สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกแล้วนะครับ วันนี้ผมจะมาริวิวภาพยนตร์ เรื่อง Paris,Texas ภาพยนตร์ดราม่าที่ออกฉายตั้งแต่ปี ค.ศ.1984 หรือ เมื่อปี พ.ศ. 2527 เจ้าของรางวัลลูกโลกทองคำ สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม ปี 1985 ซึ่งผมยังไม่เกิดเลย ฮะ ๆ ก่อนที่จะมาดูเรื่องนี้ ผมไม่รู้จักเรื่องนี้มาก่อนว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ใครแสดง คือ ไม่ได้ดูตัวอย่างอะไรเลย แต่เมื่อรู้ข่าวจาก เพจเรื่องนี้ฉายเหอะ คนหาดใหญ่อยากดู ทาง Fcaebook ว่าค่ายผู้จัดจำหน่ายอย่าง Documentary Club ได้ซื้อมาฉายให้ดูกัน ผมจึงไม่รอช้า ตัดสินใจเลยไปดูทันที
สิ่งที่ประทับใจหลังจากดูจบ คือ งานภาพถ่ายทำได้ยอดเยี่ยมโดยผู้กำกับเป็นศิลปินชั้นครูอย่าง วิม แวนเดอร์ส จาก Wings of Desire (1987) และ Faraway, So Close! (1993) ที่สามารถถ่ายทอดวิวทิวทัศน์ของทะเลทราย ท้องถนน สภาพบ้านเมืองได้อย่างสวยงาม เหมือนกับว่าเรานั่งดูงานภาพถ่ายในนิทรรศการงานศิลปะ ดูแล้วมันมีเสน่ห์ กินใจไปกับมันได้ นี้คือข้อดีที่หนังเรื่องนี้ฉายตั้งแต่ปี 1984 หรือ ในช่วงยุค 80 ที่ผมว่าคนที่เติบโต หรือ ใช้ชีวิตในช่วงนั้นจะเข้าใจดีเป็นพิเศษ มันเป็นช่วงยุคเปลี่ยนผ่านความเป็นสังคมอเมริกันจากยุคคลาสสิคไปสู่อเมริกันยุคใหม่ มันมีความเป็น Pop culture บวกกับสไตล์คาวบอยตะวันตกผสมผสานเข้ากันอย่างมีเสน่ห์ในที่คนยุคนั้นเข้าใจจริง ๆ
ในตัวหนังมีการจิกกัดสังคมอเมริกันอย่างแยบยล ทั้งเสื้อผ้า ทรงผม และ ข่าวสาร ผ่านตรรกะแนวคิดของตัวละครพระเอกอย่าง Travis นางเอก Jane และ Hunter ลูกชายของพวกเขา นำแสดงโดย Harry Dean Stanton , Nastassja Kinski และ Hunter carson โดยเฉพาะ Travis เป็นผู้แบกเรื่องตัวจริง แสดงดี มีอารมณ์หลายมิติคลุมเครือ ทั้งเงียบ เศร้า ร่าเริง และ เห็นแก่ตัวจนเดาทางไม่ถูกว่าพี่แกเป็นคนยังไงกันแน่ คือ จากเริ่มต้นเรื่องที่ไม่พูดเลยจนฉากหนึ่งที่ตัวน้องชายถามขึ้นมา จู่ ๆ แกก็พูดขึ้นมาเฉย แล้วหลังจากนั้นก็จ้อไม่หยุดเลย ตัวเรื่องก็เปลี่ยนบรรยากาศจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที ตัวละคร Hunter มีความน่ารัก น่าเอ็นดู ซุกซน อยากรู้อยากเห็นไปซะหมด แสดงได้ครบเครื่องตามที่ว่าไว้ ส่วนตัวละคร Jane ถึงแม้ว่าจะโผล่มาไม่มาก โผล่จริงก็ปาเข้าไปเกือบ ๆ ท้ายเรื่องแล้ว แสดงได้ดีเช่นกัน มีเสน่ห์ หน้าตาสวยงามเหมือนนางงามเวทีระดับโลก ส่วนตัวละครสมทบอย่าง Walt กับ Ann ก็แสดงดีตามบทบาทที่ได้รับ แต่มีส่วนสำคัญแค่ช่วงแรกเท่านั้น ตัวเรื่องมีบทสนทนาที่ถ้าตั้งใจดูแล้วจะมีใจความสำคัญซุกซ่อนอยู่มากมาย แล้วสามารถเชื่อมโยงบทสรุปปมในเรื่องได้ดีด้วย
ระหว่างทางของหนังดูมีปัญหาในการดำเนินเรื่องอยู่ ไม่ค่อย Smooth เป็นเนื้อเดียวกันเท่าไหร่ บ่งบอกถึงความแบ่ง Theme แต่ละส่วนออกได้ชัดเจน คือ ช่วงต้นเรื่องอารมณ์จะเป็นแนว Adventure + Road movie พาสำรวจสภาวะจิตใจตัวพระเอก พอช่วงหลังดันกลายมาเป็นแนว Drama ปัญหาครอบครัวเรา 3 คนไปซะอย่างนั้น แถมยังทำได้ไม่สุดทาง บางปมปัญหายังคลี่คลายไม่เรียบร้อยค้างคาในใจอยู่ บางฉากก็ใส่คำพูดที่ดูเป็นคำคมเท่ห์ ๆ หยั่งกะอ่านบทกวีโครงสีสุภาพโชว์จีบสาวแต่เธอไม่อินด้วยเพราะฟังแล้วเชยชะมัด บางฉากก็ใส่มาเกินความจำเป็น แล้วมีคำพูดที่เกี่ยวกับศาสนาตามความเชื่อในพระเจ้า คือ จงใจใส่มาเพื่อให้เข้ากับประเด็นของเรื่อง ทั้ง ๆ ที่ดูแล้วก็ไม่ใช่ Main หลักอะไรของเรื่องเลยแถมจงใจยัดไปเพื่อเพิ่มน้ำหนักรับรองบทมากกว่า
ประเด็นที่จับจุดได้ในเรื่องก็คือความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็น พ่อกับลูก หรือ พี่กับน้อง น่าสนใจกว่าความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกกับนางเอกที่ไม่ร็สึกชวนโรแมนติกใด ๆ กลับกันมีกลิ่นของความร้าวฉานซุกซ่อนอยู่บนความสวยงามของอเมริกันดรีม จะเห็นว่าในเรื่องแสดงถึงมุมมองเพศชายมาก โดยนิสัยผู้ชาย วางอำนาจการกำหนดชะตาชีวิต การตัดสินใจเพียงคนเดียว การแสดงความรู้สึกว่าตนเองต้องเข้มแข็ง ห้ามอ่อนแอ เดี๋ยวถูกกล่าวหาว่าปกป้องผู้หญิงไม่ได้ มันเป็นแค่เพียงข้ออ้างในการเอาเปรียบสิทธิ์ในตัวผู้หญิงกับเด็กไม่ให้เหนือกว่าตน และ ช่วงสุดท้ายในฉากที่พระเอก นางเอกได้พูดคุยถึงปมปัญหาทุกอย่างตลอดทั้งเรื่องอย่างหดหู่แล้วก็จากไป จะเห็นได้ว่าสุดท้ายพระเอกยังมีความเห็นแก่ตัว กล่าวด้วยคำพูดอันสวยหรูให้ดูเหมือนพี่พอได้ แต่ช่างสวนทางกับการกระทำที่ไม่หล่อตามสุด ๆ แถมดูแย่เข้าไปอีก คุณไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว ทำอะไรคิดถึงคนอื่นด้วย ถึงแม้ว่าได้สารภาพบาปไปแล้วจะรู้สึกดี แต่เปล่า มันก็กลับมาวนลูปเดิมที่พระเอกเป็นมาในตอนต้นเรื่องอีกครั้งนั่นแหล่ะ คือ อนาคตมันเป็นผลลัพธ์จากการกระทำในอดีตกับปัจจุบัน มีบทเรียนจากในอดีตแล้วก็ควรทำให้ชีวิตปัจจุบันดีขึ้นไปกว่าเดิม ไม่ใช่ว่าเดินหนีปัญหาไปแบบนั้น ชีวิตก็เหมือนกับถนน เราสามารถเดินผิด เดินถูกได้ตลอดเวลา แต่สิ่งสำคัญมากกว่าคือระยะทางที่เราเดินไปนั้น เราใช้วิธีอย่างไรให้ผ่านไปได้มีสติ มีปัญญา และ เก็บเกี่ยวสิ่งต่าง ๆ รอบตัวไว้มากน้อยแค่ไหนตังหาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับมุมมอง เรื่องราวของแต่ละบุคคลที่จะสื่อออกมาอย่างไรให้ดี มีคุณค่ามากที่สุด
[CR] No.2 Paris,Texas : อย่าพยายามทำความเข้าใจกับทุกอย่างในชีวิต เพราะบางอย่างไม่ได้เกิดขึ้นให้เราเข้าใจหรือยอมรับมัน
สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกแล้วนะครับ วันนี้ผมจะมาริวิวภาพยนตร์ เรื่อง Paris,Texas ภาพยนตร์ดราม่าที่ออกฉายตั้งแต่ปี ค.ศ.1984 หรือ เมื่อปี พ.ศ. 2527 เจ้าของรางวัลลูกโลกทองคำ สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม ปี 1985 ซึ่งผมยังไม่เกิดเลย ฮะ ๆ ก่อนที่จะมาดูเรื่องนี้ ผมไม่รู้จักเรื่องนี้มาก่อนว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ใครแสดง คือ ไม่ได้ดูตัวอย่างอะไรเลย แต่เมื่อรู้ข่าวจาก เพจเรื่องนี้ฉายเหอะ คนหาดใหญ่อยากดู ทาง Fcaebook ว่าค่ายผู้จัดจำหน่ายอย่าง Documentary Club ได้ซื้อมาฉายให้ดูกัน ผมจึงไม่รอช้า ตัดสินใจเลยไปดูทันที
สิ่งที่ประทับใจหลังจากดูจบ คือ งานภาพถ่ายทำได้ยอดเยี่ยมโดยผู้กำกับเป็นศิลปินชั้นครูอย่าง วิม แวนเดอร์ส จาก Wings of Desire (1987) และ Faraway, So Close! (1993) ที่สามารถถ่ายทอดวิวทิวทัศน์ของทะเลทราย ท้องถนน สภาพบ้านเมืองได้อย่างสวยงาม เหมือนกับว่าเรานั่งดูงานภาพถ่ายในนิทรรศการงานศิลปะ ดูแล้วมันมีเสน่ห์ กินใจไปกับมันได้ นี้คือข้อดีที่หนังเรื่องนี้ฉายตั้งแต่ปี 1984 หรือ ในช่วงยุค 80 ที่ผมว่าคนที่เติบโต หรือ ใช้ชีวิตในช่วงนั้นจะเข้าใจดีเป็นพิเศษ มันเป็นช่วงยุคเปลี่ยนผ่านความเป็นสังคมอเมริกันจากยุคคลาสสิคไปสู่อเมริกันยุคใหม่ มันมีความเป็น Pop culture บวกกับสไตล์คาวบอยตะวันตกผสมผสานเข้ากันอย่างมีเสน่ห์ในที่คนยุคนั้นเข้าใจจริง ๆ
ในตัวหนังมีการจิกกัดสังคมอเมริกันอย่างแยบยล ทั้งเสื้อผ้า ทรงผม และ ข่าวสาร ผ่านตรรกะแนวคิดของตัวละครพระเอกอย่าง Travis นางเอก Jane และ Hunter ลูกชายของพวกเขา นำแสดงโดย Harry Dean Stanton , Nastassja Kinski และ Hunter carson โดยเฉพาะ Travis เป็นผู้แบกเรื่องตัวจริง แสดงดี มีอารมณ์หลายมิติคลุมเครือ ทั้งเงียบ เศร้า ร่าเริง และ เห็นแก่ตัวจนเดาทางไม่ถูกว่าพี่แกเป็นคนยังไงกันแน่ คือ จากเริ่มต้นเรื่องที่ไม่พูดเลยจนฉากหนึ่งที่ตัวน้องชายถามขึ้นมา จู่ ๆ แกก็พูดขึ้นมาเฉย แล้วหลังจากนั้นก็จ้อไม่หยุดเลย ตัวเรื่องก็เปลี่ยนบรรยากาศจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที ตัวละคร Hunter มีความน่ารัก น่าเอ็นดู ซุกซน อยากรู้อยากเห็นไปซะหมด แสดงได้ครบเครื่องตามที่ว่าไว้ ส่วนตัวละคร Jane ถึงแม้ว่าจะโผล่มาไม่มาก โผล่จริงก็ปาเข้าไปเกือบ ๆ ท้ายเรื่องแล้ว แสดงได้ดีเช่นกัน มีเสน่ห์ หน้าตาสวยงามเหมือนนางงามเวทีระดับโลก ส่วนตัวละครสมทบอย่าง Walt กับ Ann ก็แสดงดีตามบทบาทที่ได้รับ แต่มีส่วนสำคัญแค่ช่วงแรกเท่านั้น ตัวเรื่องมีบทสนทนาที่ถ้าตั้งใจดูแล้วจะมีใจความสำคัญซุกซ่อนอยู่มากมาย แล้วสามารถเชื่อมโยงบทสรุปปมในเรื่องได้ดีด้วย
ระหว่างทางของหนังดูมีปัญหาในการดำเนินเรื่องอยู่ ไม่ค่อย Smooth เป็นเนื้อเดียวกันเท่าไหร่ บ่งบอกถึงความแบ่ง Theme แต่ละส่วนออกได้ชัดเจน คือ ช่วงต้นเรื่องอารมณ์จะเป็นแนว Adventure + Road movie พาสำรวจสภาวะจิตใจตัวพระเอก พอช่วงหลังดันกลายมาเป็นแนว Drama ปัญหาครอบครัวเรา 3 คนไปซะอย่างนั้น แถมยังทำได้ไม่สุดทาง บางปมปัญหายังคลี่คลายไม่เรียบร้อยค้างคาในใจอยู่ บางฉากก็ใส่คำพูดที่ดูเป็นคำคมเท่ห์ ๆ หยั่งกะอ่านบทกวีโครงสีสุภาพโชว์จีบสาวแต่เธอไม่อินด้วยเพราะฟังแล้วเชยชะมัด บางฉากก็ใส่มาเกินความจำเป็น แล้วมีคำพูดที่เกี่ยวกับศาสนาตามความเชื่อในพระเจ้า คือ จงใจใส่มาเพื่อให้เข้ากับประเด็นของเรื่อง ทั้ง ๆ ที่ดูแล้วก็ไม่ใช่ Main หลักอะไรของเรื่องเลยแถมจงใจยัดไปเพื่อเพิ่มน้ำหนักรับรองบทมากกว่า
ประเด็นที่จับจุดได้ในเรื่องก็คือความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็น พ่อกับลูก หรือ พี่กับน้อง น่าสนใจกว่าความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกกับนางเอกที่ไม่ร็สึกชวนโรแมนติกใด ๆ กลับกันมีกลิ่นของความร้าวฉานซุกซ่อนอยู่บนความสวยงามของอเมริกันดรีม จะเห็นว่าในเรื่องแสดงถึงมุมมองเพศชายมาก โดยนิสัยผู้ชาย วางอำนาจการกำหนดชะตาชีวิต การตัดสินใจเพียงคนเดียว การแสดงความรู้สึกว่าตนเองต้องเข้มแข็ง ห้ามอ่อนแอ เดี๋ยวถูกกล่าวหาว่าปกป้องผู้หญิงไม่ได้ มันเป็นแค่เพียงข้ออ้างในการเอาเปรียบสิทธิ์ในตัวผู้หญิงกับเด็กไม่ให้เหนือกว่าตน และ ช่วงสุดท้ายในฉากที่พระเอก นางเอกได้พูดคุยถึงปมปัญหาทุกอย่างตลอดทั้งเรื่องอย่างหดหู่แล้วก็จากไป จะเห็นได้ว่าสุดท้ายพระเอกยังมีความเห็นแก่ตัว กล่าวด้วยคำพูดอันสวยหรูให้ดูเหมือนพี่พอได้ แต่ช่างสวนทางกับการกระทำที่ไม่หล่อตามสุด ๆ แถมดูแย่เข้าไปอีก คุณไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว ทำอะไรคิดถึงคนอื่นด้วย ถึงแม้ว่าได้สารภาพบาปไปแล้วจะรู้สึกดี แต่เปล่า มันก็กลับมาวนลูปเดิมที่พระเอกเป็นมาในตอนต้นเรื่องอีกครั้งนั่นแหล่ะ คือ อนาคตมันเป็นผลลัพธ์จากการกระทำในอดีตกับปัจจุบัน มีบทเรียนจากในอดีตแล้วก็ควรทำให้ชีวิตปัจจุบันดีขึ้นไปกว่าเดิม ไม่ใช่ว่าเดินหนีปัญหาไปแบบนั้น ชีวิตก็เหมือนกับถนน เราสามารถเดินผิด เดินถูกได้ตลอดเวลา แต่สิ่งสำคัญมากกว่าคือระยะทางที่เราเดินไปนั้น เราใช้วิธีอย่างไรให้ผ่านไปได้มีสติ มีปัญญา และ เก็บเกี่ยวสิ่งต่าง ๆ รอบตัวไว้มากน้อยแค่ไหนตังหาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับมุมมอง เรื่องราวของแต่ละบุคคลที่จะสื่อออกมาอย่างไรให้ดี มีคุณค่ามากที่สุด
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้