สมชายและสมศรีนั่งเล่นในห้องชั้นล่าง ตัวบ้านกลางสวนผลไม้ขนาดพอดี ๆ แทรกด้วยไม้ป่าเบญจพรรณปลูกตามกระแสนิยมเพื่อให้เป็นบ้านในป่า ฝ่ายชายนอนอ่านอะไรสักอย่างในหน้าจอโทรศัพท์ ส่วนฝ่ายหญิงเอนหลังบนเก้าอี้นอนดูภาพยนตร์ผ่านหน้าจอแท็บเล็ต สมศรีหัวเราะร่าเป็นจังหวะเมื่อนักแสดงปล่อยมุกตลก
แม้เธอจะอายุเลขหกสิบกลาง ๆ แล้ว แต่ซีรีส์วัยรุ่นไทย ญี่ปุ่น เกาหลี จีนก็เป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับคนวัยเกษียณอย่างเธอ ส่วนชายเกษียณอีกคนก็นอนอ่านข่าว บทความ นู่นนี่นั่นทั่วไปโดยไม่รู้สึกตกใจหรือรำคาญเสียงหัวเราะดังของคู่ชีวิต อาจจะเป็นเพราะชิน เวลาผ่านไปหลายสิบนาที กลายเป็นสองสามชั่วโมง ภาพเดิมก็ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรไปไหน ยกเว้นนิ้วมือของสมชายที่เคลื่อนไหว และขากรรไกรของสมศรีที่ขยับ มีบ้างที่แต่ละคนจะลุกไปเข้าห้องน้ำ
“เฮ้อ…” เสียงหาวของสมชายดังยาว “กลางวันนี้กินอะไรกันดี”
สมศรีกดหยุดภาพยนตร์ ก่อนจะพูด “บอกมาเลยจะกินอะไร เดี๋ยวทำให้”
“อะไรก็ได้ ง่าย ๆ”
“อะไรล่ะ” แม่ครัวรอคำตอบ
“คิดไม่ออก”
“งั้นส้มตำละกันนะ ชายไปเก็บมะละกอในสวนมานะ อยากกินเผ็ดเท่าไหร่เด็ดพริกมาเลย เดี๋ยวศรีออกไปซื้อกุ้งสดที่ตลาด”
“ดีเหมือนกัน ส้มตำฝีมือศรีกินยังไงก็ไม่เบื่อ” ชายแอบหยอด
จากนั้นทั้งสองคนก็ออกไปทำภารกิจตามที่ได้รับมอบหมาย ผ่านไปไม่กี่นาทีทั้งคู่ก็มานั่งกินอาหารง่าย ๆ ที่โต๊ะ
“พรุ่งนี้ออกไปเที่ยวกันมั้ย ออกไปขับรถเล่นหน่อย” สมชายพูดเมื่อเคี้ยวเส้นมะละกอหมดปาก
“เอาสิ ไม่ได้ออกบ้านนานมากแล้ว”
“ไปไหนดี”
ทั้งคู่นิ่งเงียบไป ไม่มีใครพูดอะไรต่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผ่านไปสองสามนาที สมชายพูดขึ้น
“งั้นเรานัดเจอเพื่อน ๆ กันหน่อยมั้ย น่าจะดีกว่าออกเที่ยวแบบเหงา ๆ”
สมศรีวางช้อนส้อมลง “เชิญเพื่อนของใครมาล่ะ เพื่อนต่างจังหวัดหรือเพื่อนใกล้ ๆ นี่ดี”
“นั่นสิ เอาไงดี หรือจะจะจัดหลาย ๆ งาน แล้วเชิญมาทีละกลุ่ม”
“จัดงานอาทิตย์ละกลุ่ม เดือนละกลุ่ม กว่าจะครบคงได้จัดงานเผาเรา ไม่คนใดก็คนหนึ่ง” สมศรีพูดเชิงขบขัน
สามีและภรรยาหัวเราะร่วมกัน
“นั่นอาจจะดี จะได้รวมกลุ่มกันอีกครั้งโดยไม่ต้องนัดหมาย” สมชายเล่นบ้าง
สมศรีระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น ดังยิ่งกว่าตอนเธอหัวเราะจากภาพยนตร์หรือซีรีส์ต่าง ๆ ที่เธอเคยดู
“ไว้ค่อย ๆ คิดละกัน” สมศรีทิ้งท้าย แต่น้ำเสียงยังเจือไปด้วยเสียงหัวเราะ
บรรยากาศเย็นย่ำ แสงแดดสุดท้ายของวันกำลังจะลาลับ นกกาบินกลับรัง สมศรีเปิดน้ำรองฝักบัวไล่รดต้นไม้สวนครัว ทั้งกะเพรา มะเขือเทศ พริกมะนาว ฯลฯ สมชายใช้ส้อมมือพรวนดินในแปลงปลูกผัก แม้ในแปลงดินดูร่วนซุยอยู่แล้ว แปลงผักสวนครัวสวยงามพร้อมสรรพ เกิดจากเวลาว่างของทั้งคู่ที่มีมากมายเหลือเฟือ อยู่ ๆ สมชายพูดขึ้น
“ถ้าไม่ใช่งานศพ จะมีงานอะไรนะที่จะรวมกลุ่มเพื่อน ๆ ได้”
สมศรีเทน้ำจนหมดบัวก่อนจะตอบ “งานอะไรล่ะ งานวันเกิดเหรอ”
สมชายหัวเราะหึหึ “คนรุ่นเรา ถ้าไม่ลูกหลานจัดให้คงไม่มีใครมานั่งกินเลี้ยงงานวันเกิดตัวเองหรอก”
“งั้นเราเรียกสมปองมาจัดงานให้ดีมั้ย”
“ไม่อยากให้ลูกปิดร้านหลายวันเพื่อมาเตรียมงาน ไหนต้องเก็บกวาดอีก”
“สมใจล่ะ”
“อย่าเลย ต้องเลี้ยงลูกเล็ก คงไม่มีเวลา” สมชายพูด
“ถ้าไม่งานวันเกิด ก็มีงานบวช ขึ้นบ้านใหม่ งานฉลองปีใหม่ ถูกหวย เรียนจบ วันพบญาติ คริสต์มาส ตรุษจีน สงกรานต์ งานวัด งานบุญบั้งไฟ ไหว้พระจันทร์ งานแต่ง” สมศรีทำเสียงหอบ
สมชายทำท่าครุ่นคิดเมื่อได้ยินคำบางคำ “งานแต่ง”
“จะงานแต่งใครล่ะ ลูกเราสองคนก็เป็นฝั่งเป็นฝากันหมดแล้ว”
ฝ่ายชายเงยหน้ามองฝ่ายหญิง “ก็งานแต่งงานของเราไง”
สมศรียิ้มอายม้วน แม้เธอจะยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่เมื่อได้ยินคำว่าแต่งงาน ผู้หญิงอย่างเธอก็รู้สึกปลื้มปริ่ม
“จริงสินะ เราสองคนอยู่กินกันโดยไม่ได้จัดงานแต่งงาน” สมศรีพูด
สมชายยิ้มให้กับความคิดในหัวของเขา ชายสูงอายุวางอุปกรณ์ทางการเกษตรลง และเปลี่ยนจากท่าชันเข่าเป็นนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นหญ้า
“ในสมัยนั้นเศรษฐกิจไม่ค่อยดี ไม่อยากกู้หนี้ยืมสินมาจัดงาน” สมชายพูดถึงอดีต
สมศรีนั่งลงข้าง ๆ สมชาย ก่อนจะกุมมือเขา
“ก็ดีแล้วไง ก็ตอนนั้นมันยังไม่จำเป็น”
ทั้งคู่หันมาสบตากันพร้อมรอยยิ้ม สมชายเลื่อนมือไปโอบไหล่สมศรี
“คงจะน่าสนุกดีนะ ถ้าเราจัดงานจริง ๆ ก็เหมือนเราชดใช้ให้เพื่อน ๆ เราบ้าง ไปงานพวกนั้นกันเกือบจะครบทุกคนแล้ว”
“ค่ะ” สมศรีตอบสั้น ๆ อย่างเห็นด้วย “แล้วเราต้องทำอะไรบ้างเนี่ย”
สมชายนิ่งไปครู่หนึ่ง “ไม่รู้เหมือนกัน ไว้เราค่อย ๆ วางแผนกันนะ นี่เราคิดกันได้แค่นี้ก็รู้สึกเหนื่อยมากแล้ว”
สมศรีหัวเราะคิกคักกับคำพูดของสมชาย
แสงแดดแรกของวันเริ่มฉาย แดดอ่อนส่องทะลุบานกระจกใหญ่กระทบถ้วยและเหยือกกาแฟ สมชายยกเหยือกขึ้นก่อนจะรินน้ำสีเข้มลงในถ้วย เขาเลื่อนถ้วยกาแฟให้คนรัก จากนั้นจึงรินกาแฟให้ตัวเอง ทั้งคู่มีถ้วยกาแฟอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่ยังไม่มีใครยกขึ้นดื่ม คงจะรอให้อุณหภูมิในถ้วยนั้นเบาบางลงบ้างก่อน
“ขั้นแรกเราคงต้องลิสต์รายชื่อเพื่อน ๆ ของเราก่อน ว่ามีใครบ้าง ใครที่ยังแข็งแรงพอจะเดินทางได้ ใครที่พอจะมีลูกหลานพามาได้” สมชายพูดพร้อมใช้นิ้วมือแตะไปที่ถ้วยกาแฟ
“ถ้าคนที่อยู่จังหวัดไกล ๆ ล่ะ”
“นั่นไง ถึงต้องดูว่าใครมีลูกหลานพามาได้บ้าง”
สมศรีลุกไปหยิบสมุดเปล่าพร้อมปากกามาวางบนโต๊ะสองชุด
“งั้นเราเขียนชื่อเพื่อนลงไปก่อน นึกถึงใครได้เขียนไปก่อน”
“ห่างกันไปนาน เริ่มจะนึกไม่ออกแล้ว” สมชายทำเสียงอ่อน
“เอาอย่างนี้ละกัน ให้คิดถึงงานแต่งเพื่อนที่เราไป แล้วก็เขียนชื่อเพื่อนคนนั้นลงกระดาษ เหตุการณ์สนุก ๆ น่าจะทำให้เราไม่ลืม”
สมชายมองหน้าภรรยา เขาทำท่าเห็นด้วยกับความคิดนี้ ชายแก่ทำท่าใช้ความคิดครู่หนึ่งก็พูดออกมา
“งั้นคนแรกเลย ไอ้เมธี งานแต่งมันบ้ามาก วันนั้นทุกคนเมาเละ” ผู้พูดยิ้ม
ตลอดเช้าถึงสาย ในที่สุดกิจกรรมลิสต์รายชื่อเพื่อนก็เข้ามาแทนที่กิจกรรมจ้องหน้าจอโทรศัพท์และแท็บเล็ต สองสามีภรรยาจดจ่อกับความคิด บ้างเล่าถึงวีรกรรมบ้า ๆ ซึ้ง ๆ หวาน ๆ ในแต่ละงานให้ฟังซึ่งกันและกัน ทั้งคู่หัวเราะสนุกสนาน
ช่วงบ่าย ๆ อากาศค่อนข้างร้อน แต่ทั้งสมชายและสมศรียังคงเดินเลือกซื้อของในตลาดสดอย่างสบายอารมณ์ ทั้งคู่หิ้วถุงผ้ากันคนละใบ ในนั้นมีทั้งไข่ ผลไม้ เนื้อสัตว์ ผัก และยังมีขวดเครื่องดื่มของสมชายอีกด้วย
“ไม่น่าเชื่อนะ พอไล่ไปไล่มามีเพื่อนและคนรู้จักที่อยากเจอเกือบจะร้อยคนเลย ทั้งเพื่อนที่ทำงาน ที่เรียน เพื่อนสมัยทำกิจกรรมด้วยกัน หลาย ๆ ที่รวมกันก็เยอะอยู่นะ” สมศรีพูดขึ้น
“จริงเหรอ ชายเองก็รวม ๆ แล้วได้ร้อยกว่าเหมือนกัน”
“มันจะไม่ใช่งานเล็ก ๆ แล้วนะ”
“นั่นสิ สมมุติเราชวนเพื่อนมาได้แค่ครึ่ง ชายห้าสิบคน ศรีห้าสิบคน รวมกันเป็นร้อย ถ้าเพื่อนแต่ละคนมีผู้ติดตามสามถึงสี่คน อาจจะมีแขกมางานของเราสามร้อยกว่าคน”
“เราจะทำไงดี” สมศรีพูด
ทั้งคู่เดินออกจากตลาดไปที่รถยนต์ สมชายจัดแจงวางของให้เรียบร้อยในท้ายรถ สมศรีเปิดประตูเข้าไปนั่งเบาะหน้า สมชายปิดท้ายรถ เขาเข้าไปนั่งยังตำแหน่งคนขับก่อนจะสตาร์ตรถเคลื่อนตัวออกมา
“งั้นเราทำรายชื่อเพื่อนพร้อมเบอร์ติดต่อ แล้วเดี๋ยวให้ปองช่วยประสานให้ว่าใครจะสะดวกหรือไม่” สมชายพูดไปด้วยยังคับพวงมาลัยไปด้วย
“เราต้องหาสถานที่และกำหนดวันงานก่อนเปล่า”
สมชายคิด “ใช่” สมชายคิดอีกรอบ “งั้นเราจัดงานในโรงแรมมั้ย ซื้อเป็นแพ็กเกจงานแต่งไปเลย ไม่ต้องวุ่นวาย”
“แต่คงจะแพงน่าดูนะ” สมศรีพูดด้วยน้ำเสียงกังวล
“แต่เงินในบัญชีเราก็เยอะอยู่นะ ลูกให้มาไว้ใช้จ่าย นี่ก็แทบจะไม่ได้จ่ายค่าอะไร”
“เอาชายว่าละกัน” สมศรีทำท่าเห็นด้วย แต่ก็ยังรู้สึกเสียดายเงิน
“และงานแต่งของเราจะไม่มีการรับซองเด็ดขาด” สมชายพูดปิดท้ายเรียกรอยยิ้มจากสมศรี
บ้านปูนสองชั้น ชั้นล่างดูเปิดโล่งด้วยหน้าต่างกระจกหลายบาน ผนังด้านหนึ่งฝั่งทิศตะวันออกเป็นบานประตูกระจกขนาดสูงจากพื้นถึงเพดาน เรียงต่อกันยาว มองจากภายนอกยามค่ำคืนเห็นภายในบ้านเปิดไฟสว่างไม่มากนัก สมชายนั่งบนเก้าอี้อ่านตัวอักษรบนโทรศัพท์ ส่วนสมศรีงีบหลับคาหน้าจอแท็บเล็ตไปก่อนแล้ว อยู่ ๆ เสียงเตือนมีข้อความเข้าดังจากโทรศัพท์ของสมชาย
“ปองส่งข้อความมาแล้วนะ ลูกคอนเฟิร์มเพื่อน ๆ ที่จะมางานของเราได้ครบหมดแล้ว”
เสียงพูดสมชายปลุกสมศรีตื่น
“จริงเหรอ” สมศรีสะลึมสะลือ “ทำไมเร็วจัง แค่สองอาทิตย์โทรนัดได้เกือบสองร้อยคนเลยเหรอ”
สมชายเปิดไฟล์เอกสารที่ลูกชายแนบมาให้
“นี่ไง มีคนที่ยืนยันว่าจะมางานเรา 89 คน ลูกยังถามแต่ละคนว่าจะมากันประมาณกี่คน รวม ๆ แล้วก็น่าจะเกือบสามร้อยคน”
“โชคดีจริง ๆ ที่เราเลือกแพ็กเกจแพง ๆ รองรับแขกได้เยอะ”
“โรงแรมจะให้เราเข้าไปลองชุดเมื่อไหร่นะ” สมชายถามอย่างกระตือรือร้น
“อีกสองอาทิตย์ ก่อนวันงานสองอาทิตย์”
“ก็อีกแค่เดือนเดียวเองนะ” สมชายพูดทำเสียงซึ้ง เขาลุกและลากเก้าอี้ไปนั่งข้างสมศรี “เกรงว่าเราจะข้ามขั้นตอนไปหน่อย”
สมชายหยิบกล่องสี่เหลี่ยมกำมะหยี่ขนาดพอดีมือออกมา เขาเปิดกล่องแล้วหยิบแหวนเพชรออกมา ไม่รอช้าเขาสวมแหวนให้เธอ
สมศรียกนิ้วมาดู เธอยิ้มแก้มปริ “จะไม่ถงไม่ถามกันสักหน่อยเหรอ”
สมชายเงยหน้ามองตาโตไปที่สมศรี “ยังคิดว่าจะมีทางเลือกอื่นอีกเหรอ อยู่มากันขนาดนี้แล้ว”
สมศรีหัวเราะเสียงแหลม
เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อทั้งคู่ต้องคอยโทรศัพท์ไปหาเพื่อน ๆ กว่าจะถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกัน กว่าจะยืนยันการเดินทาง สมชายยังต้องคอยเตือนให้สมปองจองห้องพักในโรงแรมให้ผู้ที่ยืนยันจะมา ไหนจะมีทางผู้จัดงานถามความต้องการรูปแบบของงานจากสมชายและสมศรีเป็นระยะ ๆ แต่ทั้งคู่ก็เออออไปตามนั้น มีแต่เพียงขออาหารเป็นโต๊ะจีนให้แขกนั่งกินสบาย ๆ ก็พอ
และวันนี้เป็นวันที่สมชายใส่ชุดสูทเจ้าบ่าวสีเทา งานจัดตอนเช้าในแสงอาทิตย์อ่อนส่องสะท้อนชุดเจ้าสาวมินิมอลสีขาวล้วนให้เปล่งประกาย แขนชุดของสมศรีแต่งลูกไม้เพิ่มความสนุกให้กับชุดที่ดูเรียบง่ายนี้ ทั้งคู่ยืนยิ้มอารมณ์ดีต้อนรับเพื่อน ๆ แม้จะได้ทักทายกันสั้น ๆ แต่สมชายและสมศรีก็รับปากว่าจะไปคุยกันต่อที่โต๊ะ แม้ทุกคนต่างก็รู้กันดีว่า คู่บ่าวสาวในวันนี้คงไม่มีแรงกายพอที่จะทำตามคำพูดนั้นได้ สมปองและสมใจคอยยืนเฝ้าดูแลบุพการีอย่างใกล้ชิด
แขกเหรื่อเข้านั่งประจำโต๊ะกันหมดแล้ว ถึงเวลาที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวขึ้นเวทีไปกล่าวเปิดงาน พิธีกรประจำงานเชิญสมชายขึ้นไป
“สวัสดีเพื่อน ๆ ทุกคน” สมชายพูด เสียงปรบมือดัง “ผมต้องขอขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในวันสำคัญนี้ สำหรับความสำคัญในวันนี้มีสองเรื่อง หนึ่งคือ ผมได้ประกาศความรักกับภรรยาของผมอย่างเป็นทางการ และสอง คือการได้พบปะเพื่อนสนิทมิตรสหาย แม้บางคนอยู่ไกลแต่ยังอุตส่าห์เดินทางมารวมตัวกัน ผมต้องขอขอบคุณอย่างสุดซึ้งครับ”
สมชายกล่าวเพียงสั้น ๆ เพื่อไม่ให้เปลืองเวลา ทุกคนในห้องปรบมือพร้อมส่งเสียงชื่นชม ถึงคราวที่สมหญิงเป็นฝ่ายยืนอยู่หน้าขาตั้งไมโครโฟนบ้าง
First time wedding
แม้เธอจะอายุเลขหกสิบกลาง ๆ แล้ว แต่ซีรีส์วัยรุ่นไทย ญี่ปุ่น เกาหลี จีนก็เป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับคนวัยเกษียณอย่างเธอ ส่วนชายเกษียณอีกคนก็นอนอ่านข่าว บทความ นู่นนี่นั่นทั่วไปโดยไม่รู้สึกตกใจหรือรำคาญเสียงหัวเราะดังของคู่ชีวิต อาจจะเป็นเพราะชิน เวลาผ่านไปหลายสิบนาที กลายเป็นสองสามชั่วโมง ภาพเดิมก็ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรไปไหน ยกเว้นนิ้วมือของสมชายที่เคลื่อนไหว และขากรรไกรของสมศรีที่ขยับ มีบ้างที่แต่ละคนจะลุกไปเข้าห้องน้ำ
“เฮ้อ…” เสียงหาวของสมชายดังยาว “กลางวันนี้กินอะไรกันดี”
สมศรีกดหยุดภาพยนตร์ ก่อนจะพูด “บอกมาเลยจะกินอะไร เดี๋ยวทำให้”
“อะไรก็ได้ ง่าย ๆ”
“อะไรล่ะ” แม่ครัวรอคำตอบ
“คิดไม่ออก”
“งั้นส้มตำละกันนะ ชายไปเก็บมะละกอในสวนมานะ อยากกินเผ็ดเท่าไหร่เด็ดพริกมาเลย เดี๋ยวศรีออกไปซื้อกุ้งสดที่ตลาด”
“ดีเหมือนกัน ส้มตำฝีมือศรีกินยังไงก็ไม่เบื่อ” ชายแอบหยอด
จากนั้นทั้งสองคนก็ออกไปทำภารกิจตามที่ได้รับมอบหมาย ผ่านไปไม่กี่นาทีทั้งคู่ก็มานั่งกินอาหารง่าย ๆ ที่โต๊ะ
“พรุ่งนี้ออกไปเที่ยวกันมั้ย ออกไปขับรถเล่นหน่อย” สมชายพูดเมื่อเคี้ยวเส้นมะละกอหมดปาก
“เอาสิ ไม่ได้ออกบ้านนานมากแล้ว”
“ไปไหนดี”
ทั้งคู่นิ่งเงียบไป ไม่มีใครพูดอะไรต่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผ่านไปสองสามนาที สมชายพูดขึ้น
“งั้นเรานัดเจอเพื่อน ๆ กันหน่อยมั้ย น่าจะดีกว่าออกเที่ยวแบบเหงา ๆ”
สมศรีวางช้อนส้อมลง “เชิญเพื่อนของใครมาล่ะ เพื่อนต่างจังหวัดหรือเพื่อนใกล้ ๆ นี่ดี”
“นั่นสิ เอาไงดี หรือจะจะจัดหลาย ๆ งาน แล้วเชิญมาทีละกลุ่ม”
“จัดงานอาทิตย์ละกลุ่ม เดือนละกลุ่ม กว่าจะครบคงได้จัดงานเผาเรา ไม่คนใดก็คนหนึ่ง” สมศรีพูดเชิงขบขัน
สามีและภรรยาหัวเราะร่วมกัน
“นั่นอาจจะดี จะได้รวมกลุ่มกันอีกครั้งโดยไม่ต้องนัดหมาย” สมชายเล่นบ้าง
สมศรีระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น ดังยิ่งกว่าตอนเธอหัวเราะจากภาพยนตร์หรือซีรีส์ต่าง ๆ ที่เธอเคยดู
“ไว้ค่อย ๆ คิดละกัน” สมศรีทิ้งท้าย แต่น้ำเสียงยังเจือไปด้วยเสียงหัวเราะ
บรรยากาศเย็นย่ำ แสงแดดสุดท้ายของวันกำลังจะลาลับ นกกาบินกลับรัง สมศรีเปิดน้ำรองฝักบัวไล่รดต้นไม้สวนครัว ทั้งกะเพรา มะเขือเทศ พริกมะนาว ฯลฯ สมชายใช้ส้อมมือพรวนดินในแปลงปลูกผัก แม้ในแปลงดินดูร่วนซุยอยู่แล้ว แปลงผักสวนครัวสวยงามพร้อมสรรพ เกิดจากเวลาว่างของทั้งคู่ที่มีมากมายเหลือเฟือ อยู่ ๆ สมชายพูดขึ้น
“ถ้าไม่ใช่งานศพ จะมีงานอะไรนะที่จะรวมกลุ่มเพื่อน ๆ ได้”
สมศรีเทน้ำจนหมดบัวก่อนจะตอบ “งานอะไรล่ะ งานวันเกิดเหรอ”
สมชายหัวเราะหึหึ “คนรุ่นเรา ถ้าไม่ลูกหลานจัดให้คงไม่มีใครมานั่งกินเลี้ยงงานวันเกิดตัวเองหรอก”
“งั้นเราเรียกสมปองมาจัดงานให้ดีมั้ย”
“ไม่อยากให้ลูกปิดร้านหลายวันเพื่อมาเตรียมงาน ไหนต้องเก็บกวาดอีก”
“สมใจล่ะ”
“อย่าเลย ต้องเลี้ยงลูกเล็ก คงไม่มีเวลา” สมชายพูด
“ถ้าไม่งานวันเกิด ก็มีงานบวช ขึ้นบ้านใหม่ งานฉลองปีใหม่ ถูกหวย เรียนจบ วันพบญาติ คริสต์มาส ตรุษจีน สงกรานต์ งานวัด งานบุญบั้งไฟ ไหว้พระจันทร์ งานแต่ง” สมศรีทำเสียงหอบ
สมชายทำท่าครุ่นคิดเมื่อได้ยินคำบางคำ “งานแต่ง”
“จะงานแต่งใครล่ะ ลูกเราสองคนก็เป็นฝั่งเป็นฝากันหมดแล้ว”
ฝ่ายชายเงยหน้ามองฝ่ายหญิง “ก็งานแต่งงานของเราไง”
สมศรียิ้มอายม้วน แม้เธอจะยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่เมื่อได้ยินคำว่าแต่งงาน ผู้หญิงอย่างเธอก็รู้สึกปลื้มปริ่ม
“จริงสินะ เราสองคนอยู่กินกันโดยไม่ได้จัดงานแต่งงาน” สมศรีพูด
สมชายยิ้มให้กับความคิดในหัวของเขา ชายสูงอายุวางอุปกรณ์ทางการเกษตรลง และเปลี่ยนจากท่าชันเข่าเป็นนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นหญ้า
“ในสมัยนั้นเศรษฐกิจไม่ค่อยดี ไม่อยากกู้หนี้ยืมสินมาจัดงาน” สมชายพูดถึงอดีต
สมศรีนั่งลงข้าง ๆ สมชาย ก่อนจะกุมมือเขา
“ก็ดีแล้วไง ก็ตอนนั้นมันยังไม่จำเป็น”
ทั้งคู่หันมาสบตากันพร้อมรอยยิ้ม สมชายเลื่อนมือไปโอบไหล่สมศรี
“คงจะน่าสนุกดีนะ ถ้าเราจัดงานจริง ๆ ก็เหมือนเราชดใช้ให้เพื่อน ๆ เราบ้าง ไปงานพวกนั้นกันเกือบจะครบทุกคนแล้ว”
“ค่ะ” สมศรีตอบสั้น ๆ อย่างเห็นด้วย “แล้วเราต้องทำอะไรบ้างเนี่ย”
สมชายนิ่งไปครู่หนึ่ง “ไม่รู้เหมือนกัน ไว้เราค่อย ๆ วางแผนกันนะ นี่เราคิดกันได้แค่นี้ก็รู้สึกเหนื่อยมากแล้ว”
สมศรีหัวเราะคิกคักกับคำพูดของสมชาย
แสงแดดแรกของวันเริ่มฉาย แดดอ่อนส่องทะลุบานกระจกใหญ่กระทบถ้วยและเหยือกกาแฟ สมชายยกเหยือกขึ้นก่อนจะรินน้ำสีเข้มลงในถ้วย เขาเลื่อนถ้วยกาแฟให้คนรัก จากนั้นจึงรินกาแฟให้ตัวเอง ทั้งคู่มีถ้วยกาแฟอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่ยังไม่มีใครยกขึ้นดื่ม คงจะรอให้อุณหภูมิในถ้วยนั้นเบาบางลงบ้างก่อน
“ขั้นแรกเราคงต้องลิสต์รายชื่อเพื่อน ๆ ของเราก่อน ว่ามีใครบ้าง ใครที่ยังแข็งแรงพอจะเดินทางได้ ใครที่พอจะมีลูกหลานพามาได้” สมชายพูดพร้อมใช้นิ้วมือแตะไปที่ถ้วยกาแฟ
“ถ้าคนที่อยู่จังหวัดไกล ๆ ล่ะ”
“นั่นไง ถึงต้องดูว่าใครมีลูกหลานพามาได้บ้าง”
สมศรีลุกไปหยิบสมุดเปล่าพร้อมปากกามาวางบนโต๊ะสองชุด
“งั้นเราเขียนชื่อเพื่อนลงไปก่อน นึกถึงใครได้เขียนไปก่อน”
“ห่างกันไปนาน เริ่มจะนึกไม่ออกแล้ว” สมชายทำเสียงอ่อน
“เอาอย่างนี้ละกัน ให้คิดถึงงานแต่งเพื่อนที่เราไป แล้วก็เขียนชื่อเพื่อนคนนั้นลงกระดาษ เหตุการณ์สนุก ๆ น่าจะทำให้เราไม่ลืม”
สมชายมองหน้าภรรยา เขาทำท่าเห็นด้วยกับความคิดนี้ ชายแก่ทำท่าใช้ความคิดครู่หนึ่งก็พูดออกมา
“งั้นคนแรกเลย ไอ้เมธี งานแต่งมันบ้ามาก วันนั้นทุกคนเมาเละ” ผู้พูดยิ้ม
ตลอดเช้าถึงสาย ในที่สุดกิจกรรมลิสต์รายชื่อเพื่อนก็เข้ามาแทนที่กิจกรรมจ้องหน้าจอโทรศัพท์และแท็บเล็ต สองสามีภรรยาจดจ่อกับความคิด บ้างเล่าถึงวีรกรรมบ้า ๆ ซึ้ง ๆ หวาน ๆ ในแต่ละงานให้ฟังซึ่งกันและกัน ทั้งคู่หัวเราะสนุกสนาน
ช่วงบ่าย ๆ อากาศค่อนข้างร้อน แต่ทั้งสมชายและสมศรียังคงเดินเลือกซื้อของในตลาดสดอย่างสบายอารมณ์ ทั้งคู่หิ้วถุงผ้ากันคนละใบ ในนั้นมีทั้งไข่ ผลไม้ เนื้อสัตว์ ผัก และยังมีขวดเครื่องดื่มของสมชายอีกด้วย
“ไม่น่าเชื่อนะ พอไล่ไปไล่มามีเพื่อนและคนรู้จักที่อยากเจอเกือบจะร้อยคนเลย ทั้งเพื่อนที่ทำงาน ที่เรียน เพื่อนสมัยทำกิจกรรมด้วยกัน หลาย ๆ ที่รวมกันก็เยอะอยู่นะ” สมศรีพูดขึ้น
“จริงเหรอ ชายเองก็รวม ๆ แล้วได้ร้อยกว่าเหมือนกัน”
“มันจะไม่ใช่งานเล็ก ๆ แล้วนะ”
“นั่นสิ สมมุติเราชวนเพื่อนมาได้แค่ครึ่ง ชายห้าสิบคน ศรีห้าสิบคน รวมกันเป็นร้อย ถ้าเพื่อนแต่ละคนมีผู้ติดตามสามถึงสี่คน อาจจะมีแขกมางานของเราสามร้อยกว่าคน”
“เราจะทำไงดี” สมศรีพูด
ทั้งคู่เดินออกจากตลาดไปที่รถยนต์ สมชายจัดแจงวางของให้เรียบร้อยในท้ายรถ สมศรีเปิดประตูเข้าไปนั่งเบาะหน้า สมชายปิดท้ายรถ เขาเข้าไปนั่งยังตำแหน่งคนขับก่อนจะสตาร์ตรถเคลื่อนตัวออกมา
“งั้นเราทำรายชื่อเพื่อนพร้อมเบอร์ติดต่อ แล้วเดี๋ยวให้ปองช่วยประสานให้ว่าใครจะสะดวกหรือไม่” สมชายพูดไปด้วยยังคับพวงมาลัยไปด้วย
“เราต้องหาสถานที่และกำหนดวันงานก่อนเปล่า”
สมชายคิด “ใช่” สมชายคิดอีกรอบ “งั้นเราจัดงานในโรงแรมมั้ย ซื้อเป็นแพ็กเกจงานแต่งไปเลย ไม่ต้องวุ่นวาย”
“แต่คงจะแพงน่าดูนะ” สมศรีพูดด้วยน้ำเสียงกังวล
“แต่เงินในบัญชีเราก็เยอะอยู่นะ ลูกให้มาไว้ใช้จ่าย นี่ก็แทบจะไม่ได้จ่ายค่าอะไร”
“เอาชายว่าละกัน” สมศรีทำท่าเห็นด้วย แต่ก็ยังรู้สึกเสียดายเงิน
“และงานแต่งของเราจะไม่มีการรับซองเด็ดขาด” สมชายพูดปิดท้ายเรียกรอยยิ้มจากสมศรี
บ้านปูนสองชั้น ชั้นล่างดูเปิดโล่งด้วยหน้าต่างกระจกหลายบาน ผนังด้านหนึ่งฝั่งทิศตะวันออกเป็นบานประตูกระจกขนาดสูงจากพื้นถึงเพดาน เรียงต่อกันยาว มองจากภายนอกยามค่ำคืนเห็นภายในบ้านเปิดไฟสว่างไม่มากนัก สมชายนั่งบนเก้าอี้อ่านตัวอักษรบนโทรศัพท์ ส่วนสมศรีงีบหลับคาหน้าจอแท็บเล็ตไปก่อนแล้ว อยู่ ๆ เสียงเตือนมีข้อความเข้าดังจากโทรศัพท์ของสมชาย
“ปองส่งข้อความมาแล้วนะ ลูกคอนเฟิร์มเพื่อน ๆ ที่จะมางานของเราได้ครบหมดแล้ว”
เสียงพูดสมชายปลุกสมศรีตื่น
“จริงเหรอ” สมศรีสะลึมสะลือ “ทำไมเร็วจัง แค่สองอาทิตย์โทรนัดได้เกือบสองร้อยคนเลยเหรอ”
สมชายเปิดไฟล์เอกสารที่ลูกชายแนบมาให้
“นี่ไง มีคนที่ยืนยันว่าจะมางานเรา 89 คน ลูกยังถามแต่ละคนว่าจะมากันประมาณกี่คน รวม ๆ แล้วก็น่าจะเกือบสามร้อยคน”
“โชคดีจริง ๆ ที่เราเลือกแพ็กเกจแพง ๆ รองรับแขกได้เยอะ”
“โรงแรมจะให้เราเข้าไปลองชุดเมื่อไหร่นะ” สมชายถามอย่างกระตือรือร้น
“อีกสองอาทิตย์ ก่อนวันงานสองอาทิตย์”
“ก็อีกแค่เดือนเดียวเองนะ” สมชายพูดทำเสียงซึ้ง เขาลุกและลากเก้าอี้ไปนั่งข้างสมศรี “เกรงว่าเราจะข้ามขั้นตอนไปหน่อย”
สมชายหยิบกล่องสี่เหลี่ยมกำมะหยี่ขนาดพอดีมือออกมา เขาเปิดกล่องแล้วหยิบแหวนเพชรออกมา ไม่รอช้าเขาสวมแหวนให้เธอ
สมศรียกนิ้วมาดู เธอยิ้มแก้มปริ “จะไม่ถงไม่ถามกันสักหน่อยเหรอ”
สมชายเงยหน้ามองตาโตไปที่สมศรี “ยังคิดว่าจะมีทางเลือกอื่นอีกเหรอ อยู่มากันขนาดนี้แล้ว”
สมศรีหัวเราะเสียงแหลม
เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อทั้งคู่ต้องคอยโทรศัพท์ไปหาเพื่อน ๆ กว่าจะถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกัน กว่าจะยืนยันการเดินทาง สมชายยังต้องคอยเตือนให้สมปองจองห้องพักในโรงแรมให้ผู้ที่ยืนยันจะมา ไหนจะมีทางผู้จัดงานถามความต้องการรูปแบบของงานจากสมชายและสมศรีเป็นระยะ ๆ แต่ทั้งคู่ก็เออออไปตามนั้น มีแต่เพียงขออาหารเป็นโต๊ะจีนให้แขกนั่งกินสบาย ๆ ก็พอ
และวันนี้เป็นวันที่สมชายใส่ชุดสูทเจ้าบ่าวสีเทา งานจัดตอนเช้าในแสงอาทิตย์อ่อนส่องสะท้อนชุดเจ้าสาวมินิมอลสีขาวล้วนให้เปล่งประกาย แขนชุดของสมศรีแต่งลูกไม้เพิ่มความสนุกให้กับชุดที่ดูเรียบง่ายนี้ ทั้งคู่ยืนยิ้มอารมณ์ดีต้อนรับเพื่อน ๆ แม้จะได้ทักทายกันสั้น ๆ แต่สมชายและสมศรีก็รับปากว่าจะไปคุยกันต่อที่โต๊ะ แม้ทุกคนต่างก็รู้กันดีว่า คู่บ่าวสาวในวันนี้คงไม่มีแรงกายพอที่จะทำตามคำพูดนั้นได้ สมปองและสมใจคอยยืนเฝ้าดูแลบุพการีอย่างใกล้ชิด
แขกเหรื่อเข้านั่งประจำโต๊ะกันหมดแล้ว ถึงเวลาที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวขึ้นเวทีไปกล่าวเปิดงาน พิธีกรประจำงานเชิญสมชายขึ้นไป
“สวัสดีเพื่อน ๆ ทุกคน” สมชายพูด เสียงปรบมือดัง “ผมต้องขอขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในวันสำคัญนี้ สำหรับความสำคัญในวันนี้มีสองเรื่อง หนึ่งคือ ผมได้ประกาศความรักกับภรรยาของผมอย่างเป็นทางการ และสอง คือการได้พบปะเพื่อนสนิทมิตรสหาย แม้บางคนอยู่ไกลแต่ยังอุตส่าห์เดินทางมารวมตัวกัน ผมต้องขอขอบคุณอย่างสุดซึ้งครับ”
สมชายกล่าวเพียงสั้น ๆ เพื่อไม่ให้เปลืองเวลา ทุกคนในห้องปรบมือพร้อมส่งเสียงชื่นชม ถึงคราวที่สมหญิงเป็นฝ่ายยืนอยู่หน้าขาตั้งไมโครโฟนบ้าง