ผู้ใกล้ตายที่เหินห่างพระเจ้าไปนาน

ประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคุณพ่อเซบาสเตียน วอลช์ในฐานะพระสงฆ์คือการไปเยี่ยมผู้ใกล้เสียชีวิตที่เตียงแห่งความตายของพวกเขาและโปรดศีลศักดิ์สิทธิ์แก่พวกเขา สำหรับบางคนที่ห่างเหินจากพระเจ้าและพระศาสนจักร เรื่องราวจากประสบการณ์ของคุณพ่อเซบาสเตียนน่าสนใจและทำให้เกิดความหวังมาก
 
     คุณพ่อได้กล่าวในปาฐกถาเรื่อง “พระหรรษทานแห่งการกลับใจในเวลาใกล้ตาย (The Grace of Deathbed Conversions)” ในรายการทีวี The Coming Home Network International
 
     คุณพ่อเซบาสเตียนพูดว่า “ผมมองโลกในแง่ดีในฐานะพระสงฆ์เมื่อพูดคุยกับคนที่เป็นพ่อแม่ที่ลูกของพวกเขาห่างหายไปจากความเชื่อและดูเหมือนจะไม่มีความหวังที่จะดึงให้กลับมา”
 
     “ผมมองโลกในแง่ดีเพราะผมเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ผมไปที่เตียงของบางคนที่ใกล้เสียชีวิตและมักได้พบกับเรื่องราวที่เหมือนเดิม… ‘ฉัน/ผมไม่ได้ไปวัดมา 40 ปีแล้ว… ฉันหยุดปฏิบัติศาสนกิจตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น’ และมีเสียงเรียกร้องเล็กๆในใจของพวกเขา เมื่อพวกเขาเข้าใกล้ความตาย พระหรรษทานแห่งการกลับใจนี้ก็มาถึง และหลายครั้ง คนที่ดูเหมือนว่าไม่ได้คิดที่จะกลับใจเลย แต่พวกเขาได้กลับใจ”
 
     คุณพ่อเซบาสเตียน วอลช์แบ่งปันเรื่องราวของหญิงผู้หนึ่งชื่อซินเทีย (Cynthia) เธอเป็นเพื่อนสมัยเด็กของท่าน เธอได้กลับใจมาสู่ความเชื่อ ต้องขอบคุณมิตรภาพกับครอบครัวกริมม์ ซึ่งเป็นครอบครัวคาทอลิกครอบครัวใหญ่ แม่ของซินเทียเสียชีวิตแล้ว และพ่อของเธอก็ไม่มีใครได้พบเห็นอีก ยายของเธอจึงเป็นคนเลี้ยงดูเธอ ยายของเธอเป็นคนต่อต้านคาทอลิกมาก แต่เมื่อคุณยายอายุครบ 100 ปี และสุขภาพของเธอทรุดโทรม เธอฝันซ้ำๆว่าได้รับเชิญไปงานสังสรรค์แต่ไปไม่ได้

💧 การโปรดศีลล้างบาปให้คนอายุ 100 ปี
 
     ซินเทียขอให้คุณพ่อวอลช์ไปเยี่ยมคุณยายของเธอ ยายของเธอได้เล่าถึงความฝันที่เกิดขึ้นซ้ำๆ โดยบอกว่าเธออาจได้รับเชิญให้ไปสวรรค์ในฐานะคริสตชนคาทอลิก แต่เธอไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ถ้ายังไม่ได้รับศีลล้างบาปเสียก่อน
 
     “คุณอยากรับรับศีลล้างบาปมั้ย?” คุณพ่อเซบาสเตียนถามคุณยาย
 
     “นั่นคงจะดีมาก” เธอตอบ และอีกสองสามวันต่อมา พระสงฆ์จากวัดใกล้เคียงก็ได้มาประกอบพิธีล้างบาปให้แก่คุณยายและโปรดศีลกำลังให้แก่คุณยาย เธอได้ไปร่วมพิธีมิสซาและรับศีลมหาสนิทหนึ่งครั้งก่อนที่เธอจะเสียชีวิต
 
     “ขณะที่รับศีลล้างบาป คุณยายบอกว่าแม่ของเธอคงจะมีความสุขมาก” คุณพ่อวอลช์เล่า
 
     “ทำไมคะ?” ซินเทียถามยายของเธอ “คุณยายเป็นคนที่ต่อต้านคาทอลิกมาโดยตลอด”
 
     คุณยายของเธออธิบายว่า “ยายไม่เคยบอกหนูว่าแม่ของยายเป็นคาทอลิก แต่พ่อของยายเป็นผู้ไม่เชื่อในพระเจ้า และเขาห้ามไม่ให้เธอปฏิบัติตามความเชื่อและไม่ได้ถ่ายทอดความเชื่อนั้นให้กับเรา”
 
     “ผู้หญิงคนนั้นซึ่งตายไปแล้วประมาณ 40 ปี (แม่ของคุณยายท่านนี้)” คุณพ่อวอลช์ตั้งข้อสังเกต“ลูกสาวของเธอเข้ามาสู่ความเชื่อเมื่ออายุ 100 ปี” ไม่เพียงแค่คุณยายของซินเทียเท่านั้นที่ได้กลับใจ แต่แม่ของซินเทียเองก็กลับใจและรับศีลล้างบาปในเวลาใกล้ตายด้วยเช่นกัน และหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อคุณพ่อวอลช์ไปเยี่ยมครอบครัวกริมส์ พวกเขาเพิ่งวางสายโทรศัพท์ของพี่ชายของซินเทีย เขาอยู่ในโรงพยาบาลและเข้าจะรับการผ่าตัดในวันรุ่งขึ้น และอยากทราบว่าคุณพ่อวอลช์จะแวะมาหาเขาได้หรือไม่
 
     “ผมมีชีวิตที่ไม่ดีนัก” พี่ชายของซินเทียบอกกับคุณพ่อวอลช์ “และผมต้องการรับศีลล้างบาป” เนื่องจากเขาต้องเข้ารับการผ่าตัดในวันรุ่งขึ้น เขาจึงสามารถรับศีลล้างบาปและรับศีลกำลังได้ หลังจากนั้น อาการของเขาก็ไม่ได้หายเป็นปกติ แต่เขาได้อ่านหนังสือคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก ซึ่งคุณพ่อได้มอบให้เขาในช่วงเวลาที่เหลือของเขา ในที่สุดเขาก็ได้สิ้นใจในวันฉลองแม่พระมหาทุกข์
 
     ผู้หญิงคนนั้นที่สามีไม่เชื่อในพระเจ้าได้มีสมาชิกในครอบครัวของเธอทุกคนซึ่งกลับมาเป็นคาทอลิกก่อนเสียชีวิต
 
     “เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจไม่ใช่หรือ?” คุณพ่อวอลช์ตั้งข้อสังเกต “ดังนั้น เมื่อผมได้ยินคำพูดจากบรรดาผู้เป็นแม่ทั้งหลายที่สิ้นหวัง มีความกังวลและกระวนกระวายใจเกี่ยวกับลูกๆหลานๆของพวกเขาที่เหินห่างไปไกลจากความเชื่อ ผมบอกพวกเขาว่า ‘เฮ้ ดูสิ พ่อมีข้อมูลสำหรับพวกคุณนะ… คุณสวดภาวนาคุณร้องไห้ คุณทำทุกอย่างที่คุณต้องทำ แล้วพระเจ้าจะฟังคุณ พระองค์จะทรงรับฟังคำอธิษฐานภาวนาของคุณ’”

🌹 อำนาจแห่งสายประคำ
 
     การสวดภาวนาที่ทรงพลังที่สุดสำหรับการกลับใจคือการสวดสายประคำ ตามที่คุณพ่อวอลช์พูด เพราะเมื่อเราสวดสายประคำด้วยบทวันทามารีย์หลายๆครั้ง เราขอให้พระแม่มารีย์สวดภาวนาเพื่อเราในเวลานี้และในเวลาที่เราใกล้เสียชีวิต
 
     “นั่นเป็นสองช่วงเวลาที่สำคัญในชีวิตของทุกคน” คุณพ่อวอลช์กล่าว “ปัจจุบันคือสิ่งที่คุณมี และช่วงเวลาที่คุณต้องการให้พระแม่มารีย์สวดภาวนาให้คุณเป็นพิเศษคือช่วงเวลาที่เราใกล้สิ้นชีวิต นั่นเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดและนั่นคือช่วงเวลาที่แม่พระทรงมาอยู่กับวิญญาณมากที่สุด ในช่วงเวลาห่งความตายของพวกเขา”
 
     นักบุญโฟสตินาได้พูดถึงอัศจรรย์แห่งพระเมตตาที่เกิดขึ้นแม้ในกรณีที่ดูเหมือนว่าไม่มีความหวังก็ตามคุณพ่อวอลช์กล่าว ท่านอธิบายว่าปีศาจจะโกรธเกรี้ยวด้วยความผิดหวังเมื่อมันไม่สามารถลากดึงวิญญาณไปจากสวรรค์ได้ในช่วงเวลาแห่งความตายของมนุษย์
 
     “นั่นเป็นเหตุผลที่คุณควรสวดสายประคำและขอให้แม่พระสวดภาวนาเพื่อเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งบัดนี้และเมื่อจะตาย และไม่มีทางที่แม่พระจะทำให้คุณผิดหวัง” คุณพ่อวอลช์กล่าว “แม่พระรักคุณมากกว่าแม่ที่เป็นมนุษย์ของคุณ เช่นเดียวกับที่พระเจ้ารักคุณมากกว่าพ่อที่เป็นมนุษย์ของคุณ สายประคำเป็นบทสวดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราสามารถสวดเพื่อการกลับใจของตนเองและเพื่อผู้อื่น”

✨ พระเมตตาในเวลาใกล้ตาย
 
     มีแม่ชีที่ศักดิ์สิทธิ์ท่านหนึ่งชื่อ ซิสเตอร์แมรี พอตเตอร์ (Venerable Sister Mary Potter 1847-1913) ผู้ก่อตั้งคณะนักบวชที่สวดภาวนาอุทิศแก่ผู้ตาย “ไม่มีกิจการใดยิ่งใหญ่กว่า ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์มากไปกว่าการกอบกู้วิญญาณและช่วยผู้คนให้ไปอยู่ในสวรรค์” เธอเขียนไว้ในหนังสือ Devotion for the Dying : Mary's Call to her Loving Children (ความศรัทธาสำหรับผู้ใกล้ตาย:การเรียกของพระนางมารีย์ต่อบรรดาลูกทั้งหลายของพระนาง)
 
     ซิสเตอร์พอตเตอร์แนะนำให้ถวายการพลีกรรมของเราและมอบคนบาปแด่ดวงหทัยนิรมลของพระมารดาของเรา สวดภาวนาต่อแม่พระและพระจิตเจ้าและวอนขอพระโลหิตศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้าในสมัยของซิสเตอร์พอตเตอร์นั้นยังไม่มีบทภาวนาแห่งพระเมตตา (Chaplet of Divine Mercy) เนื่องจากนักบุญโฟสตินา (Saint Faustina) ได้รับบทภาวนานี้จากพระเยซูเจ้าหลังจากที่ซิสเตอร์พอตเตอร์สียชีวิตแล้ว (นักบุญโฟสตินา 1905-1938)
 
     ในไดอารี่ของนักบุญโฟสตินา (Diary of St. Maria Faustina Kowalska) เราอ่านพบว่าพระเยซูทรงย้ำเตือนนักบุญโฟสตินาถึงความสำคัญของการสวดภาวนาเพื่อคนใกล้ตาย พระองค์ทรงสอนบทภาวนาแห่งพระเมตตาอันศักดิ์สิทธิ์แก่เธอและขอให้สวดภาวนาเพื่อคนบาปและคนที่กำลังจะตายเป็นการเฉพาะ โดยตรัสว่า “จงเขียนว่า เมื่อพวกเขาสวดบทภาวนานี้ต่อหน้าคนที่กำลังจะตาย เราจะยืนอยู่ระหว่างพระบิดาของเรากับคนที่กำลังจะตาย ไม่ใช่ในฐานะผู้พิพากษาแต่ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตา” (เลขที่ 1541)
 
     ไม่ใช่แค่พ่อแม่ที่ต้องสวดภาวนาเพื่อลูกเท่านั้น บางครั้ง ลูกๆก็สวดภาวนาเพื่อพ่อแม่ของพวกเขา ด้วยดังที่มีเขียนไว้ในหนังสือ “ชัยชนะในเวลาใกล้ตาย : สามเรื่องราวที่พระหรรษทานมีชัยชนะต่อคนบาป แม้ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต”
 
     ในหนังสือชื่อ “Get to Heaven with the Help of Our Lady, St. Joseph and the Holy Eucharist” คุณพ่อ โจเซฟ ไอโตนา (Father Joseph Aytona) ได้เล่าถึงชัยชนะในเวลาใกล้ตาย ซึ่งเป็นเวลาที่เสียงของซาตานพยายามก่อกวน ท่านอธิบายว่าในการเตรียมตัวเพื่อความเป็นนิรันดร์ของเรา การหันไปหาแม่พระ(ผู้ให้บังเกิดพระเยซูเจ้า) และนักบุญโยเซฟ(ผู้ช่วยชีวิตพระเยซูจากเฮโรด) มีอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่สามารถช่วยเราได้เช่นกัน
 
     คุณพ่อโจเซฟกล่าวด้วยว่าเส้นทางสู่สวรรค์ที่ง่ายที่สุดคือการอาศัยศีลมหาสนิท ด้วยความศรัทธานี้พระศาสนจักรคาทอลิกในสหรัฐอเมริกาได้เริ่มให้มีการฟื้นฟูความศรัทธาต่อศีลมหาสนิทเป็นเวลาสามปีเริ่มตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายน 2022 ซึ่งเป็นวันฉลองพระกายพระคริสตเจ้า พระเยซูทรงเชื้อเชิญเราให้มาสู่แหล่งที่มาและจุดสูงสุดของความเชื่อของเรา นั่นคือ การสถิตอยู่อย่างแท้จริงของพระองค์ในศีลมหาสนิทการเข้าใกล้พระเยซูมากขึ้นและการรับพระองค์ในศีลมหาสนิทเป็นการเยียวยาจิตวิญญาณของเราเองและเราสวดภาวนาเพื่อวิญญาณของผู้อื่นด้วย เพื่อที่พวกเราจะได้พบกันในสวรรค์ในสักวันหนึ่ง

🖼️ ภาพวาด ”นักบุญฟรังซิสแห่งบอร์เจียกำลังช่วยวิญญาณของคนใกล้ตาย” วาดโดย Francisco de Goya ปี 1788 ปัจจุบันอยู้ในอาสนวิหารแห่งวาเลนเซีย


CR. : จิตอิสระ

😇 ชีวประวัตินักบุญฟรังซิส บอร์เจีย (Saint Francis Borgia)

     ท่านเกิดเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 1510 ในแกนเดีย (Gandia) แคว้นวาเลนเซีย ประเทศสเปน บิดาของท่าน ดุ๊กแห่งแกนเดีย เป็นเหลนของพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ ที่ 6 ผู้อื้อฉาว ส่วนมารดาท่าน ก็เป็นเหลนของกษัตริย์เฟอร์ดินานแห่งอารากอน
 
     ยายของฟรังซิสเข้าอารามนักบุญแคลร์ผู้ยากจนพร้อมกับลูกสาว หลังการเสียชีวิตของสามี และเธอมีผลต่อเรื่องศรัทธาทางศาสนาในราชสำนักบอร์เจีย ซึ่งฟรังซิสได้รับสืบทอดมา สตรีสองท่านนี้นำความศักดิ์สิทธิ์สู่วงศ์วานตระกูลบอร์เจียอันอื้อฉาว
 
     ฟรังซิสเติบโตมาเป็นหนุ่มใจศรัทธา มีพรสวรรค์หลายอย่างและเป็นที่นิยมรักใคร่ของคนในราชสำนักพระเจ้าชาร์ลส์ ที่ 5 เล่ากันว่า วันหนึ่ง ฟรังซิสเดินทางเข้าไปในเมือง Alcala พร้อมกับผู้คุ้มกัน เขาได้สบตาชายยากไร้น่าสงสารคนหนึ่งที่กำลังถูกคุมตัวไปคุกโดยตุลาการศาลศาสนา ชายคนนี้คืออิกญาซีโอแห่งโลโยลา ในขณะนั้น ฟรังซิสไม่ล่วงรู้เลยว่าคนๆ นี้จะมีบทบาทสำคัญต่อชีวิตของเขาเป็นอย่างมาก
 
     ในปี 1539 ฟรังซิสได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ดูแลแคว้นคาตาโลเนีย และสี่ปีต่อมา หลังจากบิดาเขาเสียชีวิต ฟรังซิสก็ได้เป็นดุ๊กแห่งแกนเดีย เขาสร้างมหาวิทยาลัยที่นั่น เขาได้รับปริญญาเอกด้านเทววิทยา และเชิญคณะเยสุอิตให้มายังแคว้นของเขา
 
     ภรรยาเขาเสียชีวิตในปี 1546 ฟรังซิสสมัครเข้าคณะเยสุอิตในปี 1548 แต่ได้รับบัญชาจากพระสันตะปาปาให้ยังใช้ชีวิตทางโลกต่อไปจนกว่าจะเสร็จภารกิจดูแลลูกๆ ทั้งสิบคนและแคว้นในปกครอง
 
     สองปีต่อมา ฟรังซิสออกจากแกนเดีย และไม่ย้อนกลับมาอีก ท่านเข้าร่วมกับกลุ่มเยสุอิตที่โรม และเริ่มต้นโครงการใหญ่ทันที ท่านให้ความมั่นใจกับอิกญาซีโอว่าจะก่อตั้งวิทยาลัยแห่งโรม และหนึ่งปีให้หลังท่านเดินทางไปสเปน เทศน์สอนและดำเนินชีวิตแบบยากจน ทำให้เกิดการฟื้นฟูด้านศาสนาในประเทศนั้นดึงดูดให้มีผู้จาริกแสวงบุญจากที่ไกลๆ มาฟังท่านเทศน์
 
     ในปี 1556 ท่านถูกแต่งตั้งให้รับผิดชอบงานแพร่ธรรมทั้งหมดของคณะ และพลังความกระตือรือร้นของท่านสร้างความเปลี่ยนแปลง ท่านยังริเริ่มการแพร่ธรรมที่อเมริกาใต้ ดินแดนที่เพิ่งค้นพบใหม่
 
     ท่านได้รับเลือกเป็นอัคราธิการของคณะเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 1565 และถึงแม้สุขภาพไม่ดีในปีท้ายๆของชีวิต ท่านก็บริหารคณะและริเริ่มโครงการต่างๆ ท่านนำการฟื้นฟูมากมายให้คณะเยสุอิตจนได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ก่อตั้งคณะคนที่สอง ท่านมีทั้งชีวิตสวดภาวนาและชีวิตการทำงาน พลังสร้างสรรค์ของท่านเป็นผลจากความเงียบสงัดในเวลาภาวนานั่นเอง
 
     ท่านเสียชีวิตที่โรมในวันที่ 30 กันยายน 1572 สองวันหลังเดินทางกลับจากงานประกาศพระวรสารที่สเปน
 
     นักบุญฟรังซิส บอร์เจียเป็นหนึ่งในนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ของการปฏิรูปคาทอลิก ท่านได้รับการประกาศเป็นนักบุญโดยพระสันตะปาปาเคลเมนต์ ที่ 10 ในปี 1670



CR. : Sinapis

CR. : https://www.facebook.com/100064834835553/posts/pfbid02CTRYdMZzdTaceyQnyyfN3jMApowMwq2z
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่