อย่าล้อเล่นกับความหวัง : เมื่อ (( รหัสลับบนฝาขวดน้ำอัดลม )) เป็นต้นเหตุไปสู่การจลาจลจนมีคนตาย!!

การชิงโชคหรือเสี่ยงโชคสำหรับบางคนอาจเป็นเพียงเกมส์สนุก ๆ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่สำหรับบางคน สิ่งนี้คือความหวังในการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน คนที่ต้องการพลิกชีวิตให้ดีขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือในชั่วข้ามคืน ค่าเทอมลูก ค่าข้าว ค่าเช่าบ้าน หนี้สินที่ต้องจ่าย ฯลฯ มันสำคัญกับชีวิตของพวกเขามากกว่าที่จะมาล้อเล่นกันง่าย ๆ

“Pepsi Number Fever” เป็นชื่อของแคมเปญการตลาด ที่จัดขึ้นโดยบริษัทเครื่องดื่มน้ำอัดลมเจ้าดังของโลกอย่าง Pepsico ที่ต้องการแย่งตัวเลขส่วนแบ่งการตลาดจากคู่แข่งตัวฉกาจอย่าง Coca-Cola อันที่จริงแคมเปญนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 1984 โดย Christopher Sinclair ซึ่งขณะนั้นเป็น CEO ของ PepsiCo ในวัยเพียง 38 ปี เขาได้ตัดสินใจออกแคมเปญการตลาดใหม่ที่น่าตื่นเต้น เพื่อกระตุ้นยอดขายให้ผู้คนจำนวนมากหันกลับมาสู่ Pepsi และแคมเปญ Pepsi Number Fever ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย Pedro Vergara ผู้บริหารแผนกส่งเสริมการขายในนครนิวยอร์ก ก็ประสบความสำเร็จไปทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นแคมเปญ Number Fever ก็ได้ขยายออกไปยังประเทศแถบลาตินอเมริกาอีก 2 – 3 ประเทศ ซึ่งเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้บริโภคน้ำอัดลมรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้แก่ อาร์เจนตินา ชิลี กัวเตมาลา และเม็กซิโก จนในที่สุดแคมเปญนี้ก็ได้ถูกส่งออกมาเพื่อจัดการแบ่งเค้กกับคู่รักคู่แค้นในสงครามน้ำดำที่ประเทศฟิลิปปินส์ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1992
กติกาแสนง่าย ที่ใช้ได้ดีในทุกส่วนของโลกใบนี้ โดยทาง Pepsi Philippines (PCPPI) ได้ออกประกาศว่าพวกเขาจะพิมพ์หมายเลขตั้งแต่ 001 ถึง 999 ไว้ด้านในฝาจีบของขวด Pepsi, 7-Up, เมาน์เทนดิว และมิรินด้า โดยหมายเลขที่ถูกรางวัลจะถูกประกาศออกมาทางรายการ TV Patrol ของช่อง ABS-CBN ซึ่งเป็นช่อง TV อันดับ 1 ของประเทศ จากนั้นเจ้าของฝาจีบสามารถนำไปแลกรับรางวัล ซึ่งจะมีมูลค่าตั้งแต่ 100 เปโซ (ประมาณ 4 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ถึง 1 ล้านเปโซ (ประมาณ 40,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตามอัตราแลกเปลี่ยนในปี 1992) ซึ่งเป็นรางวัลแจ๊คพ็อต ที่จะมีผู้โชคดีได้ไปเพียง 17 คน!! โดยมูลค่าของรางวัลแจ๊กพ็อตนั้น มีมูลค่ามากกว่าเงินเดือนเฉลี่ยต่อเดือนของชาวฟิลิปปินส์ในเวลานั้นกว่า 611 เท่า!!! คาดการณ์กันว่าตลอดแคมเปญนี้ตั้งแต่ต้นจนจบลงในวันที่ 8 พฤษภาคมของปีเดียวกันนั้น จะมีผู้โชคดีกว่า 51,000 คนที่ได้รับรางวัลไป ว้าวววว.. ข้อเสนอดี ๆ ที่มีโอกาสถูกรางวัลแจ็คพ็อตสูงกว่าถูกล็อตเตอรี่นิดหน่อย (1 : 28.8 ล้าน) ตามที่บริษัทฯประกาศออกไป ก็ได้รับความสนใจแบบล้นหลาม ซึ่งทาง PCPPI ก็ได้เตรียมจัดสรรเงินรางวัลรวมไว้กว่า 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับผู้โชคดีไว้แล้ว
ความปังของแคมเปญนี้ปรากฏออกมาในตัวเลขของยอดขายและส่วนแบ่งการตลาดต่อเดือนของ Pepsi ที่เพิ่มจาก 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มจาก 19.4% เป็น 24.9% ในชั่วข้ามคืน และว่ากันว่ามีประชาชนรับรู้และสนใจที่จะเข้าร่วมชิงโชคในครั้งนี้มากกว่าครึ่งนึงของประชาการฟิลิปปินส์ที่มีอยู่ในเวลานั้นกว่า 65 ล้านคน ด้วยแคมเปญที่ปังขนาดนี้ ทำให้ทาง PCPPI ตัดสินใจขยายเวลาการชิงโชคออกไปอีกถึง 5 สัปดาห์ ซึ่งตัวเลขนี้ก็มากเพียงพอที่จะทำให้ผู้บริหารของบริษัทน้ำดำคู่แข่งต้องออกมาให้สัมภาษณ์ว่า พวกเขานั้นรู้สึก “กังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้น”

อันที่จริงแคมเปญชิงโชคนี้ก็ถือได้ว่ามีการวางมาตรฐานความโปร่งใสไว้เป็นอย่างดี เพราะทาง PCPPI ได้มีการยื่นขออนุญาตไว้กับหน่วยงานท้องถิ่นที่มีหน้าที่กำกับดูแลอย่าง DTI และการสุ่มจับหมายเลขรางวัลก็ได้ทำผ่านบริษัทที่ปรึกษาในประเทศเม็กซิโก ที่มีชื่อว่า DG Consultores ซึ่งจะเป็นผู้สุ่มเลือกหมายเลขที่ชนะ และจะต้องสอดคล้องกับรหัสความปลอดภัยที่พิมพ์ไว้ด้วยกันบนฝา จากนั้นจึงส่งไปให้ PCPPI ออกประกาศ และเพื่อให้แน่ใจว่าหมายเลขที่ถูกรางวัลจะไม่ถูกเปลี่ยนแปลง มันจึงถูกเก็บไว้ในตู้เซฟภายในสาขาของธนาคาร UCPB ในเลกาสปี วิลเลจ มาคาติ โดยตู้เซฟนี้จะสามารถเปิดได้โดยใช้กุญแจสองดอกเท่านั้น โดยแต่ละดอกจะถือโดยตัวแทนของ DTI และ PCPPI
ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี จนกระทั่งฝันร้ายได้ปรากฏตัวขึ้นในตอนเย็นของของวันที่ 25 พฤษภาคม ปี 1992 ซึ่งเป็นช่วงท้าย ๆ ของแคมเปญที่ขยายเวลาออกมาและใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว ในวันนี้ได้มีการประกาศว่าหมายเลข 349 เป็นหมายเลขที่ชนะ ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีผู้โชคดีเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่จะมาขอรับรางวัล แต่ครั้งนี้ ผู้คนหลายหมื่นคนออกมาพร้อมกับฝาจีบที่มีหมายเลข 349 ในมือ ซึ่งในภายหลังได้มีการออกมาเปิดเผยว่า ได้มีการพิมพ์ฝาจีบที่มีหมายเลข 349 ออกมาอย่างผิดปกติกว่า 800,000 ฝา ซึ่งภายในฝานั้นจะไม่มีรหัสความปลอดภัยพิมพ์เอาไว้ แน่นอน! สิ่งที่เกิดขึ้นคือความผิดพลาดของ PCPPI ซึ่งพวกเขาต้องหาทางรับผิดชอบ ซึ่งถ้าพวกเขาต้องจ่ายเงินรางวัลให้กับผู้โชคดีทั้งหมดแล้ว พวกเขาจะต้องใช้เงินกว่า 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งมันไม่มีทางจะเป็นไปได้เลย
การแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนจึงต้องเร่งทำให้เร็วที่สุด PCPPI เรียกประชุมผู้บริหารในเวลาตี 3 ของคืนนั้นทันที! ซึ่งผลสรุปออกมาว่ามีการเกิดข้อผิดพลาดที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ในการพิมพ์หมายเลขที่ออก และจะมีการประกาศหมายเลขที่ถูกรางวัลใหม่ เป็นหมายเลข 134 แทน

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 28 พฤษภาคม หลังจากตรวจสอบกระบวนการอย่างถี่ถ้วนแล้ว ทาง PCPPI ได้ยอมประกาศว่าหมายเลข 349 เป็นหมายเลขที่ชนะ แต่จะจ่ายรางวัลให้กับผู้โชคดีที่มีฝาจีบซึ่งมีรหัสความปลอดภัยที่ถูกต้องตรงกันเท่านั้น! ส่วนคนที่ไม่มีรหัสความปลอดภัยนั้น ทางบริษัทเสนอจะให้เงินชดเชยฝาละ 500 เปโซ เพื่อเป็นเงินชดเชยความผิดพลาดแทน (PCPPI คำนวนแล้วว่าจะใช้เงินเพียง 6 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 240 ล้านเปโซ หากผู้โชคดีสักครึ่งนึงยอมรับข้อเสนอนี้ ซึ่งก็ดีกว่าต้องหาเงินหลายหมื่นล้านมาแจก) ซึ่งก็มีผู้โชคดีประมาณ 486,170 ราย ซึ่งก็เป็นประมาณครึ่งนึงของทั้งหมดยอมรับข้อเสนอนี้

แต่ขณะเดียวกัน ยังมีผู้โชคดีที่ถือฝาจีบหมายเลข 349 จำนวนมาก ที่ไม่พอใจและปฏิเสธที่จะยอมรับข้อเสนอของ PCPPI พวกเขาตั้งกลุ่มคุ้มครองผู้บริโภคที่มีชื่อว่า 349 Alliance ขึ้นมา เพื่อจัดการคว่ำบาตรผลิตภัณฑ์ของเป๊ปซี่ และจัดการชุมนุมนอกสำนักงานของ PCPPI รวมทั้งร้องเรียนไปยังรัฐบาลฟิลิปปินส์ในฐานะที่ดูแลหน่วยงาน DTI ซึ่งมีส่วนควบคุมแคมเปญนี้อยู่ด้วย 
การประท้วงส่วนใหญ่ดำเนินไปอย่างสงบ จนกระทั่งในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1993 (เป็นเวลา 9 เดือนหลังจากที่หมายเลข 349 ถูกประกาศออกไป) ได้เกิดเหตุขว้างปาระเบิดแบบทำเองเข้าใส่รถส่งสินค้าของ Pepsi แต่แรงระเบิดกลับกระเด็นไปโดนครูสาวที่มีชื่อว่า Aniceta Rosario และนักเรียนอายุ  5 ขวบ ที่อยู่ในบริเวณนั้นจนเสียชีวิต สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของความรุนแรงที่กำลังก่อตัวขึ้นจากความไม่พอใจที่ปัญหาไม่ได้ถูกยอมรับและแก้ไข จากนั้นในเดือนพฤษภาคม พนักงานของ PCPPI จำนวน 3 คนในเมืองดาเวา บนเกาะมินดาเนาทางภาคใต้ ก็ถูกสังหารโดยการปาระเบิดมือเข้าไปในโกดังสินค้าภายในโรงงาน รวมทั้ง ผู้บริหารของ PCPPI ก็ได้รับคำขู่ฆ่า และรถบรรทุกของบริษัทมากกว่า 37 คัน ที่ได้รับความเสียหายจากการถูกทำลาย ขว้างด้วยหิน หรือเผา เพื่อระบายความโกรธแค้น โดยชาย 1 ใน 3 รายที่ NBI กล่าวหาว่าเป็นผู้เตรียมการระเบิด อ้างว่าพวกเขาได้รับค่าจ้างจาก PCPPI ในการจัดฉากโจมตี เพื่อใส่ร้ายผู้ประท้วงว่าเป็นพวกผู้ก่อการร้าย อย่างไรก็ตาม นางกลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย ซึ่งเป็นวุฒิสมาชิกในขณะนั้น ได้ออกมาบอกว่าความรุนแรงที่กำลังเกิดขึ้น ดำเนินการโดยผู้ผลิตสินค้าคู่แข่งที่พยายามใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ของ PCPPI
ในส่วนของการฟ้องร้องทางกฏหมาย มีผู้โชคดีที่ยังคงไม่ยอมรับข้อเสนอจาก PCPPI มากถึง 22,000 คน เข้ายื่นฟ้องคดีแพ่งประมาณ 687 คดี และร้องเรียนทางอาญาอีกกว่า 5,200 คดีต่อ PCPPI โดยมีผู้นำเป็นชายที่ชื่อว่า Vicente Del Fierro Jr. ซึ่งในตอนแรกเขาเป็นผู้ต่อต้านแคมเปญส่งเสริมการขายนี้และเรียกมันว่าเป็น “เชื้อร้ายทางสังคมที่บ่มเพาะสัญชาตญาณเสพติดการพนันในรุ่นลูกรุ่นหลานของเรา” แต่หลังจากที่ลูกสาวของเขาบอกว่าเธอคือหนึ่งในผู้โชคดีที่ถูกรางวัลจากฝาจีบหมายเลข 349 เขาก็กลายเป็นผู้นำการสนับสนุนเคลื่อนไหวเพื่อให้ PCPPI จ่ายเงินให้กับผู้ถูกรางวัลในทันที!!!
ในการฟ้องร้องนั้น Del Fierro ได้จ้างทนายความชาวอเมริกันและยื่นฟ้องต่อบริษัทในนครนิวยอร์ก อย่างไรก็ตาม ศาลยกฟ้องและกล่าวว่าคดีนี้ควรได้รับการพิจารณาในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งต่อมากลุ่มของผู้เสียหายอีกกลุ่มที่มีชื่อว่า Ugnayan 349 ได้ยื่นหนังสือเรียกร้องกับ PCPPI ต่อ Quezon City RTC ในปี 1995 ซึ่งในอีก 4 ปีต่อมา ในปี 1996 RTC ก็มีคำพิพากษาออกมาว่าโจทก์ "ไม่มีสิทธิได้รางวัลจากฝาจีบ" แต่สั่งให้ PCPPI จ่ายเงินชดเชยให้ผู้โชคดีคนละ 10,000 เปโซ เพื่อเป็นค่าเสียหายเชิงศีลธรรม ทั้งนี้ PCPPI และโจทก์ต่างยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาในเวลาต่อมา ซึ่งในปี 2007 ก็ได้มีคำพิพากษาที่จากอ้างอิงคดีอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกันซึ่งถูกยื่นฟ้องทั่วประเทศ ซึ่งทั้งหมดได้ตัดสินไปแล้วในตอนนั้น กล่าวไว้ว่า “การตัดสินขั้นสุดท้ายและการดำเนินการได้ตัดสินว่า ฝาจีบที่มีรหัส 349 ซึ่งมีรหัสความปลอดภัยไม่ถูกต้อง จะไม่ได้รับรางวัล ดังนั้น PCPPI ผู้ยื่นคำร้องจึงไม่ต้องรับผิดชอบในการจ่ายเงินตามจำนวนที่พิมพ์บนฝาจีบให้แก่ผู้ถือครอง PCPPI ไม่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น”
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่น่าศึกษาถึงวิธีรับมือกับเหตุการณ์ในสภาวะวิกฤต เช่น วิธีที่ CEO ใหญ่ของ Pepsi บินไปมะนิลาเพื่อพบปะเป็นการส่วนตัวกับอดีตประธานาธิบดีฟิเดล รามอส ในขณะนั้น รวมถึงวิธีการที่ผู้ประท้วงบุกโจมตีทำเนียบ Malacañang ระหว่างการเยือนของอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน และวิธีการที่ DTI ใช้กำหนดกฎเกณฑ์ที่รัดกุมเกี่ยวกับแคมเปญการตลาดและส่งเสริมการขายของบริษัทต่าง ๆ คดีที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเหตุการณ์ Pepsi 349 นี้ อาจได้รับการแก้ไขแล้วและมันจะค่อย ๆ จางหายไปในเมฆหมอกของประวัติศาสตร์ แต่สำหรับผู้ที่มีชีวิตผ่านเหตุการณ์นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนนับพันที่ต่อสู้เพื่อสิทธิในการได้รับสิ่งที่พวกเขาควรจะได้รับ เรื่องราวความทรงจำนี้จะยังคงดำเนินสืบต่อไป..

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่