คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 10
โดยส่วนตัวผมก็ทำงานของที่บ้าน เงื่อนไขหลายๆอย่างคล้ายกับเจ้าของกระทู้ และรอบแรกสมัครบัตรเครดิตก็โดนปฎิเสธ จนปรับเปลี่ยนวิธีการบ้างและได้อนุมัติ เลยขอบอกเล่าเผื่อพอเป็นแนวทางที่เจ้าของกระทู้นำไปปรับใช้ได้ครับ
ข้อมูลเบื้องต้นก่อนเริ่มสมัคร ผมไม่เคยมีสินเชื่อในนามส่วนตัวเลย มีเงินออมในบัญชีฝากประจำกรุงศรีเกิน 1 ล้านนิดหน่อย และมีเงินลงทุนในหุ้น
ครั้งแรกผมไปสมัคร
SCB สมัครเองผ่าน net กรอกข้อมูลใส่ statement แนบบัญชีเงินฝาก ผลไม่อนุมัติ
ผมไปสมัครที่เคาเตอร์ ธนาคารกรุงศรี ถามเจ้าหน้าที่ มีเงินในบัญชีฝากประจำเกิน 1 ล้านบาทนิ่งๆ เกิน 1 ปี เป็นสมาชิก กรุงศรีไพร์ม เจ้าหน้าที่แจ้งว่า สามารถรีเฟอร์สมัครได้ ก็เลยสมัครมี กรุงศรีโฮมโปร และบัตร central the 1 เจ้าหน้าที่ก็จัดแจงทำการสมัครให้ ผลไม่อนุมัติ
ต่อมาก็หาข้อมูลเพิ่มเติมในเน็ต เลยลองสมัคร KTC แบบใช้เงินฝากค้ำ ลองสมัครไป 2 หมื่นบาท และแจ้งข้อมูลตามข้อมูลปกติ เจ้าหน้าที่ใช้แค่สำเนาบัตรประชาชน และเปิดบัญชี 2หมื่นบาท อายัดบัญชีไว้เป็นเงินประกันสินเชื่อ มีเจ้าหน้าที่โทรมาสอบถามข้อมูล ผลคือ ได้รับอนุมัติแล้ว
ผมก็ใช้จ่ายภายในวงเงินนี้มาเรื่อยๆ ระหว่างนี้ก็หาข้อมูลทำบัตรเครดิตเพิ่ม หลังจากนั้น 6 เดือน ผมก็เริ่มสมัครบัตรเครดิตใหม่ เพราะเป็นบัตรที่เกี่ยวข้องและเหมาะกับการใช้จ่ายเราที่สุด คือ central the1 และการมีข้อมูลในเครดิตบูโรแล้ว ผมว่านี่คือจุดเปลี่ยนในการสมัครบัตรเพิ่ม
ผมไปสมัครบัตร central the 1 ใหม่ คราวนี้ผมไปที่เคาท์เตอร์เซอวิสทางห้างโดยตรง และถามข้อมูลต่างๆ โดยที่ผมใช้ข้อมูลส่วนตัวและ statement ไม่ได้ต่างจากครั้งก่อนเท่าไหร่เลย สิ่งที่ผมต้องเตรียมไปสมัคร
- บัตรประชาชนตัวจริง
- บัญชีเงินฝากตัวจริง
- หนังสือรับรองเงินฝากที่ขอจากธนาคาร
ผลคือ อนุมัติภายใน 15 นาที มีเจ้าหน้าที่โทรมาให้ไปรับบัตรชั่วคราวใช้ได้เลย
ข้อมูลเบื้องต้นก่อนเริ่มสมัคร ผมไม่เคยมีสินเชื่อในนามส่วนตัวเลย มีเงินออมในบัญชีฝากประจำกรุงศรีเกิน 1 ล้านนิดหน่อย และมีเงินลงทุนในหุ้น
ครั้งแรกผมไปสมัคร
SCB สมัครเองผ่าน net กรอกข้อมูลใส่ statement แนบบัญชีเงินฝาก ผลไม่อนุมัติ
ผมไปสมัครที่เคาเตอร์ ธนาคารกรุงศรี ถามเจ้าหน้าที่ มีเงินในบัญชีฝากประจำเกิน 1 ล้านบาทนิ่งๆ เกิน 1 ปี เป็นสมาชิก กรุงศรีไพร์ม เจ้าหน้าที่แจ้งว่า สามารถรีเฟอร์สมัครได้ ก็เลยสมัครมี กรุงศรีโฮมโปร และบัตร central the 1 เจ้าหน้าที่ก็จัดแจงทำการสมัครให้ ผลไม่อนุมัติ
ต่อมาก็หาข้อมูลเพิ่มเติมในเน็ต เลยลองสมัคร KTC แบบใช้เงินฝากค้ำ ลองสมัครไป 2 หมื่นบาท และแจ้งข้อมูลตามข้อมูลปกติ เจ้าหน้าที่ใช้แค่สำเนาบัตรประชาชน และเปิดบัญชี 2หมื่นบาท อายัดบัญชีไว้เป็นเงินประกันสินเชื่อ มีเจ้าหน้าที่โทรมาสอบถามข้อมูล ผลคือ ได้รับอนุมัติแล้ว
ผมก็ใช้จ่ายภายในวงเงินนี้มาเรื่อยๆ ระหว่างนี้ก็หาข้อมูลทำบัตรเครดิตเพิ่ม หลังจากนั้น 6 เดือน ผมก็เริ่มสมัครบัตรเครดิตใหม่ เพราะเป็นบัตรที่เกี่ยวข้องและเหมาะกับการใช้จ่ายเราที่สุด คือ central the1 และการมีข้อมูลในเครดิตบูโรแล้ว ผมว่านี่คือจุดเปลี่ยนในการสมัครบัตรเพิ่ม
ผมไปสมัครบัตร central the 1 ใหม่ คราวนี้ผมไปที่เคาท์เตอร์เซอวิสทางห้างโดยตรง และถามข้อมูลต่างๆ โดยที่ผมใช้ข้อมูลส่วนตัวและ statement ไม่ได้ต่างจากครั้งก่อนเท่าไหร่เลย สิ่งที่ผมต้องเตรียมไปสมัคร
- บัตรประชาชนตัวจริง
- บัญชีเงินฝากตัวจริง
- หนังสือรับรองเงินฝากที่ขอจากธนาคาร
ผลคือ อนุมัติภายใน 15 นาที มีเจ้าหน้าที่โทรมาให้ไปรับบัตรชั่วคราวใช้ได้เลย
แสดงความคิดเห็น
ทำไมธนาคารถึงไม่ยอมใช้หุ้นเป็นหลักทรัพย์อ้างอิงสมัครบัตรเครดิต แต่ใช้กองทุนได้ ?
เนื่องจากต้นเดือนที่ผ่านมาผมอยากสมัครบัตรเครดิต ผมก็เลยเริ่มหาข้อมูลหลายๆธนาคารเบื่องต้นก็เหมือนๆกันคือ หากเป็นอาชีพอิสระขอดู statement ย้อนหลัง 6 เดือน ถ้าเป็นพนักงานประจำก็ดูสลิปเงินเดือนปกติ หากเป็นเจ้าของธุรกิจสามารถใช้หนังสือจดทะเบียนการค้า หรือ ทะเบียนพาณิชย์ได้ แต่ไม่มีข้อมูลของนักลงทุนเลย ว่าหากเราเป็นนักลงทุน ต้องแสดงอะไร โดยส่วนตัวแล้วผมทำธุรกิจกับที่บ้านอยู่แล้ว แต่เงินเข้าออก ไม่ได้เดินในบัญชีของผม ส่วนใหญ่จะเป็นเงินที่ผมเตรียมเอาไปลงทุนมากกว่า เหมือนกับเป็นทางผ่านในการโอนเข้าบัญชีหลักทรัพย์ แต่ปีหนึ่งผมจะเติมเงินไม่ได้เยอะขนาดนั้น บางปีก็หลักแสน บางปีหลักล้าน ตามแต่สภาวะตลาด แต่เงินสดส่วนใหญ่ของผมจะอยู่ในพอร์ตทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ มีการแลกสลับไปมาบ้างเวลา THB/USD อ่อนหรือแข็ง แต่เงินสดเกือบ 90% ของผมอยู่ในพอร์ตหมด เหลือเพียงปีละ 2-3 แสน เอาไว้ใช้จ่ายส่วนตัว
ทีนี่ผมก็เริ่มตั้งเงื่อนไขกับบัตรที่จะใช้ สรุปมี 4 ใบที่อยากเปิด 1. เอาไว้สะสมแต้มแลกไมล์ 2.บัตรที่เน้นโปรโมชั่นร้านอาหาร 3.บัตรใช้จ่ายต่างประเทศที่ไม่โดนค่าธรรมเนียมตอนแปลงสกุลเงิน 4.บัตรสิทธิพิเศษเกี่ยวกับloungeสนามบินและรถรับส่ง บัตรทั้ง 4 ใบไม่ได้เป็นบัตรที่หรูหราอะไรขนาดนั้นนะครับ เป็นบัตรที่คนทั่วไปก็สามารถสมัครได้ถ้ามีเงินเดือนเกิน 3 หมื่นบาท
เข้าเรื่อง : ผมไปยื่นขอเปิดบัตรตามธนาคารที่จะเปิด เขาบอกว่าหากไม่ได้ทำธุรกิจหรือพนักงาน ต้องมีเงินสดอย่างน้อย 6 เดือน มากกว่า 1 ล้านบาทขึ้นไป หรือต้องมีกองทุนมูลค่ามากกว่า 1 ล้านบาท และต้องเป็นกองทุนของธนาคารด้วย ผมถามเขาว่า ทำไมหุ้นถึงไม่ได้ ในเมื่อหุ้นกับกองทุนก็เหมือนๆกัน ซื้อ-ขายวันนี้ได้เงิน T+3 เหมือนกัน แต่หุ้นสามารถบริหารจัดการเองได้ ยืดหยุ่นได้มากกว่า กำไรมากกว่าด้วย กองทุนบางกองที่ผมเคยลงทุนตั้งแต่ปี 2 ถือไว้ผ่านมา 7 ปีแล้วตอนนี้ยังขาดทุนอยู่เลย กองทุนที่ลงไปช่วงโควิด ตลาดกลับมาแล้วก็ยังไม่เห็นจะกลับมาเท่าเดิมเลย กองทุนบางกองก็เก่ง แต่ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงที่ทำไมกองทุนที่ลงทุนในหุ้นถึงได้ แต่หุ้นเฉยๆที่เราลงเองกลับไม่ได้ งงตรงนี้แหละครับ
ทีนีผมก็เลยถามว่า " โอเค ถ้างั้นผมสามารถเอาเงินไปซื้อกองทุนสัก 3 ล้าน แล้วพอผลอนุมัติผ่านแล้วผมก็ขายได้เลยปะครับ " ธนาคารก็บอกว่า " ได้ค่ะ " เอ้า แล้วต่างจากหุ้นยังไง ตอนนี้ผมมีเงินสดน้อยมากในสภาวะแบบนี้ มีในหุ้นเกือบ 70-80 % ไม่มีใครถือเงินสดเยอะหรอกครับ ถ้าไม่รวยจัดๆ เขาก็บอกว่า "เป็นนโยบายของธนาคาร" ผมก็เข้าใจครับ แต่ก็แอบสงสัยไม่ได้เพราะทุกธนาคารก็ตอบแบบนี้หมด
คำถาม : 1.ทำไมธนาคารถึงไม่ยอมให้ใช้หุ้น เป็นหลักทรัพย์อ้างอิง แต่กองทุนสามารถทำได้
2. หากเป็นนักลงทุนที่มีเงินสดอยู่ในพอร์ตหุ้นและมีการหมุนเวียนในพอร์ต สามารถเอามาใช้ได้หรือไม่
ขอบคุณครับ