🔮มาลาริน🔮เวียตนามรำพัน..สื่อ‘เวียดนาม’วิพากษ์ชาติตนเอง ชี้ปัจจัยทำภาคการท่องเที่ยวแข่งสู้‘ไทย’ไม่ได้

สื่อ‘เวียดนาม’วิพากษ์ชาติตนเอง ชี้ปัจจัยทำภาคการท่องเที่ยวแข่งสู้‘ไทย’ไม่ได้
วันเสาร์ ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566, 18.20 น.



25 ก.พ. 2566 สำนักข่าว VnExpress International ของเวียดนาม เสนอรายงาน
พิเศษ Why Thailand has attracted more foreign tourists than Vietnam โดยเป็นบทวิเคราะห์ว่า เหตุใดประเทศไทยจึงดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ไปเยือน มากกว่าที่จะเดินทางมาเที่ยวในเวียดนาม ซึ่งตัวแปรสำคัญอยู่ที่นโยบายวีซ่าที่เป็นมิตรและบริการด้านความบันเทิงที่หลากหลาย

รายงานเริ่มต้นที่มุมมองจาก แกรนท์  วิลสัน (Grant Wilson) หนุ่มใหญ่วัย 61 ปี ชาวออสเตรเลีย ที่อาศัยอยู่ในเวียดนามมาแล้ว 6 ปี และเดินทางไปประเทศไทยมากกว่า 30 ครั้ง ให้ความเห็นว่า แม้เวียดนามจะมีทัศนียภาพที่สวยงาม อาหารอร่อย และผู้คนที่เป็นมิตร แต่ไทยมีการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวดีกว่า โดยเฉพาะคุณภาพการบริการด้านการท่องเที่ยว ในประเทศไทย ศูนย์การค้าและตลาดกลางคืนมีความหลากหลายและเหมาะสำหรับชาวตะวันตกด้วยคุณภาพของสินค้าที่ดีกว่า
“ในประเทศไทยมีระบบขนส่งมวลชนหลายรูปแบบ ทั้งรถประจำทาง แท็กซี่ ตุ๊กตุ๊ก รวมถึงรถสองแถว ซึ่งเป็นรถประจำทางที่ดัดแปลงมาจากรถกระบะหรือรถบรรทุก ทำให้สะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวในการสำรวจดินแดนแห่งเจดีย์ทอง ในขณะที่การเดินทางในเวียดนาม ผมรู้เพียงว่าต้องใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หรือรถประจำทางเท่านั้น” แกรนท์ กล่าว

ที่ประเทศไทย จากสนามบินสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการรถไฟในราคา 1 เหรียญสหรัฐ เพื่อไปยังใจกลางเมืองกรุงเทพฯ นอกจากนั้น รถไฟฟ้า (รู้จักกันในชื่อ BTS) และรถไฟใต้ดิน (เรียกว่า MRT) เป็น 2 วิธีที่สะดวกที่สุดในการเดินทางรอบเมืองหลวงของไทย ส่วนในเวียดนาม การเดินทางด้วยรถสาธารณะยังมีข้อจำกัด แม้รถไฟใต้ดินสายแรกของเวียดนาม สาย Cat Linh-Ha Dong ในกรุงฮานอย จะเปิดให้บริการในปี 2564 แต่ก็ล้มเหลวในการเชื่อมต่อสถานที่ท่องเที่ยวหลักหลายแห่งของเมือง รถไฟใต้ดินสายแรกของนครโฮจิมินห์ (HCMC) ยังไม่เริ่มให้บริการเนื่องจากเกิดความล่าช้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หนุ่มใหญ่แดนจิงโจ้ กล่าวต่อไปว่า เวียดนามมีสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่ย่ำแย่ ในขณะที่ไทยสร้างชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวด้วย “ย่านโคมแดง” ในกรุงเทพฯ หรือที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ขณะที่แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ แม้เวียดนามมีภูมิประเทศที่สวยงามกว่าไทย แต่การอนุรักษ์ยังด้อยกว่า ในประเทศไทย นักท่องเที่ยวสามารถไปที่อุทยานแห่งชาติและพบเห็นสัตว์ป่าอย่างเสือและช้างได้อย่างง่ายดาย แต่ในเวียดนาม เสือโคร่งเกือบจะสูญพันธุ์ไปแล้ว และช้างป่าสามารถพบเห็นได้ในบางพื้นที่เท่านั้น 

เช่นเดียวกับ ลีโอนี เบ็คเกอร์ (Leoni Becker) บล็อกเกอร์สายท่องเที่ยวชาวเยอรมนี กล่าวว่า ตนเดินทางไปเยือนมาแล้วทั้งไทยและเวียดนาม ซึ่งต้องบอกว่าประเทศไทยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า เนื่องจาก “ประสบการณ์การเดินทางที่หลากหลาย” เช่น “ฟูลมูนปาร์ตี้” ปาร์ตี้ริมชายหาดที่จัดยาวนานตลอดทั้งคืน ซึ่งมีต้นกำเนิดที่หาดริ้น บนเกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี มาตั้งแต่ปี 2528 

รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า แม้เวียดนามจะเปิดการท่องเที่ยวอีกครั้งก่อนหน้านี้ แต่เวียดนามก็ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพียง 3.5 ล้านคนในปี 2565 คิดเป็นเพียง 1 ใน 4 ของตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไปเยือนประเทศไทยในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งมากถึง 11.5 ล้านคน เช่นเดียวกับในปี 2562 แม้เวียดนาม ได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากเป็นประวัติการณ์ถึง 18 ล้านคน และมีรายได้จากส่วนนี้ 1.83 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ก็ยังน้อยกว่าไทยในช่วงเดียวกัน ซึ่งมีชาวต่างชาติเดินทางไปท่องเที่ยวมากถึง 39.8 ล้านคน โกยรายได้แตะ 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ 

Nguyen Tien Dat ซีอีโอของบริษัท AZA Travel Co. ในกรุงฮานอย กล่าวว่า เวียดนามตามหลังเพื่อนบ้านอย่างมากในการพัฒนาบริการและการหารายได้จากการท่องเที่ยว สวรรค์ตากอากาศยอดนิยมของไทยอย่างภูเก็ตและพัทยาเต็มไปด้วยโชว์ทั้งด้านบันเทิงและวัฒนธรรมเพื่อให้บริการนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกทุกคืน และแม้กรุงเทพฯ จะไม่มีหาดทรายยาวเหมือนในญาจาง ดานัง หรือฟูก๊วกของเวียดนาม แต่ที่นั่นก็มีสถานบันเทิงยามค่ำคืนมากมาย เช่น ตลาดกลางคืน และถนนต่างๆ เช่น นานา และซอยคาวบอย ซึ่งมีผู้คนพลุกพล่านตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงเช้าตรู่ทุกวัน 

ในฮานอย ถนนคนเดินจะเปิดเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์และไม่มีกิจกรรมบันเทิงมากมายสำหรับชาวต่างชาติ ขณะที่บาร์และคลับเต้นรำในถนนสำหรับนักท่องเที่ยวแบ็คแพ็ค เช่น Bui Vien ใน HCMC หรือ Ta Hien ในฮานอย ต้องปิดทำการเวลา 02.00 น. นอกจากนั้น บรรดาคนทำงานในวงการท่องเที่ยวกล่าวว่า นโยบายวีซ่าที่เป็นมิตรทำให้ประเทศไทยเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกจำนวนมากที่ต้องการพักผ่อนระยะยาว

ปัจจุบันประเทศไทยยกเว้นวีซ่าให้กว่า 50 ประเทศ รวมทั้งสหรัฐอเมริกาและประเทศในแถบยุโรป สำหรับการพำนักไม่เกิน 45 วัน รวมถึงในปี 2565 ไทยยังเปิดตัววีซ่าพำนักระยะยาว ซึ่งอนุญาตให้ชาวต่างชาติพำนักอยู่ในประเทศได้นานถึง 10 ปีโดยเข้า-ออกได้หลายครั้ง ซึ่ง Pham Hong Long ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวแห่งมหาวิทยาลัยสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ฮานอย กล่าวว่า ไทยและเวียดนามมีลักษณะทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายประการ แต่แนวทางจัดการการท่องเที่ยวได้สร้างความแตกต่าง

ในปี 2564 ขณะที่หลายประเทศทั่วโลกยังคงต่อสู้กับวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 ประเทศไทยเป็นชาติแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ที่เปิดการท่องเที่ยวอีกครั้งด้วยโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์" ซึ่งผ่อนคลายมาตรการการกักตัวและข้อจำกัดเพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งนี้ จากสถิติที่เปิดเผยในงาน Vietnam Tourism Summit 2018 แม้นักท่องเที่ยวต่างชาติจะใช้เวลาเฉลี่ย 9 วันเท่ากันในการท่องเที่ยวในเวียดนามและไทย แต่การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่อหัวต่อวันในประเทศไทยอยู่ที่ 163 เหรียญสหรัฐ ในขณะที่ตัวเลขในเวียดนามอยู่ที่ 96 เหรียญสหรัฐเท่านั้น 

รายงานข่าวทิ้งท้ายว่า ในปี 2566 เวียดนามตั้งเป้าหมายรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 8 ล้านคน เนื่องจากรัฐบาลเริ่มหาทางฟื้นฟูเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว ขณะที่ไทยตั้งเป้ารับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 30 ล้านคน

ขอบคุณเรื่องจาก
https://e.vnexpress.net/news/travel/why-thailand-has-attracted-more-foreign-tourists-than-vietnam-4574484.html

ใน8ปีที่ผ่านมานี้  เวียตนามยังแซงไทยไม่ได้หรอกค่ะ

ประเทศไทยเรามีผู้นำมีวิสัยทัศน์ก้าวหน้าไปในอนาคต

จึงสร้างผลงานด้านการท่องเที่ยว และเตรียมบ้านเมืองไว้ต้อนรับคนมาเยือนอย่างสะดวกสบาย  

บริหารงานด้านนี้จนเป็นที่ประจักษ์ให้ทั่วโลกได้รู้

ใครๆก็อยากมาประเทศไทย

เพราะทำแล้ว ทำอยู่  ทำต่อ  จากความคิดลุงตู่

จนมีวันนี้ วันแห่งความเจริญของประเทศชาติ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
คนที่เชียร์เวียดนามว่าแซงไทยไปแล้ว   คงลงไปนอนชักดิ้นชักงอละงานนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่