัครเล่นที่ใช้เงินไม่เป็นไปเลย
.
สรุป Winnie The Pooh: Blood And Honey น่าจะเรียกว่าเป็นภาพยนตร์ที่ "ท่าดีทีเหลว" ได้ชัดเจนมากๆ น่าเสียดายที่อุตส่าห์ได้ไอเดียดีๆ แต่กลับล้มเหลวจากองค์ประกอบต่างๆ หรือบางทีถ้าภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะเหมาะทำเป็นหนังสั้นมากกว่าก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยรายได้ที่น่าพอใจ ผู้กำกับริส ก็ได้เตรียมตัวสำหรับภาพยนตร์ภาคต่อไปเรียบร้อยแล้วด้วย จึงไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี
ฝากเพจด้วยนะครับ
Story Decoder | Facebook
[รีวิว] Winnie The Pooh (Blood And Honey): เมื่อหมีพูห์ออกอาละวาดและทำให้ผู้ชมอยากอาลาวาดเช่นกัน
หนำซ้ำจากตัวอย่างหนังและพล็อตเรื่องก็เป็นที่ดึงดูดยิ่งขึ้นไปอีก ว่าเราจะได้เห็นตัวละครที่เป็นเพื่อนวัยเด็กของใครหลายคน ถูกตีความใหม่ให้กลายเป็นสัตว์ป่าที่ดุร้ายจากการถูกคริสโตเฟอร์ โรบิน ทอดทิ้งเพราะต้องไปเรียนมหาวิทยาลัย ทำให้พวกมันหิวโหยอย่างหนักจนถึงต้องกินเพื่อนอย่างอียอร์เพื่อเอาชีวิตรอด นั่นทำให้พวกมันปฏิญาณตนว่าจะหันหลังให้กับมนุษย์และเข่นฆ่าทุกคนที่ย่างกลายเข้ามาในป่าแห่งนี้
Winnie The Pooh: Blood And Honey ที่ใช้ทุนสร้างไปราวๆ 1 แสนเหรียญฯ นี้ อาจทำให้ผู้ชมประทับใจได้ในเรื่องของงานสร้าง การประเคนฉากโหด สยอง ที่ดูถึงเลือดถึงเนื้อดีนักแล และการถ่ายภาพที่ทำออกมาได้สวย สีสันฉูดฉาด (ถ้าไม่ติดว่าจะใช้ควันเยอะเกินไปหน่อยก็ตาม) แต่ที่ส่วนที่เหลือนอกจากนี้ เรียกว่า เป็นสิ่งที่ล้มเหลวจนไม่น่าให้อภัยเลยจริงๆ
อย่างแรก ทั้งๆ ที่อุตส่าห์ได้ไอเดียของการตีความหมีพูห์และผองเพื่อนไปในรูปแบบใหม่แล้วแท้ๆ แต่สิ่งที่ปรากฏบนจอนั้น คือ ความไร้เสน่ห์อย่างสิ้นเชิงของสองฆาตกรพูห์และพิกเล็ต (Pooh and Piglet) ที่ไม่ได้มีอะไรไกลเกินไปกว่าแค่ฆาตกรไล่เชือดธรรมดาๆ ไร้ความคิดสร้างสรรค์ ไร้ซึ่งความน่าจดจำ แถมดูๆ ไปตอนท้ายเรื่อง ยังชวนให้นึกถึงฆาตกรไล่เชือดในตำนานอย่าง ไมเคิล เมเยอร์ส ไปอีก (ซึ่งพอสืบค้นข้อมูลก็ถึงบางอ้อว่า ตัวผู้กำกับได้แรงบันดาลใจมากจาก Halloween) ก็ยิ่งทำให้สองตัวละครนี้ไม่ได้มีอะไรเป็นของตัวเองสักอย่าง ยกเว้นว่าคนจะจำได้ว่ามาจากอนิเมชั่นชื่อดังของดิสนี่ย์เท่านั้นเอง
อย่างต่อมา เนื้อเรื่องที่น่าเบื่อ ตัวละครที่ใส่มาเพื่อถูกฆ่า และบทสนทนาไร้สาระ ไม่แปลกใจถ้าจะมีใครลุกออกจากโรงเพราะทนดูต่อไม่ได้ เหมือนเขียนบทได้ 3 วันแล้ววันที่ 4 ก็ใช้ถ่ายทำเลย (ยังไม่นับรวมการถ่ายทำที่ใช้เวลาเพียงแค่ 10 วันเท่านั้น) หากนึกไม่ออกว่าการดำเนินเรื่องในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างไร ขอให้นึกถึงภาพยนตร์ไทยเรื่อง The World of Killing People หรือใน ชื่อไทยว่า "คืนหมีฆ่า" (แหน่ะ มีหมีเหมือนกันอีก) ถ้าให้พูดตามตรง คืนหมีฆ่า ยังมีการดำเนินเรื่องที่น่าสนใจกว่าด้วยซ้ำ ในแง่ของตัวละครที่ยังพอมีเรื่องราวให้ติดตาม แต่ใน Winnie The Pooh ฉบับนี้ พอเหล่าตัวละครในเรื่องถูกพูห์และพิกเล็ตไล่ล่าแล้ว จากนั้นก็ไม่มีอะไรให้ติดตามอีกเลย ยิ่งตอนท้ายเรื่องยิ่งเกิดความรู้สึกว่า เอาใจช่วยฝั่งพูห์ให้รีบๆ ฆ่าคนที่เหลือให้หมดซะ จะได้จบๆ กันที เพราะหงุดหงิดกับการกระทำของตัวละครในเรื่องเหลือเกิน
แม้กระทั่งการตัดต่อและการผสมเสียงยังเหมือนไม่ได้รับการใส่ใจพอ หรือไม่ก็เป็นมือสมัครเล่นที่ทำได้เพียงเท่านี้จริงๆ (ต่อให้จะมองเป็นภาพยนตร์เกรด B ก็ไม่ควรจะมีผลลัพธ์แบบนี้) ซึ่งตัวผู้กำกับ ริส เฟรค-วอเตอร์ฟิลด์ ก็ไม่ได้เคยผ่านผลงานใหญ่ใดๆ มาก่อน ที่พอจะดูดีหน่อยก็เป็น The Area 51 Incident (2022) หากเทียบกับ Terrifier 1 ที่ใช้ทุนสร้างไปเพียง 2หมื่น5พันเหรียญฯ แล้วก็ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นมือสมัครเล่นที่ใช้เงินไม่เป็นไปเลย
.
สรุป Winnie The Pooh: Blood And Honey น่าจะเรียกว่าเป็นภาพยนตร์ที่ "ท่าดีทีเหลว" ได้ชัดเจนมากๆ น่าเสียดายที่อุตส่าห์ได้ไอเดียดีๆ แต่กลับล้มเหลวจากองค์ประกอบต่างๆ หรือบางทีถ้าภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะเหมาะทำเป็นหนังสั้นมากกว่าก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยรายได้ที่น่าพอใจ ผู้กำกับริส ก็ได้เตรียมตัวสำหรับภาพยนตร์ภาคต่อไปเรียบร้อยแล้วด้วย จึงไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี
ฝากเพจด้วยนะครับ Story Decoder | Facebook