ภาพประกอบโดย คุณ Zionzany
1. เสพความฝัน (1)
“คิวที่ห้าสิบหก เอสเพรสโซ่ร้อนได้แล้วค่ะ”
เมื่อได้ยินเสียงขานเรียกคิวของพนักงานสาวตรงหลังเคาน์เตอร์บาร์ จิราซึ่งยืนรออยู่ไม่ห่างก็ตรวจสอบตัวเลขจากใบกระดาษที่ถืออยู่ แน่ใจแล้วจึงพาร่างเล็กในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนและกางเกงยีนส์สีเข้มของตนเอง ให้ตรงไปยังจุดรับสินค้า
“ขอบคุณครับ”
คว้าเครื่องดื่มที่สั่งมาไว้ในมือ แล้วจึงขยับเคลื่อนไหวต่อไปยังโต๊ะว่างบริเวณด้านในสุดของร้าน หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ บรรจงจรดริมฝีปากเข้ากับขอบถ้วยกระดาษที่ถือมาด้วย เพื่อส่งกาแฟหอมกรุ่นรสเข้มกลมกล่อม ให้ค่อย ๆ ไหลผ่านลงลำคอไป
ระบายไอร้อนวูบวาบที่เพิ่งเติมเข้าสู่ร่างกายหมาด ๆ ออกทางปากและรอยยิ้มพึงพอใจ เสมองไปยังสภาพอากาศแสนร้อนระอุที่ภายนอกร้าน แล้วก็ผ่อนลมหายใจอีกครั้งอย่างรู้สึกสบายในอารมณ์
ในวันที่เปลวแดดคล้ายจะหลอมละลายทุกสิ่ง แผดเผาทุกอย่างให้มอดไหม้เป็นจุณภายในพริบตา การได้มานั่งเฉย ๆ นิ่ง ๆ เสพกลิ่นไหม้และรสชาติเฉพาะตัวของกาแฟถ้วยโปรด ในร้านสวยสบายตาซึ่งถูกปรับอุณหภูมิจนเย็นฉ่ำ แล้วปล่อยกายปล่อยใจให้ดื่มด่ำ ไหลลอยไปเรื่อยกับกระแสความคิดของตนเอง ช่างเป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกดีได้เสมอ
รับรู้ได้ถึงแรงสั่นเบา ๆ จากในกระเป๋ากางเกง จึงวางถ้วยกาแฟที่ถืออยู่ลงกับโต๊ะตรงเบื้องหน้า แล้วล้วงหยิบเอาสมาร์ทโฟนออกมากดเปิดดู
‘สำนักพิมพ์โอนรายได้ของเดือนนี้เข้าบัญชีให้แล้วนะคะ อ้อ...นิยายเรื่องใหม่ที่พี่จิราเคยบอกว่ากำลังเขียนอยู่เป็นอย่างไรบ้าง ไม่ต้องรอให้เขียนจบก็ส่งมาให้ดูได้เลยนะคะ ทางเราขอจองไว้ก่อนเลย ไม่ใช่อะไร กลัวถูกสำนักพิมพ์อื่นปาดหน้าไปค่ะ (ฮา)’
ข้อความแชทที่ได้อ่าน ทำเอาภาพตัวเองในอดีตเมื่อหลายปีก่อน ที่กำลังอยู่ในช่วงสิ้นไร้ไม้ตอกและอับจนหนทางอย่างที่สุด ผุดลอยขึ้นมาจากความทรงจำให้ได้เห็นเด่นชัดอยู่เบื้องหน้า
ตอนนั้น...ไม่ว่าเขาจะพยายามเขียนและส่งงานของตนไปกี่เรื่อง ปรับปรุงแก้ไขเนื้อหาและสำนวนไปกี่หน ก็ไม่มีสำนักพิมพ์ใดให้ความสนใจ หรือแม้แต่คิดที่จะรับงานของเขาไว้พิจารณาอย่างจริง ๆ จัง ๆ เลยสักครั้ง
เพียงแค่คำแนะนำหรือกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่หวังว่าจะได้รับ ให้ยังพอมีแรง มีพลังใจไว้เดินบนทางฝันต่อได้อีกหน่อย ก็ยังราวกับว่าเขาขอมากเกินไปด้วยซ้ำ
แล้วดูตอนนี้สิ...นี่สินะ ที่ใครต่อใครพูดกันว่า ยามไร้ชื่อเสียงก็ไร้แม้เงาใครสักคนเหลียวแล
ร่องรอยเหยียดยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาในเวลานี้ เต็มไปด้วยความรู้สึกสะใจและแววเย้ยหยันของผู้ที่อยู่เหนือกว่า ด้วยเพราะสถานการณ์ทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นเหล่านั้นได้พลิกผันไปแล้ว
ส่งกาแฟอีกใหม่เข้าสู่ร่างกายด้วยอารมณ์ลำพองในอกอย่างเต็มที่...
ตอนนี้เขากลายเป็นนักเขียนชื่อดัง ที่จะเป็นฝ่ายได้ลิ้มรสชาติหอมหวานชวนหลงใหล ของการเลือกและเรียกร้อง จะเป็นฝ่ายที่ถูกเข้าหาและปรนนิบัติอย่างพินอบพิเทาบ้าง
นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงจิ้ม ๆ กด ๆ นิ้วลงบนหน้าจอสมาร์ทโฟน เพื่อเข้าสู่หน้าเว็บไซต์ขายอีบุ๊กและนิยายออนไลน์ ซึ่งเขาใช้นามปากกาลับในการเขียนงานขายด้วยตัวเอง โดยไม่ให้ใครรู้ตัวจริงอยู่
เห็นเส้นกราฟยอดผู้เข้าชมและรายได้ที่ได้ในเดือนนี้ ที่ยังคงสูงลิบเสมอต้นเสมอปลาย แรงดีไม่มีแผ่วอย่างเคยแล้ว ก็กระตุกยิ้มให้กับหน้าจอในมือตัวเอง
นี่ขนาดไม่มีใครรู้ว่าคนเขียนเรื่องพวกนี้คือเขา ซึ่งเป็นคน ๆ เดียวกันกับเจ้าของนิยายขายดีติดอันดับหลายปกในปัจจุบัน ยังไปได้สวยขนาดนี้...ลองเปิดเผยตัวเลยดีไหมนะ ยอดขายอาจจะถล่มทลายไปเลยก็เป็นได้
คิดเองแล้วก็ขำพรืดออกมาเอง เพราะรู้ดีว่าตนเองจะไม่มีวันทำแบบนั้นเด็ดขาด ถ้าจะเปิดเผยตัว ก็สู้ใช้นามปากกาหลักที่ดังเปรี้ยงปร้างอยู่แล้วเขียนขายเลยไม่ดีกว่าหรือ จะต้องวุ่นวายเปลี่ยนชื่อแล้วมาหลบ ๆ ซ่อน ๆ อย่างนี้ทำไม
สไลด์หน้าจอ เลื่อนดูความคิดเห็นที่ถูกฝากเอาไว้ไปเรื่อย ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าไม่ออกไปทางชื่นชม ก็มักเป็นการเดาเนื้อเรื่องตอนต่อไป อ่านเพลิน ๆ อย่างกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ จนกระทั่งความเบิกบานที่ได้จากตัวอักษรเหล่านั้น มาสะดุดลงตอนที่ไปเห็นข้อความคอมเมนต์หนึ่งเข้า
‘ทำไมช่วงหลัง ๆ เขียนน้อย ตอนสั้นจังคะ อ่านไม่จุใจเลย แป๊บ ๆ จบแล้ว ไรท์ไม่สบายหรือติดขัดอะไรหรือเปล่า พักสักหน่อยก็ได้นะ ขอแค่อย่าหยุด อย่าหายไปดื้อ ๆ เฉย ๆ ก็พอ มันจะค้างคาใจค่ะ...พลีส’
ไม่ว่าจะอ่านอย่างไร ที่เห็นก็เป็นเพียงข้อความพูดคุยของผู้อ่าน ที่อยากส่งไปถึงนักเขียน โดยมีเจตนาที่สื่อออกไปทางชื่นชมด้วยซ้ำ
ทว่าเนื้อหาที่ดูแสนจะธรรมดาสามัญประโยคนี้ ก็กลับทำให้อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่านหงุดหงิด จนถึงกับหยุดอ่านคอมเมนต์อื่นที่เหลือ กดปิดหน้าจอไปดื้อ ๆ ทันทีเสียอย่างนั้น
“ว่าอย่างไรคะ คุณจิรานักเขียนใหญ่”
พอดีกับที่จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงหวานใส มาดังอยู่ตรงหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว สำเนียงและจังหวะการพูดคุ้นเคยจนไม่ต้องมองก็รู้ว่า ผู้ที่เดินทางมาถึงคือแฟนสาว ซึ่งเขาโทรฯ นัดไว้เมื่อชั่วโมงก่อนนั่นเอง
“พัชร์ มาเงียบเชียว ภูตกใจหมด” เขาที่แทนตัวเองด้วยชื่อเล่น รีบเก็บซ่อนสีหน้าร้ายกาจเมื่อวินาทีก่อน ปรับอารมณ์และเรียกสติกลับมาอย่างรวดเร็ว “มา นั่งก่อนสิ อ้อ...อยากดื่มอะไรไหม เดี๋ยวภูไปสั่งให้”
“เรียบร้อยแล้วละ” เธอพูดพลางชูใบคิวในมือให้ดู วางกระเป๋าสะพายลงกับโต๊ะ แล้วจึงเลื่อนเก้าอี้นั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามกัน “เสียงกริ่งประตูก็ดัง แถมพัชร์ยืนเลือกเมนูตั้งนานสองนาน ถ้าภูไม่เหม่อขนาดหนัก ก็ต้องตั้งใจเมินกันแล้วไหม”
คำพูดของแฟนสาวทำเอาเขาออกอาการชะงักงัน หัวคิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากัน แต่เพียงชั่วอึดใจมันก็คลายปมออก แล้วสีหน้าที่คล้ายกำลังครุ่นคิดก็กลับมาเป็นปกติอย่างเคยอีกครั้ง “ขอโทษที ภูคิดพล็อตตอนต่อของนิยายเพลินไปหน่อยน่ะ”
“พัชร์แค่พูดเล่น ทำซีเรียสไปได้” ผ่อนเสียงขึงขังเมื่อสักครู่ลง แล้วก็ระบายยิ้มออกมา “แต่มัวคิดเรื่องงานตลอดเวลาก็แย่สิ ดูแลตัวเองหน่อย ช่วงนี้ดูซูบลงไปนะ แล้วถ้าขนาดแค่ผมเผ้าหนวดเคราก็ยังไม่มีเวลาจัดการ อย่างนี้มันก็เกินไปหน่อยไหม”
“ทุกอย่างจะถูกจัดการโดยเร็ว พรุ่งนี้เรี่ยมเร้เรไรแน่นอนครับ คุณพัชร์”
น้ำเสียงและท่าทางประกอบการพูดสุดทะเล้น ไม่เข้ากับสถานการณ์สักนิดของชายหนุ่ม ทำเอาบรรยากาศจริงจังบนโต๊ะพลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ จนแฟนสาวขำพรืดและหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
พัชร์และจิรารู้จักกันครั้งแรกเมื่อสมัยเข้าเรียนมัธยมต้นในโรงเรียนเดียวกัน เดิมทีทั้งคู่ก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันเป็นพิเศษ ยิ่งความชอบ ไลฟ์สไตล์ และอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง ดูเหมือนจะไม่ใกล้เคียงกันเลยด้วยซ้ำ
น่าแปลกว่าหลังจากเรียนจบในระดับชั้นนี้ไปแล้ว ทั้งสองคนก็ได้กลับมาพบกันอีกหน...และอีกหน เพราะต่างคนต่างก็เลือกศึกษาต่อที่สถาบันเดียวกัน อีกทั้งยังเป็นสาขาวิชาเดียวกันโดยบังเอิญ ตั้งแต่มัธยมปลายจนกระทั่งจบมหาวิทยาลัย
และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ไม่แน่ใจว่าตั้งแต่เมื่อใดด้วยซ้ำ ที่ทั้งเขาและเธอต่างก็กลายเป็นจุดสนใจของกันและกัน เป็นคนที่อยู่ในสายตาของอีกคนไป จนตกลงปลงใจคบหากันในที่สุด
หากโลกนี้มีความรักสุดโรแมนติกที่เรียกว่ารักแรกพบแล้วล่ะก็ เรื่องราวระหว่างพัชร์และจิรา ก็คงเป็นพรหมลิขิตอันสุดแสนจะธรรมดาสามัญ ที่ความรักผลิบานขึ้นจากการเพาะบ่มอารมณ์และความรู้สึกมาอย่างยาวนานนั่นเอง
“แล้วจู่ ๆ โทรฯ มานัด แถมให้พัชร์ลางานมาเนี่ย มีธุระสำคัญอะไรหรือเปล่า” พอหอมปากหอมคอแล้ว หญิงสาวก็เริ่มเข้าประเด็น
จิราลาออกจากงานประจำ ตั้งแต่เขาตั้งใจจะเป็นนักเขียนอาชีพอย่างจริง ๆ จัง ๆ หลังจากที่ไม่ได้เป็นหนุ่มออฟฟิศ และเริ่มตั้งหลักตามทางฝันได้แล้ว เขาก็หาเลี้ยงชีพและอยู่อย่างสุขสบายด้วยรายได้มากมายมหาศาล ที่ได้จากงานเขียนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เพราะความจำเป็นในการเข้าสังคมที่ลดลง อีกทั้งเขายังใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการหมกตัวเพื่อคิดงานอยู่ในบ้าน หรือตามร้านกาแฟแต่เพียงผู้เดียว สำหรับคนที่ไร้ความพิถีพิถันกับตัวเอง ในสภาพนี้...การแต่งตัวให้ดูเนี้ยบจึงยิ่งหมดความสำคัญ และกลายเป็นไร้ความจำเป็นไปในทันที
เสื้อยืดคอกลม กางเกงขาสั้น และรองเท้าแตะหูคีบคู่เก่าคู่เดิม จึงกลายเป็นชุดเก่งที่เขามักใช้สวมใส่ไปไหนต่อไหนเป็นประจำ จนคล้ายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของเขาไปเสียแล้ว
ดังนั้น การที่พัชร์ได้มาเห็นแฟนหนุ่มของเธอ ในชุดเสื้อผ้าอย่างที่สวมอยู่ในเวลานี้ จึงเป็นอะไรที่ค่อนข้างถือได้ว่าไม่ปกติ และทำให้คาดเดาได้แทบจะในทันทีว่า ต้องมีอะไรไม่ธรรมดา แตกต่างไปจากทุกทีเป็นแน่
“ก็...ไม่มีอะไรนี่ ภูแค่อยากชวนพัชร์มานั่งกินกาแฟด้วยกันเฉย ๆ...ไม่ได้หรือ” ส่งสายตาและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ เหลียวมองไปทั่วร้านที่เหลือลูกค้าอยู่แค่เพียงพวกเขาสองคน “ภูชอบนั่งร้านกาแฟวันทำงานปกติน่ะ เงียบและโล่งดี เหมือนได้รับสิทธิพิเศษ ประมาณเหมาร้านทั้งร้านมานั่งคุยกันดีออก...ว่าไหม”
“จ้า...จะให้ลางานมานั่งเป็นเพื่อน พัชร์โอเค จะอินดี้จะอะไรภูก็ทำไปเถอะ แต่ไอ้ที่บอกว่า ชวนมานั่งกินกาแฟเฉย ๆ น่ะ โกหกเห็น ๆ” ถอนหายใจใส่ แต่มีรอยยิ้มที่มุมปาก “ตกลงจะบอกหรือไม่บอก ฮึ”
ไม่ปล่อยให้ต้องสงสัยต่อ จิรารีบล้วงหยิบเอากล่องรูปทรงหัวใจใบเล็กที่เตรียมมาด้วยออกจากในกระเป๋ากางเกง ยื่นมันออกไปตรงหน้า และเปิดฝาออกให้เห็นแหวนเพชรเม็ดเดี่ยววงงามที่ใส่ไว้อยู่ภายใน
ทำเอาพัชร์ที่กำลังพูดอยู่ถึงกับค้างคำ ชะงักนิ่งอย่างคนนึกอะไรต่อไม่ออกไปเสียดื้อ ๆ
“พัชร์โอเคไหม” ขยับเคลื่อนใบหน้าให้เข้าไปใกล้กันอีกหน่อย เพื่อที่จะได้มองตาของกันและกัน และรอฟังคำตอบได้ชัด ๆ
“อื้อ” หญิงสาวฉีกยิ้มและพยักหน้า เปล่งเสียงตอบรับได้เพียงสั้น ๆ ด้วยเกรงว่า หากพูดอะไรออกไปมากกว่านั้น เธอจะกลั้นน้ำตาที่กำลังรื้นอยู่ตรงขอบตาไม่ให้ร่วงลงมาไม่ไหว
“ขอมือซ้ายหน่อยสิ” ชายหนุ่มยิ้มละไม พร้อมแบมือยื่นออกไป
เธอวางมือของตัวเองลงบนฝ่ามือของคนรักอย่างว่าง่าย มองอีกฝ่ายบรรจงสวมแหวนให้ ด้วยตวงตาเป็นประกายและรอยยิ้มเกลื่อนสุข ซึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์รักและตื้นตันใจอย่างที่สุด
“เอาละ หมั้นเจ้าสาวคนนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว” เขาพูดต่อโดยเปลี่ยนเป็นเกาะกุมมือเล็ก ๆ ของอีกฝ่ายไว้แทน “นั่งคุยแล้วก็กินอะไรกันสักหน่อยก่อน ช่วงบ่ายเราจะได้ไปเดินหา เดินเลือกแหวนแต่งงานกัน แล้วถ้ายังพอมีเวลา ก็จะได้ไปลองชุดกันด้วยเลย...ดีไหม”
“ตามใจ เอาที่ภูสบายใจก็แล้วกัน” ในคำพูดและรอยยิ้มของเธอ มีความเขินอายซ่อนอยู่ “บทจะช้า ก็ให้รอจนไม่แน่ใจ พอบทจะไว ก็ไวปรู๊ดปร๊าดขึ้นมาเสียเฉย ๆ จนงง ตามแทบไม่ทันกันเลยเนอะ”
“แล้วไม่ดีหรือ” เขาถามเจ้าเล่ห์ เพราะคิดว่ารู้คำตอบอยู่แล้ว
“ยังต้องให้ตอบอีกหรือ” แล้วอารมณ์อ่อนละมุนที่แฝงอยู่ ก็แสดงให้เห็นผ่านร่องรอยแดงระเรื่อตรงแก้ม เธอระบายลมหายใจออก และบอกความในใจที่เคยเก็บไว้แต่เพียงผู้เดียวออกมา “ตอนที่ภูท้อแท้สิ้นหวังกับงาน บอกตรง ๆ ว่า ตอนนั้นพัชร์เองก็เริ่มหวั่น ๆ อนาคตของเราสองคนเหมือนกัน ตอนนี้พัชร์ก็เลยดีใจและมีความสุขมาก ที่วันของพวกเรากำลังจะมาถึงจริง ๆ เสียที”
“ต่อจากนี้พัชร์จะยิ่งดีใจและมีความสุขมากขึ้นไปอีกหลายเท่า ภูจะไม่ยอมให้พัชร์ต้องมาเสียเวลากับภูไปเปล่า ๆ ตั้งหลายปี จะทำให้พัชร์ได้รับรู้และภูมิใจว่า สิ่งที่พัชร์เฝ้ารออย่างอดทนและตัดสินใจเลือกนั้น ถูกต้องที่สุดแล้ว...”
ร้านแลกวิญญาณ : เสพความฝัน (1)
“คิวที่ห้าสิบหก เอสเพรสโซ่ร้อนได้แล้วค่ะ”
เมื่อได้ยินเสียงขานเรียกคิวของพนักงานสาวตรงหลังเคาน์เตอร์บาร์ จิราซึ่งยืนรออยู่ไม่ห่างก็ตรวจสอบตัวเลขจากใบกระดาษที่ถืออยู่ แน่ใจแล้วจึงพาร่างเล็กในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนและกางเกงยีนส์สีเข้มของตนเอง ให้ตรงไปยังจุดรับสินค้า
“ขอบคุณครับ”
คว้าเครื่องดื่มที่สั่งมาไว้ในมือ แล้วจึงขยับเคลื่อนไหวต่อไปยังโต๊ะว่างบริเวณด้านในสุดของร้าน หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ บรรจงจรดริมฝีปากเข้ากับขอบถ้วยกระดาษที่ถือมาด้วย เพื่อส่งกาแฟหอมกรุ่นรสเข้มกลมกล่อม ให้ค่อย ๆ ไหลผ่านลงลำคอไป
ระบายไอร้อนวูบวาบที่เพิ่งเติมเข้าสู่ร่างกายหมาด ๆ ออกทางปากและรอยยิ้มพึงพอใจ เสมองไปยังสภาพอากาศแสนร้อนระอุที่ภายนอกร้าน แล้วก็ผ่อนลมหายใจอีกครั้งอย่างรู้สึกสบายในอารมณ์
ในวันที่เปลวแดดคล้ายจะหลอมละลายทุกสิ่ง แผดเผาทุกอย่างให้มอดไหม้เป็นจุณภายในพริบตา การได้มานั่งเฉย ๆ นิ่ง ๆ เสพกลิ่นไหม้และรสชาติเฉพาะตัวของกาแฟถ้วยโปรด ในร้านสวยสบายตาซึ่งถูกปรับอุณหภูมิจนเย็นฉ่ำ แล้วปล่อยกายปล่อยใจให้ดื่มด่ำ ไหลลอยไปเรื่อยกับกระแสความคิดของตนเอง ช่างเป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกดีได้เสมอ
รับรู้ได้ถึงแรงสั่นเบา ๆ จากในกระเป๋ากางเกง จึงวางถ้วยกาแฟที่ถืออยู่ลงกับโต๊ะตรงเบื้องหน้า แล้วล้วงหยิบเอาสมาร์ทโฟนออกมากดเปิดดู
‘สำนักพิมพ์โอนรายได้ของเดือนนี้เข้าบัญชีให้แล้วนะคะ อ้อ...นิยายเรื่องใหม่ที่พี่จิราเคยบอกว่ากำลังเขียนอยู่เป็นอย่างไรบ้าง ไม่ต้องรอให้เขียนจบก็ส่งมาให้ดูได้เลยนะคะ ทางเราขอจองไว้ก่อนเลย ไม่ใช่อะไร กลัวถูกสำนักพิมพ์อื่นปาดหน้าไปค่ะ (ฮา)’
ข้อความแชทที่ได้อ่าน ทำเอาภาพตัวเองในอดีตเมื่อหลายปีก่อน ที่กำลังอยู่ในช่วงสิ้นไร้ไม้ตอกและอับจนหนทางอย่างที่สุด ผุดลอยขึ้นมาจากความทรงจำให้ได้เห็นเด่นชัดอยู่เบื้องหน้า
ตอนนั้น...ไม่ว่าเขาจะพยายามเขียนและส่งงานของตนไปกี่เรื่อง ปรับปรุงแก้ไขเนื้อหาและสำนวนไปกี่หน ก็ไม่มีสำนักพิมพ์ใดให้ความสนใจ หรือแม้แต่คิดที่จะรับงานของเขาไว้พิจารณาอย่างจริง ๆ จัง ๆ เลยสักครั้ง
เพียงแค่คำแนะนำหรือกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่หวังว่าจะได้รับ ให้ยังพอมีแรง มีพลังใจไว้เดินบนทางฝันต่อได้อีกหน่อย ก็ยังราวกับว่าเขาขอมากเกินไปด้วยซ้ำ
แล้วดูตอนนี้สิ...นี่สินะ ที่ใครต่อใครพูดกันว่า ยามไร้ชื่อเสียงก็ไร้แม้เงาใครสักคนเหลียวแล
ร่องรอยเหยียดยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาในเวลานี้ เต็มไปด้วยความรู้สึกสะใจและแววเย้ยหยันของผู้ที่อยู่เหนือกว่า ด้วยเพราะสถานการณ์ทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นเหล่านั้นได้พลิกผันไปแล้ว
ส่งกาแฟอีกใหม่เข้าสู่ร่างกายด้วยอารมณ์ลำพองในอกอย่างเต็มที่...
ตอนนี้เขากลายเป็นนักเขียนชื่อดัง ที่จะเป็นฝ่ายได้ลิ้มรสชาติหอมหวานชวนหลงใหล ของการเลือกและเรียกร้อง จะเป็นฝ่ายที่ถูกเข้าหาและปรนนิบัติอย่างพินอบพิเทาบ้าง
นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงจิ้ม ๆ กด ๆ นิ้วลงบนหน้าจอสมาร์ทโฟน เพื่อเข้าสู่หน้าเว็บไซต์ขายอีบุ๊กและนิยายออนไลน์ ซึ่งเขาใช้นามปากกาลับในการเขียนงานขายด้วยตัวเอง โดยไม่ให้ใครรู้ตัวจริงอยู่
เห็นเส้นกราฟยอดผู้เข้าชมและรายได้ที่ได้ในเดือนนี้ ที่ยังคงสูงลิบเสมอต้นเสมอปลาย แรงดีไม่มีแผ่วอย่างเคยแล้ว ก็กระตุกยิ้มให้กับหน้าจอในมือตัวเอง
นี่ขนาดไม่มีใครรู้ว่าคนเขียนเรื่องพวกนี้คือเขา ซึ่งเป็นคน ๆ เดียวกันกับเจ้าของนิยายขายดีติดอันดับหลายปกในปัจจุบัน ยังไปได้สวยขนาดนี้...ลองเปิดเผยตัวเลยดีไหมนะ ยอดขายอาจจะถล่มทลายไปเลยก็เป็นได้
คิดเองแล้วก็ขำพรืดออกมาเอง เพราะรู้ดีว่าตนเองจะไม่มีวันทำแบบนั้นเด็ดขาด ถ้าจะเปิดเผยตัว ก็สู้ใช้นามปากกาหลักที่ดังเปรี้ยงปร้างอยู่แล้วเขียนขายเลยไม่ดีกว่าหรือ จะต้องวุ่นวายเปลี่ยนชื่อแล้วมาหลบ ๆ ซ่อน ๆ อย่างนี้ทำไม
สไลด์หน้าจอ เลื่อนดูความคิดเห็นที่ถูกฝากเอาไว้ไปเรื่อย ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าไม่ออกไปทางชื่นชม ก็มักเป็นการเดาเนื้อเรื่องตอนต่อไป อ่านเพลิน ๆ อย่างกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ จนกระทั่งความเบิกบานที่ได้จากตัวอักษรเหล่านั้น มาสะดุดลงตอนที่ไปเห็นข้อความคอมเมนต์หนึ่งเข้า
‘ทำไมช่วงหลัง ๆ เขียนน้อย ตอนสั้นจังคะ อ่านไม่จุใจเลย แป๊บ ๆ จบแล้ว ไรท์ไม่สบายหรือติดขัดอะไรหรือเปล่า พักสักหน่อยก็ได้นะ ขอแค่อย่าหยุด อย่าหายไปดื้อ ๆ เฉย ๆ ก็พอ มันจะค้างคาใจค่ะ...พลีส’
ไม่ว่าจะอ่านอย่างไร ที่เห็นก็เป็นเพียงข้อความพูดคุยของผู้อ่าน ที่อยากส่งไปถึงนักเขียน โดยมีเจตนาที่สื่อออกไปทางชื่นชมด้วยซ้ำ
ทว่าเนื้อหาที่ดูแสนจะธรรมดาสามัญประโยคนี้ ก็กลับทำให้อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่านหงุดหงิด จนถึงกับหยุดอ่านคอมเมนต์อื่นที่เหลือ กดปิดหน้าจอไปดื้อ ๆ ทันทีเสียอย่างนั้น
“ว่าอย่างไรคะ คุณจิรานักเขียนใหญ่”
พอดีกับที่จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงหวานใส มาดังอยู่ตรงหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว สำเนียงและจังหวะการพูดคุ้นเคยจนไม่ต้องมองก็รู้ว่า ผู้ที่เดินทางมาถึงคือแฟนสาว ซึ่งเขาโทรฯ นัดไว้เมื่อชั่วโมงก่อนนั่นเอง
“พัชร์ มาเงียบเชียว ภูตกใจหมด” เขาที่แทนตัวเองด้วยชื่อเล่น รีบเก็บซ่อนสีหน้าร้ายกาจเมื่อวินาทีก่อน ปรับอารมณ์และเรียกสติกลับมาอย่างรวดเร็ว “มา นั่งก่อนสิ อ้อ...อยากดื่มอะไรไหม เดี๋ยวภูไปสั่งให้”
“เรียบร้อยแล้วละ” เธอพูดพลางชูใบคิวในมือให้ดู วางกระเป๋าสะพายลงกับโต๊ะ แล้วจึงเลื่อนเก้าอี้นั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามกัน “เสียงกริ่งประตูก็ดัง แถมพัชร์ยืนเลือกเมนูตั้งนานสองนาน ถ้าภูไม่เหม่อขนาดหนัก ก็ต้องตั้งใจเมินกันแล้วไหม”
คำพูดของแฟนสาวทำเอาเขาออกอาการชะงักงัน หัวคิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากัน แต่เพียงชั่วอึดใจมันก็คลายปมออก แล้วสีหน้าที่คล้ายกำลังครุ่นคิดก็กลับมาเป็นปกติอย่างเคยอีกครั้ง “ขอโทษที ภูคิดพล็อตตอนต่อของนิยายเพลินไปหน่อยน่ะ”
“พัชร์แค่พูดเล่น ทำซีเรียสไปได้” ผ่อนเสียงขึงขังเมื่อสักครู่ลง แล้วก็ระบายยิ้มออกมา “แต่มัวคิดเรื่องงานตลอดเวลาก็แย่สิ ดูแลตัวเองหน่อย ช่วงนี้ดูซูบลงไปนะ แล้วถ้าขนาดแค่ผมเผ้าหนวดเคราก็ยังไม่มีเวลาจัดการ อย่างนี้มันก็เกินไปหน่อยไหม”
“ทุกอย่างจะถูกจัดการโดยเร็ว พรุ่งนี้เรี่ยมเร้เรไรแน่นอนครับ คุณพัชร์”
น้ำเสียงและท่าทางประกอบการพูดสุดทะเล้น ไม่เข้ากับสถานการณ์สักนิดของชายหนุ่ม ทำเอาบรรยากาศจริงจังบนโต๊ะพลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ จนแฟนสาวขำพรืดและหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
พัชร์และจิรารู้จักกันครั้งแรกเมื่อสมัยเข้าเรียนมัธยมต้นในโรงเรียนเดียวกัน เดิมทีทั้งคู่ก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันเป็นพิเศษ ยิ่งความชอบ ไลฟ์สไตล์ และอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง ดูเหมือนจะไม่ใกล้เคียงกันเลยด้วยซ้ำ
น่าแปลกว่าหลังจากเรียนจบในระดับชั้นนี้ไปแล้ว ทั้งสองคนก็ได้กลับมาพบกันอีกหน...และอีกหน เพราะต่างคนต่างก็เลือกศึกษาต่อที่สถาบันเดียวกัน อีกทั้งยังเป็นสาขาวิชาเดียวกันโดยบังเอิญ ตั้งแต่มัธยมปลายจนกระทั่งจบมหาวิทยาลัย
และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ไม่แน่ใจว่าตั้งแต่เมื่อใดด้วยซ้ำ ที่ทั้งเขาและเธอต่างก็กลายเป็นจุดสนใจของกันและกัน เป็นคนที่อยู่ในสายตาของอีกคนไป จนตกลงปลงใจคบหากันในที่สุด
หากโลกนี้มีความรักสุดโรแมนติกที่เรียกว่ารักแรกพบแล้วล่ะก็ เรื่องราวระหว่างพัชร์และจิรา ก็คงเป็นพรหมลิขิตอันสุดแสนจะธรรมดาสามัญ ที่ความรักผลิบานขึ้นจากการเพาะบ่มอารมณ์และความรู้สึกมาอย่างยาวนานนั่นเอง
“แล้วจู่ ๆ โทรฯ มานัด แถมให้พัชร์ลางานมาเนี่ย มีธุระสำคัญอะไรหรือเปล่า” พอหอมปากหอมคอแล้ว หญิงสาวก็เริ่มเข้าประเด็น
จิราลาออกจากงานประจำ ตั้งแต่เขาตั้งใจจะเป็นนักเขียนอาชีพอย่างจริง ๆ จัง ๆ หลังจากที่ไม่ได้เป็นหนุ่มออฟฟิศ และเริ่มตั้งหลักตามทางฝันได้แล้ว เขาก็หาเลี้ยงชีพและอยู่อย่างสุขสบายด้วยรายได้มากมายมหาศาล ที่ได้จากงานเขียนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เพราะความจำเป็นในการเข้าสังคมที่ลดลง อีกทั้งเขายังใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการหมกตัวเพื่อคิดงานอยู่ในบ้าน หรือตามร้านกาแฟแต่เพียงผู้เดียว สำหรับคนที่ไร้ความพิถีพิถันกับตัวเอง ในสภาพนี้...การแต่งตัวให้ดูเนี้ยบจึงยิ่งหมดความสำคัญ และกลายเป็นไร้ความจำเป็นไปในทันที
เสื้อยืดคอกลม กางเกงขาสั้น และรองเท้าแตะหูคีบคู่เก่าคู่เดิม จึงกลายเป็นชุดเก่งที่เขามักใช้สวมใส่ไปไหนต่อไหนเป็นประจำ จนคล้ายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของเขาไปเสียแล้ว
ดังนั้น การที่พัชร์ได้มาเห็นแฟนหนุ่มของเธอ ในชุดเสื้อผ้าอย่างที่สวมอยู่ในเวลานี้ จึงเป็นอะไรที่ค่อนข้างถือได้ว่าไม่ปกติ และทำให้คาดเดาได้แทบจะในทันทีว่า ต้องมีอะไรไม่ธรรมดา แตกต่างไปจากทุกทีเป็นแน่
“ก็...ไม่มีอะไรนี่ ภูแค่อยากชวนพัชร์มานั่งกินกาแฟด้วยกันเฉย ๆ...ไม่ได้หรือ” ส่งสายตาและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ เหลียวมองไปทั่วร้านที่เหลือลูกค้าอยู่แค่เพียงพวกเขาสองคน “ภูชอบนั่งร้านกาแฟวันทำงานปกติน่ะ เงียบและโล่งดี เหมือนได้รับสิทธิพิเศษ ประมาณเหมาร้านทั้งร้านมานั่งคุยกันดีออก...ว่าไหม”
“จ้า...จะให้ลางานมานั่งเป็นเพื่อน พัชร์โอเค จะอินดี้จะอะไรภูก็ทำไปเถอะ แต่ไอ้ที่บอกว่า ชวนมานั่งกินกาแฟเฉย ๆ น่ะ โกหกเห็น ๆ” ถอนหายใจใส่ แต่มีรอยยิ้มที่มุมปาก “ตกลงจะบอกหรือไม่บอก ฮึ”
ไม่ปล่อยให้ต้องสงสัยต่อ จิรารีบล้วงหยิบเอากล่องรูปทรงหัวใจใบเล็กที่เตรียมมาด้วยออกจากในกระเป๋ากางเกง ยื่นมันออกไปตรงหน้า และเปิดฝาออกให้เห็นแหวนเพชรเม็ดเดี่ยววงงามที่ใส่ไว้อยู่ภายใน
ทำเอาพัชร์ที่กำลังพูดอยู่ถึงกับค้างคำ ชะงักนิ่งอย่างคนนึกอะไรต่อไม่ออกไปเสียดื้อ ๆ
“พัชร์โอเคไหม” ขยับเคลื่อนใบหน้าให้เข้าไปใกล้กันอีกหน่อย เพื่อที่จะได้มองตาของกันและกัน และรอฟังคำตอบได้ชัด ๆ
“อื้อ” หญิงสาวฉีกยิ้มและพยักหน้า เปล่งเสียงตอบรับได้เพียงสั้น ๆ ด้วยเกรงว่า หากพูดอะไรออกไปมากกว่านั้น เธอจะกลั้นน้ำตาที่กำลังรื้นอยู่ตรงขอบตาไม่ให้ร่วงลงมาไม่ไหว
“ขอมือซ้ายหน่อยสิ” ชายหนุ่มยิ้มละไม พร้อมแบมือยื่นออกไป
เธอวางมือของตัวเองลงบนฝ่ามือของคนรักอย่างว่าง่าย มองอีกฝ่ายบรรจงสวมแหวนให้ ด้วยตวงตาเป็นประกายและรอยยิ้มเกลื่อนสุข ซึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์รักและตื้นตันใจอย่างที่สุด
“เอาละ หมั้นเจ้าสาวคนนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว” เขาพูดต่อโดยเปลี่ยนเป็นเกาะกุมมือเล็ก ๆ ของอีกฝ่ายไว้แทน “นั่งคุยแล้วก็กินอะไรกันสักหน่อยก่อน ช่วงบ่ายเราจะได้ไปเดินหา เดินเลือกแหวนแต่งงานกัน แล้วถ้ายังพอมีเวลา ก็จะได้ไปลองชุดกันด้วยเลย...ดีไหม”
“ตามใจ เอาที่ภูสบายใจก็แล้วกัน” ในคำพูดและรอยยิ้มของเธอ มีความเขินอายซ่อนอยู่ “บทจะช้า ก็ให้รอจนไม่แน่ใจ พอบทจะไว ก็ไวปรู๊ดปร๊าดขึ้นมาเสียเฉย ๆ จนงง ตามแทบไม่ทันกันเลยเนอะ”
“แล้วไม่ดีหรือ” เขาถามเจ้าเล่ห์ เพราะคิดว่ารู้คำตอบอยู่แล้ว
“ยังต้องให้ตอบอีกหรือ” แล้วอารมณ์อ่อนละมุนที่แฝงอยู่ ก็แสดงให้เห็นผ่านร่องรอยแดงระเรื่อตรงแก้ม เธอระบายลมหายใจออก และบอกความในใจที่เคยเก็บไว้แต่เพียงผู้เดียวออกมา “ตอนที่ภูท้อแท้สิ้นหวังกับงาน บอกตรง ๆ ว่า ตอนนั้นพัชร์เองก็เริ่มหวั่น ๆ อนาคตของเราสองคนเหมือนกัน ตอนนี้พัชร์ก็เลยดีใจและมีความสุขมาก ที่วันของพวกเรากำลังจะมาถึงจริง ๆ เสียที”
“ต่อจากนี้พัชร์จะยิ่งดีใจและมีความสุขมากขึ้นไปอีกหลายเท่า ภูจะไม่ยอมให้พัชร์ต้องมาเสียเวลากับภูไปเปล่า ๆ ตั้งหลายปี จะทำให้พัชร์ได้รับรู้และภูมิใจว่า สิ่งที่พัชร์เฝ้ารออย่างอดทนและตัดสินใจเลือกนั้น ถูกต้องที่สุดแล้ว...”