วันที่ฟ้าเปิด The Movie 8

กระทู้คำถาม
              หลังจากที่ทั้ง 3 เดินทางมาถึงจังหวัดยะลาประมาณเที่ยงวัน ทั้งหมดเข้าเช็คอินในโรงแรม รวิดาพักห้องเดียวกับปาริชาติ โดยมีนายทหารยศพันโทเข้าพักอยู่ห้องข้าง ๆ นั่นทำให้สองสาวรู้สึกอุ่นใจและคลายความกังวลจากก่อนหน้านี้ไปหมดสิ้น

              ทั้งหมดใช้เวลาจัดเก็บข้าวของและจัดการธุระส่วนตัว จากนั้นก็เดินลงมาเจอกันที่ล็อบบี้โรงแรม รวิดาตั้งใจว่าอยากจะใช้เวลาทุกนาทีที่นี่ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ก่อนการเดินทางในครั้งนี้ เธอศึกษาถึงสัญลักษณ์ของเมืองยะลามาบ้างแล้ว ว่าอะไรที่สามารถบ่งบอกได้ว่านี่คือยะลา เธอเลือกว่าจะไปเดินดูมัสยิดกลางและย่านชุมชนตลาดเก่า

              รวิดา ปาริชาติและติณณ์เดินลงมาเจอกันพอดี ทั้งหมดนั่งทานมื้อเที่ยงในห้องอาหารของโรงแรม ไม่นานนายทหารยศร้อยเอกขับรถมาจอดรอรับหน้าทางเข้าโรงแรม เมื่อทุกคนเสร็จสิ้นจากมื้ออาหารก็เดินไปยังรถตู้ที่จอดรอไว้

              มัสยิดกลางเป็นมัสยิด 3 ชั้นที่ดูใหญ่โตในสายตาของรวิดา แม้เธอจะมาตอนที่ยังไม่มีการประกอบศาสนกิจของชาวมุสลิม แต่เธอก็คิดว่าที่นี่คงจะจุคนได้ไม่ต่ำกว่า 300 คน รวิดาคิดว่าสถานที่แห่งนี้คงเป็นสัญลักษณ์ของเมืองยะลาที่โดดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรม และเป็นศูนย์รวมทางจิตวิญญาณของคนในชุมชน

              “ทุก ๆ วันอาทิตย์ ชาวมุสลิมจะมาที่นี่ เพื่อมาเรียนรู้บทบัญญัติต่าง ๆ ที่มุสลิมควรถือปฏิบัติ โดยมีอุลามะฮฺ  อาจารย์สอนศาสนาชื่อดังที่มุสลิมส่วนใหญ่นับถือและมาฟังคำสอนของท่าน” ติณณ์อธิบายพร้อมหันหน้ามองไปที่ศาสนสถานตรงหน้า

              “คนจะมากันเยอะไหมคะ” รวิดาคิดถึงพื้นที่กว้างขวางของอาคาร ทำให้เธอถาม

              ติณณ์หันมามองหน้าผู้ถาม ก่อนจะหันมองกลับไปยังตัวอาคาร

              “โดยปกติในวันที่มีการประกอบศาสนกิจ พื้นที่ว่างในตัวอาคารก็จะเต็มไปด้วยผู้คน” ติณณ์ตอบ

              รวิดาทึ่งกับสิ่งที่เธอได้ยินมา เธอรู้สึกถึงแรงศรัทธาของคนในชุมชนที่ยึดเหนี่ยวกับคำสอนของศาสนาอิสลาม วูบหนึ่งเธอนึกสะท้อนไปถึงศูนย์รวมจิตใจของศาสนาพุทธ ที่เธอเองก็ห่างหายไปนานมากแล้ว และรูปแบบของมันก็แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากที่เธอคิด

              ติณณ์เดินนำชมสถานที่ ความยิ่งใหญ่และสถาปัตยกรรมที่แตกต่างไม่คุ้นตาสำหรับรวิดาและปาริชาติ ทำให้ทั้งคู่รู้สึกถึงความสวยงามและเพลิดเพลินตา เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่า รวิดาจึงบอกติณณ์ว่าเธอจะไปยังที่ที่เธอตั้งใจไว้แล้ว

              ถัดออกมาจากมัสยิดก็เป็นย่านชุมชนตลาดเก่า บ้านเรือนในละแวกนี้บางหลังยังคงสร้างด้วยไม้ และทาสีบ้านด้วยสีสันฉูดฉาดดูสวยงามและเป็นเอกลักษณ์ รวิดาสังเกตเห็นหลายบ้านมีกรงนกเขาห้อยอยู่หน้าบ้านกันเยอะมาก และนี่คงเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์และวิถีชีวิตของคนในชุมชนแห่งนี้

              “เป็นอย่างไรบ้างครับคุณรวิดา”

              ติณณ์พูดขณะที่เดินเคียงข้างรวิดา

              “เป็นเมืองที่สวยงามมากค่ะ ฉันนึกว่าอยู่เมืองนอกเสียอีก” รวิดาทึ่งกับภาพของเมืองที่ดูเป็นระเบียบจากการวางผังเมือง ซึ่งต่างจากหลายที่ที่เธอเคยไป

              “ใช่ครับ คุณคิดว่ายะลายังดูน่ากลัวอยู่มั้ยครับ”

              รวิดาทอดสายตาไปยังผู้คนมากมายที่ใช้ชีวิตตามปกติ สีหน้าของพวกเขามีรอยยิ้มและความสุขเจือปน ต่างกันกับคนในเมืองที่รวิดาอาศัยอยู่

              “ไม่เลยค่ะ ฉันรู้สึกว่าที่ยะลาเป็นเมืองที่สงบสุข น่าอยู่ เท่าที่เห็นตอนนี้นะคะ” แม้เธอยังไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้านั้น เธอยังคงมองดูผู้คนที่เดินไปมาสองฟากฝั่งของถนน ติณณ์สังเกตเห็นรอยยิ้มนี้ เขาไม่ลืมที่จะหันกลับไปมองปาริชาติที่เดินชมเมืองอยู่ข้างหลังของเขา ปาริชาติก็ดูท่าทางพึงพอใจกับสภาพบ้านเมืองที่ดูสงบร่มเย็นนี้เช่นกัน

              ติณณ์มองไปที่เสาไฟฟ้า เขาเห็นกล้องวงจรปิดที่แทบจะติดอยู่ทุกแยกถนน ติณณ์ตัดสินใจพูดอะไรบางอย่าง

              “ครั้นจะบอกว่าที่นี่มีแต่ความสงบ ไม่เคยมีเหตุความวุ่นวายเลยก็เหมือนจะโกหกกัน แต่พวกเราทั้งเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจก็ต่างพยายามเต็มที่ที่จะรักษาความสงบ” ติณณ์พูดเสียงเรียบ ๆ

              ทั้งสองไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำพูดนี้ สำหรับรวิดาและปาริชาติแล้วเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะพวกเธอก็เตรียมใจไว้กับความจริงเช่นนี้แล้ว

              ติณณ์ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่จะทำให้เสียบรรยากาศอีก เขาหันหน้าไปมองหอนาฬิกาที่อยู่เกาะกลางถนน พลันให้นึกถึงข่าวเมื่อนานมาแล้ว เมื่อภาพวงจรปิดจับภาพวัยรุ่นสองคนขี่มอเตอร์ไซค์ปาระเบิดใส่รถเจ้าหน้าที่ทหาร โชคดีที่พลาด แต่ก็สร้างความเสียหายให้กับประชาชนและทรัพย์สิน ผู้ที่ได้รับหน้าที่คอยอำนวยการกองถ่ายภาพยนตร์รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก ที่รวิดาบอกว่าจะไม่ยกกองถ่ายลงมาที่นี่

              “หอนาฬิกาสวยดีนะคะ เข้ากับบรรยากาศของเมืองดี” รวิดาพูดเมื่อเห็นว่าติณณ์กำลังจดจ้องอยู่ที่หอนาฬิกา

              ติณณ์ฉุดความคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นกลับมาที่หญิงสาวตรงหน้า แล้วเขาก็พยายามยิ้มกลบเกลื่อนก่อนที่จะพูด

              “คุณชอบใช่ไหมครับ”

              “ชอบค่ะ ดูเข้ากับตัวเมืองดี”

              รวิดาใช้กล้องถ่ายรูปโดยใช้เลนส์มุมกว้างช่วยเก็บภาพหอนาฬิกา จากนั้นเธอยังเก็บภาพหลาย ๆ มุม รวิดาสลับหยิบสมุดขึ้นมาจดบันทึกข้อความเพื่อย้ำเตือนความจำในสิ่งที่เธอเห็น เสียงชัตเตอร์ที่รัวเร็วของกล้องนิคคอนในมือรวิดาทำให้ติณณ์เหลือบมอง มันทำให้เขามั่นใจว่าหล่อนคือมืออาชีพจริง ๆ ที่ใช้กล้องระดับนี้

              ภาพบรรยากาศรวม ๆ และผู้คนที่เดินผ่านไปมา เครื่องแต่งกายต่าง ๆ ก็ถูกรวิดาบันทึกภาพไว้ ติณณ์พยายามอธิบายในสิ่งที่เขารู้ให้รวิดาฟัง และเธอก็จดบันทึกสิ่งที่ได้ยินมาไว้ด้วย

              ปาริชาติลอบมองคนทั้งคู่คุยกันกระหนุงกระหนิงเหมือนคู่รักตรงหน้าของเธอ ความชื่นมื่นนี้เธอไม่อยากจะทำลายบรรยากาศเลย แต่ทว่ากำหนดการที่เธอคุยมาก่อนหน้านี้กับรวิดาทำให้เธอต้องช่วยรักษาเวลา

              “เราน่าจะไปเก็บข้อมูลสถานีอนามัยกันได้แล้วนะ” ปาริชาติพูด

              ติณณ์ได้ยินดังนั้นก็เดินนำทั้งคู่ไปยังรถที่จอดรอ จากนั้นทั้งหมดก็เดินทางออกไปนอกเมืองยังตำบลใกล้ ๆ เพื่อไปเลือกหาโลเกชั่นสถานีอนามัยที่ตัวละครชื่อปกป้องเคยมาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข

              "เดี๋ยวนี้สถานีอนามัยได้รับการยกระดับขึ้นมาเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลหรือที่เรียกว่า รพ.สต.กันหมดแล้วนะครับ"

              เป็นความรู้ใหม่ที่รวิดาได้รับ เธอเข้าไปสวัสดีทำความรู้จักกับเจ้าหน้าที่ พูดคุยถามถึงงานส่งเสริมสุขภาพที่อยู่ในความรับผิดชอบ พร้อมทั้งสังเกตว่าไม่มีคนป่วยมารอรับการรักษา และเมื่อถามไถ่ก็ได้ความว่า คนป่วยจะมาช่วงเช้า หญิงสาวจดบันทึกรายละเอียดและถ่ายภาพสถานที่แห่งนั้นเพื่อกลับไปเตรียมวางแผน

              ในที่สุดรวิดาก็ทำงานจนเสร็จสิ้นตามที่เธอตั้งใจไว้ โดยใช้เวลาตลอดบ่ายในวันนี้

              “นี่ก็เย็นแล้ว ตลาดที่เราเพิ่งเดินมาพวกพ่อค้าแม่ค้ากำลังเริ่มตั้งร้าน ที่นั่นบรรยากาศคึกคักเต็มไปด้วยผู้คน คุณสองคนน่าจะไปเดินเล่นดูนะครับ ก่อนกลับโรงแรม” ติณณ์พูดในขณะที่นั่งอยู่ในรถเตรียมกลับที่พัก

               “ค่ะ” เสียงตอบรับจากทั้งสองดังพร้อมกัน

              ทั้งหมดเดินชมร้านรวงข้างถนน ที่นี่ผู้คนไม่จอแจเหมือนตลาดทั่วไป เพราะลักษณะของตลาดจะเป็นสองข้างถนนกว้างสามเลน และยังมีเกาะกลางกั้น ร้านค้าที่ถูกดัดแปลงมาจากบ้านเรือนขายอาหารท้องถิ่นหลากหลายชนิด รวิดาและปาริชาติต่างเพลิดเพลินกับการมองดูเมนูแปลกใหม่ที่พวกเธอไม่เคยเห็น

              พวกเขาเดินไปจนสุดย่านตลาดและข้ามถนนไปเดินอีกฟากหนึ่ง เวลาล่วงเลยไปจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า เมื่อความสว่างจากดวงอาทิตย์หายไป แสงจากหลอดไฟตามร้านค้าและท้องถนนเริ่มสว่างไสว ความรู้สึกเช่นนี้ยิ่งทำให้ตัวเมืองดูมีชีวิตชีวา รวิดาคิดแบบนั้น เธอยังเก็บภาพถ่ายหลายรูป

              “เดี๋ยวเรากลับโรงแรมกัน แล้วผมจะพาพวกคุณไปทานอาหารครับ” ติณณ์พูด

              “ได้ค่ะผู้พัน” รวิดาตอบรับ

              ทั้งหมดนั่งรถกลับไปที่โรงแรม เมื่อถึงโรงแรม ติณณ์แยกตัวเข้าห้องของเขาไป เขาอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดลำลองสบาย ๆ ติณณ์ใช้เวลาไม่นานก็จัดการธุระส่วนตัวเสร็จสิ้น เขาอิงหลังนั่งลงบนเก้าอี้โซฟาเพื่อคลายความเมื่อยล้าสำหรับวันนี้ พลางคิดถึงความรู้สึกหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นกับเขาในวันนี้ การได้ดูแลเทคแคร์รวิดาเป็นสิ่งที่เขาเต็มใจทำอย่างยิ่ง ติณณ์นั่งพักผ่อนเงียบ ๆ ในห้องอยากมองทะลุกำแพงไปยังห้องข้าง ๆ และส่งยิ้มให้กับคนที่อยู่หลังกำแพงนั้น

              แต่ห้องที่ไม่เงียบคือห้องของรวิดาและปาริชาติ ตั้งแต่ทั้งคู่เดินเข้าห้องมา ปาริชาติก็ลอบสังเกตอาการของเพื่อนสาวที่ดูสดชื่น สีหน้าแทบจะไม่จางหายจากรอยยิ้ม ความรู้สึกคันปากและอาจจะอกแตกตายหากไม่ได้พูดแซวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำให้ปาริชาติพูด

              “ดูมีความสุขจริงนะ” ปาริชาติพูดพร้อมยิ้มกว้าง

              “อะไร มีความสุขเรื่องอะไรหรือ”

              "ก็เธอกับผู้พันไง"

              รวิดามองตาเพื่อนที่ส่อถึงอาการล้อเลียน ก็เข้าใจทันที รีบแก้ตัวว่า

              “เรามาทำงานกันนะ”

              รวิดาทำท่าอึดอัดเมื่อถูกปาริชาติแซว เธอพยายามจะบ่ายเบี่ยงเดินหนี แต่นั่นยิ่งทำให้ปาริชาติไม่ยอมรามือ

              “เธอคงมีความสุขกับการทำงานนะ ยิ่งได้อยู่ใกล้ชิดผู้พันติณณ์ด้วย”

              ปาริชาติพูดส่งท้ายก่อนรวิดาก้มหน้าเดินเข้าห้องน้ำไป

              เมื่อลับสายตาเพื่อนสาว รวิดายืนหน้ากระจกในห้องน้ำพร้อมเผยรอยยิ้มสะท้อนกระจกให้กับตัวเอง รอยยิ้มที่แสดงความรู้สึกอย่างบอกไม่ถูกว่านี่คืออะไรกัน แต่ที่แน่ ๆ เธอรู้สึกดีเมื่อได้ใกล้ชิดนายทหารที่ดูเหมือนจะใส่ใจเธอตลอดเวลา

              เมื่อถึงเวลานัดหมายที่ทั้งหมดจะลงมาเจอกันที่หน้าล็อบบี้

              “เราไปกันได้แล้วครับ ผมจองโต๊ะไว้แล้ว” ติณณ์กล่าวเชิญชวนสองสาว

              ติณณ์พารวิดาและปาริชาติไปทานอาหารในภัตตาคารที่มีชื่อเสียงของจังหวัด ในคืนนี้ถือว่าเป็นการเลี้ยงต้อนรับอย่างสมฐานะ สำหรับผู้กำกับภาพยนตร์ที่จะมาทำงานให้กับ กอ.รมน. ซึ่งติณณ์อยากจะให้เกียรติอย่างยิ่ง ทั้งสองสาวต่างมีรอยยิ้มแห่งความสุขเมื่อพวกเธอได้รับการต้อนรับเหมือนกับเป็นบุคคลสำคัญของกองทัพ และความมีน้ำใจของ กอ.รมน.ในครั้งนี้ ทำให้พวกเธอต่างมุ่งมั่นที่จะทำงานชิ้นนี้ให้ออกมาอย่างดีที่สุด

              ค่ำคืนนี้ช่างเป็นคืนที่ติณณ์รู้สึกเป็นสุขเหลือเกินเมื่อเห็นใบหน้าของรวิดาที่มีแต่รอยยิ้ม และเขาเองก็คงยังไม่รู้ว่าหญิงสาวที่เขาแอบมองนั้น เธอก็รู้สึกถึงความสุขเช่นกันทุกครั้งเมื่อแอบมองหน้าชายหนุ่ม

             

              วันรุ่งขึ้น คณะเดินทางเข้าตัวเมืองสตูล รวิดาเข้าไปเก็บข้อมูลบรรยากาศของโรงพยาบาลประจำจังหวัด จากนั้นก็ไปสำรวจหาชายหาดร้างที่พวกโรฮิงญาจะมาขึ้นฝั่ง และสำรวจสภาพป่าทั่ว ๆ ไป ของพื้นที่

               ติณณ์ขอให้นายทหารและพลขับพาทั้งหมดเข้าไปยัง กอ.รมน. จังหวัดสตูล การไปในครั้งนี้ติณณ์ตั้งใจจะเข้าไปทำความเคารพผู้บัญชาการทหารในพื้นที่ และต้องการแนะนำรวิดาให้รู้จักกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ เพื่อให้ช่วยอำนวยความสะดวกเมื่อถึงเวลาทีมงานเดินทางมาถ่ายทำจริง ๆ

              เมื่อมีโอกาส ติณณ์ถามถึงแผนการทำงานของรวิดา

               “คุณจะถ่ายทำในสตูลเยอะมั้ยครับ” ติณณ์ถาม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่