เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มาเขียนข้อความ แต่มันเสียใจจริงๆ กับทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป
เราอยู่ที่ดูไบ แต่งงานกับคนอียิปต์แต่ได้วีซ่าทำงานระยะยาวมากที่ดูไบ ทุกอย่างเหมือนจะดี แต่ไม่เลยเราจะเล่าเรื่องของเราให้ฟัง ถ้าใครจะไปต่างประเทศ อย่าได้เชื่อใจใคร แม้กระทั่งโรงพยาบาล สถานีตำรวจ หรืออะไรก็ตาม ไว้ใจไม่ได้ทั้งสิ้น จนเรารู้สึกรังเกียจมากมาย เราโดนสามีซ้อม ทุบตี ไล่เราออกจากบ้านโดยไม่มีอะไรติดตัวเลยสักอย่าง ไม่มีเงิน ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มียา เราเป็นโรคหัวใจเต้นคร่อมจังหวะ ระหว่างที่วิ่งหนีหัวซุก หัวซุน สามีตามมาทัน จะลากตอเราไปโรงพัก กล่าวหาว่าเราเป็นผู้หญิงขายบริการ จะได้โดนส่งตัวเข้าคุก เราเจอผู้หญิงอาหรับระหว่างทาง แต่แทนที่ผู้หญิงจะเห็นใจผู้หญิงด้วยกัน นางคุยภาษาอารบิกกับสามีของเรา สามีบอกว่าเราเป็นคนไข้จิตเวช เลยวิ่งไป ร้องไห้ไปแบบนี้ นางก็บอกกับสามีเราว่าเราต้องการหมอจิตเวช เราดูท่าไม่ดี พวกเขาพูดแต่ภาษาอารบิก เราไม่เข้าใจ วิ่งไปจนล้มเกือบหมดสติบนถนน เพราะโรคหัวใจกำเริบ เจอแท็กซี่ใจบุญพาเรามาส่งที่ห้องฉุกเฉิน ไม่เอาเงินเราสักบาท มาถึงห้องฉุกเฉิน เจ้าหน้าขอเงินสำรองจ่ายแพงมาก เราไม่มีเงิน คนไข้ข้างๆ อาสาจ่ายเงินแทน เราได้แต่ขอบคุณ เราแจ้งโรงพยาบาลตามจริงว่าเกิดอะไรขึ้น โชคร้ายอาหรับย่อมเข้าข้างอาหรับ เขาให้ยาโรคหัวใจ แต่ไม่ตรวจร่างกาย และนั่งเทียนเขียนว่าเราปกติ ไม่มีรอยโดนทำร้ายร่างกาย พวกเขายอกให้เราไปที่โรงพัก และที่โรงพักจะเตรียมที่อาศัยชั่วคราวให้เราได้ เตรียมรถให้เราเรียบร้อย ไปถึงโรงพักเราแจ้งตำรวจไปตามความเป็นจริง นั่งรอนานกว่า 12 ชั่วโมง จุดพีคมันอยู่ที่ตรงนี้ ตำรวจไม่เขียนใบรายงาน โทรตามสามีเราให้มาพบ คุยกัน ยอมความกันไป เราก็ไม่มีเงินขึ้นศาล เราแค่อยากได้ของๆ เรากลับ แค่นั้น ตำรวจบอกว่าให้ไปที่โรงพยาบาลนี้เลยนะ พรุ่งนี้ค่อยมารายงานตัว มาตามเรื่องอีกครั้งที่โรงพัก มาเขียนใบสัญญากันว่าจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาอีก แต่...
ทั้งนั้น เรามาถึงบ้าน เราเจ็บหัวใจมาก ฝืนอาบน้ำ ทานยา สามีบอกว่าเธอสัญญากับตำรวจว่าจะไปโรงพยาบาลนี้นะ เค้าจะแอทมิทเธอ เธออาการไม่ดีต้องรีบไปนะ เราบอกว่าเราขอหลับตานะ เราขยับตัวไม่ไหว จนมาถึงเที่ยงของอีกวัน สามีไปสถานที่พักพิงที่โรงพยาบาลแนะนำให้เราไปพัก มันคือที่กักตัวอาชญากร ให้อยู่แบบสกปรก เหมอนเอาหนูมาอัดอยู่รวมกัน ไม่มีอาหาร ไม่มีห้องน้ำสะอาด สามีบอกเราว่าเมื่อคืนตำรวจให้สามีพาเราไปแผนกจิตเวช สำหรับคนบ้าที่ทำร้ายคนรอบข้าง ถ้าย้านเราก็คือคนบ้าที่พร้อมฆ่าคน ส่งเราไปที่นั่นด่วน ตำรวจบอกว่าพวกเขาแน่ใจว่าเราจะโดนหมอฉีดยา จับมัดมือ มัดเท้า ให้อยู่ที่นั่นไปอีกนาน ถ้าออกมาได้เราก็จะโดนเตะออกจากประเทศ เรามองหน้าสามีเรา เราน้ำตาร่วง เราบอกว่าเธอรู้อยู่แก่ใจว่าเธอซ้อมฉัน ไล่ฉันออกมาจากบ้าน โรงพยาบาลรายงานโดยไม่ตรวจร่างกาย เขียนข้อมูลเท็จ เธอรู้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าจะส่งฉันไปโรงพยาบาลบ้า สิ่งเหล่านี้ทำร้ายภรรยาตัวเอง เธอทำได้อย่างไร ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน เหยื่อที่ถูกทำร้ายร่างกาย ถ้าเป็นผู้หญิงก็คือสิ่งที่ไร้ค่าใช่ไหม แล้วฉันจะเชื่อใจใครได้อีก สามีถามเราว่าถ้าที่ไทย ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เหยื่อทำยังงัย เราบอกว่าถ้าไม่ไปหาพี่หนุ่มกรรชัย ก็ยิ่งทิ้ง
ซะเลย ไหนๆก็จะโยนฉันเข้าคุกอยู่แล้วโดยไม่มีความผิด งั้นก็เอามันให้คุ้ม สามีมองหน้าฉันแล้วอึ้งกับคำตอบ แต่สำหรับฉัน
ฉันมองหน้าสามีแบบไม่ไว้ใจอีกแล้ว
จะอยู่ หรือจะไป จะมองหน้ากันอีกได้ไหม
เราอยู่ที่ดูไบ แต่งงานกับคนอียิปต์แต่ได้วีซ่าทำงานระยะยาวมากที่ดูไบ ทุกอย่างเหมือนจะดี แต่ไม่เลยเราจะเล่าเรื่องของเราให้ฟัง ถ้าใครจะไปต่างประเทศ อย่าได้เชื่อใจใคร แม้กระทั่งโรงพยาบาล สถานีตำรวจ หรืออะไรก็ตาม ไว้ใจไม่ได้ทั้งสิ้น จนเรารู้สึกรังเกียจมากมาย เราโดนสามีซ้อม ทุบตี ไล่เราออกจากบ้านโดยไม่มีอะไรติดตัวเลยสักอย่าง ไม่มีเงิน ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มียา เราเป็นโรคหัวใจเต้นคร่อมจังหวะ ระหว่างที่วิ่งหนีหัวซุก หัวซุน สามีตามมาทัน จะลากตอเราไปโรงพัก กล่าวหาว่าเราเป็นผู้หญิงขายบริการ จะได้โดนส่งตัวเข้าคุก เราเจอผู้หญิงอาหรับระหว่างทาง แต่แทนที่ผู้หญิงจะเห็นใจผู้หญิงด้วยกัน นางคุยภาษาอารบิกกับสามีของเรา สามีบอกว่าเราเป็นคนไข้จิตเวช เลยวิ่งไป ร้องไห้ไปแบบนี้ นางก็บอกกับสามีเราว่าเราต้องการหมอจิตเวช เราดูท่าไม่ดี พวกเขาพูดแต่ภาษาอารบิก เราไม่เข้าใจ วิ่งไปจนล้มเกือบหมดสติบนถนน เพราะโรคหัวใจกำเริบ เจอแท็กซี่ใจบุญพาเรามาส่งที่ห้องฉุกเฉิน ไม่เอาเงินเราสักบาท มาถึงห้องฉุกเฉิน เจ้าหน้าขอเงินสำรองจ่ายแพงมาก เราไม่มีเงิน คนไข้ข้างๆ อาสาจ่ายเงินแทน เราได้แต่ขอบคุณ เราแจ้งโรงพยาบาลตามจริงว่าเกิดอะไรขึ้น โชคร้ายอาหรับย่อมเข้าข้างอาหรับ เขาให้ยาโรคหัวใจ แต่ไม่ตรวจร่างกาย และนั่งเทียนเขียนว่าเราปกติ ไม่มีรอยโดนทำร้ายร่างกาย พวกเขายอกให้เราไปที่โรงพัก และที่โรงพักจะเตรียมที่อาศัยชั่วคราวให้เราได้ เตรียมรถให้เราเรียบร้อย ไปถึงโรงพักเราแจ้งตำรวจไปตามความเป็นจริง นั่งรอนานกว่า 12 ชั่วโมง จุดพีคมันอยู่ที่ตรงนี้ ตำรวจไม่เขียนใบรายงาน โทรตามสามีเราให้มาพบ คุยกัน ยอมความกันไป เราก็ไม่มีเงินขึ้นศาล เราแค่อยากได้ของๆ เรากลับ แค่นั้น ตำรวจบอกว่าให้ไปที่โรงพยาบาลนี้เลยนะ พรุ่งนี้ค่อยมารายงานตัว มาตามเรื่องอีกครั้งที่โรงพัก มาเขียนใบสัญญากันว่าจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาอีก แต่...ทั้งนั้น เรามาถึงบ้าน เราเจ็บหัวใจมาก ฝืนอาบน้ำ ทานยา สามีบอกว่าเธอสัญญากับตำรวจว่าจะไปโรงพยาบาลนี้นะ เค้าจะแอทมิทเธอ เธออาการไม่ดีต้องรีบไปนะ เราบอกว่าเราขอหลับตานะ เราขยับตัวไม่ไหว จนมาถึงเที่ยงของอีกวัน สามีไปสถานที่พักพิงที่โรงพยาบาลแนะนำให้เราไปพัก มันคือที่กักตัวอาชญากร ให้อยู่แบบสกปรก เหมอนเอาหนูมาอัดอยู่รวมกัน ไม่มีอาหาร ไม่มีห้องน้ำสะอาด สามีบอกเราว่าเมื่อคืนตำรวจให้สามีพาเราไปแผนกจิตเวช สำหรับคนบ้าที่ทำร้ายคนรอบข้าง ถ้าย้านเราก็คือคนบ้าที่พร้อมฆ่าคน ส่งเราไปที่นั่นด่วน ตำรวจบอกว่าพวกเขาแน่ใจว่าเราจะโดนหมอฉีดยา จับมัดมือ มัดเท้า ให้อยู่ที่นั่นไปอีกนาน ถ้าออกมาได้เราก็จะโดนเตะออกจากประเทศ เรามองหน้าสามีเรา เราน้ำตาร่วง เราบอกว่าเธอรู้อยู่แก่ใจว่าเธอซ้อมฉัน ไล่ฉันออกมาจากบ้าน โรงพยาบาลรายงานโดยไม่ตรวจร่างกาย เขียนข้อมูลเท็จ เธอรู้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าจะส่งฉันไปโรงพยาบาลบ้า สิ่งเหล่านี้ทำร้ายภรรยาตัวเอง เธอทำได้อย่างไร ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน เหยื่อที่ถูกทำร้ายร่างกาย ถ้าเป็นผู้หญิงก็คือสิ่งที่ไร้ค่าใช่ไหม แล้วฉันจะเชื่อใจใครได้อีก สามีถามเราว่าถ้าที่ไทย ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เหยื่อทำยังงัย เราบอกว่าถ้าไม่ไปหาพี่หนุ่มกรรชัย ก็ยิ่งทิ้งซะเลย ไหนๆก็จะโยนฉันเข้าคุกอยู่แล้วโดยไม่มีความผิด งั้นก็เอามันให้คุ้ม สามีมองหน้าฉันแล้วอึ้งกับคำตอบ แต่สำหรับฉัน ฉันมองหน้าสามีแบบไม่ไว้ใจอีกแล้ว