ทำไมธรรมชาติถึงทำให้มนุษย์มีอายุขัยที่นับว่า มากเกินไป ทั้งๆที่เราแทบจะมีสถานะ ขยะธรรมชาติ ในทางระบบนิเวศ

เทคโนโลยีปัจจุบัน ทำให้มนุษย์มีอายุขัยเฉลี่ย 80 ปี
เราจะไม่ใช้ค่านี้นะครับ เราจะพูดถึงแค่อายุขัยของมนุษย์ป่า โตในธรรมชาติ ใช้ชีวิตแบบคนป่า เราจะมีอายุขัยเฉลี่ยเพียง 30 ปี เท่านั้น
ซึ่ง 30 ปีนั้นถือว่าเยอะมากๆนะครับ เมื่อเทียบกับสัตว์อื่นๆ

ที่ 30 ปี เราชนะสัตว์ไปมากถึง 60-70% กะด้วยสายตาคร่าวๆ

แล้วดูนะครับ สัตว์ที่อายุขัยเยอะทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่เป็น Keystone Species

Keystone Species คือ สัตว์ ที่มีบทบาทสำคัญมากๆ ต่อความยั่งยืนของระบบนิเวศ
เช่น
- บีเวอร์ สร้างเขื่อนกักเก็บน้ำ เวลาหน้าแล้งจะได้ยังมีแหล่งน้ำ
- ปะการัง ต้นโกงกาง เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์ ที่หลบภัยสัตว์ และเป็นแนวป้องกันพายุรุนแรงที่สำคัญมากๆ
- หมีกริซลี ล่าแซลม่อน ซึ่งมีไนโตรเจนและฟอสฟอรัส สูงมากๆ หมีจะเอาปลาเข้าไปกินในป่าลึก ซากมันจึงเป็นแหล่งแร่ธาตุที่ดีมาก
- ช้าง ล้มต้นไม้ใหญ่ที่รกเกินไป ทำให้แสงส่องถึงพื้น ช่วยเหลือต้นไม้เล็ก และยังสร้างทางเดินในป่า
- ปลาไหล เป็น ตัวนำพาแร่ธาตุจากทะเลเข้าแหล่งน้ำกร่อย
- หอย ฟิลเตอร์ความสกปรกในน้ำที่ดีมากๆ
- นกแก้ว นกมาคอว์ เป็นผู้แพร่พันธุ์ของพืชที่มีผลเปลือกแข็ง แถมไปแบบระยะไกล และทำกับพืชเป็นสิบสายพันธุ์
- เต่ายักษ์ กินในที่พืชอุดมสมบูรณ์ และคลานไปถ่ายที่แห้งแล้งกว่า สลับไปมา จึงเป็นผู้แพร่พันธุ์พืชที่ดีมาก
- อุรังอุตัง ฉายา เกษตรกรแห่งป่า กินผลไม้หลากหลายชนิดมากๆ เปลี่ยนจุดกินไปเรื่อยในทุกการกิน แต่ก็จดจำ เพื่อเรียงลำดับหมุนเวียน ทำให้พืชพรรณเติบโตแบบกระจายความหลากหลายได้อย่างฉลาดมากๆ
- ปลวก ดินบริเวณรอบจอมปลวกคือสุดยอดแหล่งแร่ธาตุ ซึ่งเป็นผลงานของปลวกเอง

คือมันไม่ได้คิดอะไรมากหรอกครับเอาตรงๆ
บีเวอร์ มันกังวลหรอว่าเดี๋ยวไม่มีน้ำใช้ เปล่าเลย มันก็แค่ชอบบ้านสไตล์นั้นครับ แต่ทำไมต้องชอบล่ะ ? 
เพราะวิวัฒนาการสรรสร้างได้อย่างชาญฉลาดและยั่งยืนไงครับ
ผมชอบศึกษานิเวศน์วิทยา เพราะแบบนี้แหละ 
วิศวกรรรมศาสตร์ของมนุษย์ มีระบบที่รอบคอบในทุกรายละเอียดและมองการณ์ไกลแค่ไหน ก็ไม่มีทางทำได้ไกลและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้ดีกว่าธรรมชาติครับ

กลับมาที่ประเด็นหลัก ก็คือมันเป็นพฤติกรรมธรรมชาติที่สร้างประโยชน์
แต่มนุษย์นั้นกลับไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไรเลยในเรื่องแบบนี้
แล้วยังจะโกงอายุมาตั้งเยอะอีก

ที่ผมบอกว่าในทางระบบนิเวศ เราคือ ขยะธรรมชาติ
เพราะเราไม่มีมีประโยชน์อะไรเลยสักอย่าง
หนอนแมลง ยังเป็นอาหารที่มีปริมาณสัดส่วนโปรตีนและไขมันสูงที่สุดประเภทหนึ่ง
แม้แต่ยุง ยังเป็นอาหารหลักของสัตว์เยอะมาก แถมลูกน้ำยุง คือสิ่งมีชีวิตที่มีบทบาทสำคัญเลยในการรีไซเคิลแร่ธาตุแห่งพื้นที่ลุ่มน้ำ
แม้กระทั่ง กาฝาก ที่มักจะขึ้นต้นไม้ใหญ่ มันเลือกต้นไม้ใหญ่ เพราะถ้าชะลอการโตของต้นใหญ่ โอกาสรอดของต้นเล็กก็สูงขึ้น

ถ้าไม่รวมถึงอารยธรรมที่มาจากความฉลาดที่มากเกินไป
เอาเพียงบทบาททางธรรมชาติอันบริสุทธิ์ถ่องแท้ เราไม่มีอะไรเลยจริงๆนะครับ
เราเป็นแค่ อาหารมั่วๆ ด้วยซ้ำ

จริงอยู่ว่าเรารู้จักปลูกผัก ทำการเกษตร
แต่นั่นใช่การทำด้วยการออกแบบทางธรรมชาติไหม คำตอบคือไม่
- เราไม่ได้มีงวง ไว้เคลื่อนย้ายน้ำปริมาณมากเพื่อลดพลังงานเคลื่อนที่
- เราไม่ได้มีระบบย่อย ที่สนับสนุนการกระจายแร่ธาตุ (ไม่มีแร่ธาตุไหนที่ร่างกายเราออกแบบมาให้สังเคราะห์หรือกักเก็บเป็นพิเศษ, เราคงเคยได้ยินมามากว่า ผักนี้มีธาตุนี้เยอะ เนื้อประเภทนี้ มีสารนี้มหาศาล นั่นคือสิ่งที่ธรรมชาติออกแบบนะครับ ต่างคนต่างมีดีเฉพาะแบบตัวเอง สุดท้ายมาแชร์กัน) นี่คือความหมายของภาษาผม ระบบย่อยที่สนับสนุนการกระจายแร่ธาตุ เราไม่มีสกิลนี้นะครับ ถ้ามี เราต้องตอบได้ครับว่า เนื้อมนุษย์มีแร่ธาตุอะไรที่เหนือกว่าหลายๆเนื้อสัตว์ในธรรมชาติ ซึ่งไม่มีครับ เพราะเรากินมั่วมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์
เรากินไปเรื่อย เหมือนสัตว์กินซากที่ทำความสะอาดระบบนิเวศ แต่เราไม่ได้ทำให้สะอาด เพราะเราไม่สามารถกินซาก
เรากินไปเรื่อย เหมือนนักล่าประเภทฉวยโอกาส ที่มีบทบาทสำคัญในการล่าสัตว์อ่อนแอและเป็นโรค (การล่าสัตว์เป็นโรค สำคัญ เพราะลดการระบาดในระบบนิเวศแบบตัดไฟแต่ต้นลม การล่าสัตว์อ่อนแอ สำคัญ เพราะอาหารในธรรมชาติมีจำกัด ตัวอ่อนแอเดี๋ยวก็ตาย ไม่ควรจะมีสิทธิ์มาแย่งอาหารมากมาย มันทำให้ทั้งระบบนิเวศเสียประโยชน์ เก็บอาหาร ไว้ให้สัตว์ที่มีบทบาทสำคัญและมีกำลังมากพอจะแสดงบทบาท มันดีกว่า) แต่การกินไปเรื่อยของเรา ไม่ได้กินเพื่อธรรมชาติที่ยั่งยืน เราไม่มีภูมิคุ้มกันที่ดีพอจะรับมือสัตว์เป็นโรค แถมเราแค่ล่าอะไรตามใจ วันดีคืนดีอยากล่าสัตว์ใหญ่ที่แข็งแรง ก็ทำ
- เราไม่ได้มีระบบย่อย ที่สนับสนุนการแพร่กระจายเมล็ดพันธุ์
ไม่ใช่แค่ว่าเราไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่กินและถ่ายไปเรื่อยเพื่อให้อึไม่กระจุกที่เดียว แต่อึเราก็ไม่ได้มีเมล็ดพันธุ์สำหรับแพร่ขยายต่ออย่างเป็นนัยยะสำคัญ

สรุปคือ สิ่งที่เรานับว่าเป็นภูมิปัญญาแรกเริ่มแห่งดึกดำบรรพ์
ทั้ง การล่าสัตว์ และ การทำเกษตรกรรม ไม่ใช่สิ่งที่ธรรมชาติออกแบบให้เราทำ
บทบาททางธรรมชาติ เราเป็นแค่ขยะจริงๆ เป็นแค่อาหารมั่วๆ
แต่ทำไมเราต้องมีอายุขัยที่มากเกินไปครับ

อยู่ไปเราไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้ธรรมชาติ จากตัวเราในทางชีววิทยาจริงๆ นี่ครับ

สกิลเราก็คือ 0

การล่าสัตว์ ด้วยตัวเองเดี่ยวๆ ใช้เพียงร่างกาย - สอบตก
อย่างที่บอกว่าไม่รวมอารยธรรม ไม่นับอาวุธที่สร้าง อย่าง หอก ขวาน หรือแม้แต่ การขว้างหิน
แต่เอาอาวุธโดยกำเนิด เช่น เขี้ยว กรงเล็บ กล้ามเนื้ออันทรงพลัง (มากพอจะล่าเหยื่อ)  พิษ เรามันไม่มีอะไรสักอย่าง
ทักษะการตรวจจับอาหาร เช่น หูดี ตาดี จมูกดี เราไม่ได้มีนะ
ทักษะการแอบซุ่ม พรางตัว ด้วยร่างกายเท่านั้น (ลายของร่างกาย) เราก็ไม่มี
ความสามารถพิเศษเพื่อหาอาหาร เช่น ตรวจจับความร้อน ส่งคลื่นช่วยหา มีแสงไฟปลอมหรือเหยื่อปลอม และอีกมาก ที่เราไม่มีสักอย่าง
การขุดหลุมเข้าไปดักรอเหยื่อ เราก็ไม่ได้พัฒนาประสาทเฉพาะ (เช่นความสามารถรับแรงสั่นสะเทือนที่ดีกว่าใคร)

การเอาตัวรอด ด้วยตัวเองเดี่ยวๆ ใช้เพียงร่างกาย - สอบตก
การหนีแบบฉับพลัน เช่น ความว่องไวปราดเปรียว การเปลี่ยนทิศทางวิ่งอย่างกะทันหันโดยไม่ตีวงโค้ง การรีบบินหรือขุดหลุมหนี การหลบเข้าเกราะกำบัง ไม่มี
การพรางตัว การข่มขู่ด้วยส่วนของร่างกาย ไม่ว่าจะด้วยสีหรือส่วนพิเศษ การทำเสียงขู่ ไม่มี
อาวุธป้องกันตัว เช่นการมีพิษ กรงเล็บ หางที่ฟาดได้ หนาม ผิวหนังที่เป็นเกราะได้ ไม่มี
เซนส์ตรวจจับภัยธรรมชาติ ไม่ว่าจะแผ่นดินไหว ซึนามิ พายุลูกใหญ่ที่กำลังจะมา (เรารู้แค่ตอนมันมาแล้ว หรือก่อนมาจากการสังเกต แต่ผมหมายถึงการรับรู้ได้ถึงความดัน ที่เปลี่ยน ไรงี้) ไม่มี ทั้งๆที่สัตว์ทำได้ เช่น ฝูงนกบินเหมือนหนีอะไร หมาแข่งกันเห่าพร้อมกัน แต่เราไม่มีอะไรสักอย่างตรงนี้ เราทำได้แค่สังเกตสัตว์ จดจำ และใช้พฤติกรรมสัตว์เป็นสัญญาณเตือน กะโหลกกะลาสิ้นดี

การคำนวนทางวิศวกรรมศาสตร์ด้วยเซนส์ - สอบตก
ผมไม่ได้จะพูดถึงแคลคูลัสหรือศาสตร์แห่งการโปรแกรม
แต่ผมหมายถึง การคำนวนด้วยสัญชาตญาณ
เช่น ปลาเสือพ่นน้ำ ที่ยิงน้ำไปหาแมลงได้อย่างแม่นยำ
แมงมุมประเภทล่าเหยื่อเอง (ไม่รอที่ใย) ที่รู้มุมโจมตีเหยื่อ และจุดยิงใยใส่ ทำให้สามารถพันเหยื่อได้ภายในไม่ถึง 3 วินาทีด้วยซ้ำ
ฝูงค้างคาว เราอาจจะคิดว่ามันบินมั่ว แต่ปล่าวเลย มันบินตามกระแสลมครับ มันรู้ว่าจุดไหนต้องแน่น จุดไหนต้องบางได้เก่งมากๆ
เหยี่ยวที่โฉบลงมาจับเหยื่อจากที่สูง กรงเล็บมันทรงพลังมากนะ แต่มันก็ต้องลงที่เหยื่อเท่านั้น ถ้าลงพื้นคือตายนะครับ
การกระโดดของแมว ที่ไปที่ที่ต้องการได้ถูกต้อง ไม่เอาแมวบ๊องจากคลิปตลก อันนั้นมันเพี้ยนเพราะคนผสมไปเรื่อย
การสร้างรังของนก ที่ทั้งๆที่มีแค่กิ่งไม้ แต่รู้ได้ว่าต้องวางเรียงลำดับยังไง ให้แข็งแรงมากพอจะรับน้ำหนักไหว
ตัดภาพมาที่มนุษย์ ที่แค่เล็งให้แม่นทั้งๆที่มีที่เล็ง ยังพลาดเลย นอกจากว่าฝึกมา
นักบอล นักโยนบอล ที่ไม่พลาด มันก็ทำได้ด้วยการฝึก ไม่ใช่มีความสามารถแต่แรกเริ่มด้วยเซนส์

สรุปคือมนุษย์เป็นขยะธรรมชาติ
ไม่ได้มีประโยชน์อะไรสักอย่างด้วยตัวเอง
สกิลต่างๆก็กะโหลกกะลา
คือเอาตรงๆ มนุษย์ ควรจะสูญพันธุ์ไปนานแล้ว แต่เผอิญว่าเราฉลาดเกินใคร จนสรรสร้างเทคโนโลยีได้มากมาย

แล้วทำไมธรรมชาติต้องให้เราฉลาดขนาดนั้น ?
ก็เพราะ ธรรมชาติไว้ใจให้เราคอย monitor ความเป็นไปของทั้งระบบนิเวศน์ ไม่ใช่หรอครับ
แต่ดูสิ่งที่เราทำกันทุกวันนี้ดิ นอกจากเห็นแก่ตัวต่อโลกไปวันๆ แย่งชิงผลประโยชน์กันไม่หยุดไม่สิ้น เราทำอะไรเพื่อโลกจริงๆบ้างหรอ

แล้วเราก็ฝืนธรรมชาติสุดๆ
อย่างที่บอก ว่าการล่าสัตว์อ่อนแอหรือสัตว์เป็นโรค มันมีเหตุผลของมันครับ
อาหารมีจำกัด ถ้าเลือกให้ก็แน่นอนว่าสัตว์ที่เหมาะสมต่อการขยายเผ่าพันธุ์มากกว่า มันสำคัญกว่าอยู่แล้ว
วิวัฒนาการที่มีมาเป็นล้านปี มันคือโมเดลนี้
แล้วมนุษย์ก็แทรกแซง ด้วย Alien Species ซึ่งปรับตัวเก่งเกินใคร ผลที่ตามมา คือระบบนิเวศน์พัง
แม้แต่กับมนุษย์ด้วยกันเอง เราก็ทำไม่ต่างนะ..
เราต่อต้านเจตคติของวิวัฒนาการ
ผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส ไม่ได้ต่างอะไรจากสัตว์อ่อนแอเลยครับ ถ้ามองในมุมของการอยู่รอดเพื่อสืบเผ่าพันธุ์
ธรรมชาติทำยังไงครับ ? เรียงให้เป็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกที่ต้องถูกไล่ล่า
แล้วมนุษย์ทำยังไงครับ ? ใช้ความสงสาร สนับสนุนการมีอยู่ของพวกเขา
มันถึงได้ประชากรล้นโลกอยู่นี่ไง

แบบนี้เราจะมีอายุขัยที่มากมายไปเพื่ออะไรครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่