เจ้าหน้าที่สหรัฐตั้งข้อหาฆาตกรรมและข้อหาอื่นๆ กับอดีตตำรวจ 5 นาย ฐานทำร้ายชายผิวดำคนหนึ่งเสียชีวิตที่เมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซีทางใต้ของประเทศ ด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดน เรียกร้องให้ชุมนุมประท้วงเหตุที่เกิดขึ้นอย่างสงบ
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า คดีตำรวจผิวดำทำร้ายไทรี นิโคลส์ ชายผิวดำวัย 29 ปี เสียชีวิตที่เมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซีทางใต้ของสหรัฐ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา ตำรวจเรียกให้ชายคนนี้หยุดรถ ระบุว่าเนื่องจากเขาขับรถโดยประมาท
เบน ครัมป์ และอันโตนิโอ โรมานุชชี ทนายความของครอบครัวไทรี นิโคลส์ ระบุในแถลงการณ์ว่า หลังจากตำรวจขับรถไล่ตามจับเขา ตำรวจทำร้ายเขาจนแทบจำเขาไม่ได้
ตำรวจเมืองเมมฟิสเผยว่า ตำรวจ 5 นาย ซึ่งทั้งหมดเป็นคนผิวดำ โดนไล่ออกหลังผลการสอบสวนภายในพบว่า ตำรวจทั้ง 5 นายใช้กำลังเกินกว่าเหตุ และไม่ได้ให้ความช่วยเหลือต่อชายผิวดำที่ได้รับบาดเจ็บหลังหลบหนีการจับกุม ซึ่งนิโคลส์ถูกส่งเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยอาการสาหัสและเสียชีวิตในวันที่ 10 มกราคม
เจ้าหน้าที่สหรัฐระบุว่า จะมีการเปิดเผยวิดีโอของตำรวจขณะเข้าจับกุมนิโคลส์ในเวลา 18.00 น. วันศุกร์ตามเวลาในสหรัฐ หรือ 07.00 น. วันเสาร์ตามเวลาประเทศไทย
การเสียชีวิตระหว่างการจับกุมของตำรวจของชาวผิวดำคนนี้ ทำให้คิดถึงการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำที่ถูกตำรวจผิวขาวใช้เข่ากดที่หลังคอ ทำให้เขาหายใจไม่ออกและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่เมืองมินนิอาโปลิส เมื่อเดือนพฤษภาคม 2563 โดยมีประชาชนบันทึกวิดีโอระหว่างเกิดเหตุ และมีการชุมนุมประท้วงการกระทำที่โหดเหี้ยมของตำรวจและการเหยียดสีผิวไปทั่วสหรัฐในเวลาต่อมา
อดีตตำรวจเมมฟิสทั้ง 5 นาย ถูกตั้งข้อหาต่างกันไป เช่น ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา แต่ไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน, ทำร้ายร่างกายและลักพาตัว
สตีฟ มัลรอย อัยการเขตให้สัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็นว่า หลังจากทุกคนได้เห็นวิดีโอขณะที่ตำรวจเข้าจับกุมชายคนนี้ เขาคิดว่าไม่มีใครตั้งคำถามใดๆ ถึงข้อหาที่อดีตตำรวจเหล่านี้ถูกดำเนินคดี
เมืองเมมฟิสเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของรัฐเทนเนสซี ประชากร 65% ของเมืองนี้เป็นชาวแอฟริกัน-อเมริกัน
ทีมทนายความของครอบครัวของไทรี นิโคลส์ ที่ได้ดูคลิปวิดีโอขณะทำการจับกุมแล้วแถลงเมื่อวันพฤหัสบดีว่า เขาเสียชีวิตด้วยน้ำมือของตำรวจเมมฟิสด้วยวิธีการที่น่าขยะแขยง ข่าวในวันนี้จากเจ้าหน้าที่เมมฟิสว่า ตำรวจทั้ง 5 นายกำลังถูกดำเนินคดีอาญาจากการกระทำที่โหดเหี้ยมและทำให้ประชาชนเสียชีวิต ทำให้เรามีความหวัง ขณะที่เรายังคงเดินหน้าเรียกร้องความยุติธรรมให้กับไทรี
CR.
https://www.thaipost.net/abroad-news/311774/
ตั้งข้อหา5ตร.มะกันตีคนดำดับ
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า คดีตำรวจผิวดำทำร้ายไทรี นิโคลส์ ชายผิวดำวัย 29 ปี เสียชีวิตที่เมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซีทางใต้ของสหรัฐ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา ตำรวจเรียกให้ชายคนนี้หยุดรถ ระบุว่าเนื่องจากเขาขับรถโดยประมาท
เบน ครัมป์ และอันโตนิโอ โรมานุชชี ทนายความของครอบครัวไทรี นิโคลส์ ระบุในแถลงการณ์ว่า หลังจากตำรวจขับรถไล่ตามจับเขา ตำรวจทำร้ายเขาจนแทบจำเขาไม่ได้
ตำรวจเมืองเมมฟิสเผยว่า ตำรวจ 5 นาย ซึ่งทั้งหมดเป็นคนผิวดำ โดนไล่ออกหลังผลการสอบสวนภายในพบว่า ตำรวจทั้ง 5 นายใช้กำลังเกินกว่าเหตุ และไม่ได้ให้ความช่วยเหลือต่อชายผิวดำที่ได้รับบาดเจ็บหลังหลบหนีการจับกุม ซึ่งนิโคลส์ถูกส่งเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยอาการสาหัสและเสียชีวิตในวันที่ 10 มกราคม
เจ้าหน้าที่สหรัฐระบุว่า จะมีการเปิดเผยวิดีโอของตำรวจขณะเข้าจับกุมนิโคลส์ในเวลา 18.00 น. วันศุกร์ตามเวลาในสหรัฐ หรือ 07.00 น. วันเสาร์ตามเวลาประเทศไทย
การเสียชีวิตระหว่างการจับกุมของตำรวจของชาวผิวดำคนนี้ ทำให้คิดถึงการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำที่ถูกตำรวจผิวขาวใช้เข่ากดที่หลังคอ ทำให้เขาหายใจไม่ออกและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่เมืองมินนิอาโปลิส เมื่อเดือนพฤษภาคม 2563 โดยมีประชาชนบันทึกวิดีโอระหว่างเกิดเหตุ และมีการชุมนุมประท้วงการกระทำที่โหดเหี้ยมของตำรวจและการเหยียดสีผิวไปทั่วสหรัฐในเวลาต่อมา
อดีตตำรวจเมมฟิสทั้ง 5 นาย ถูกตั้งข้อหาต่างกันไป เช่น ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา แต่ไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน, ทำร้ายร่างกายและลักพาตัว
สตีฟ มัลรอย อัยการเขตให้สัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็นว่า หลังจากทุกคนได้เห็นวิดีโอขณะที่ตำรวจเข้าจับกุมชายคนนี้ เขาคิดว่าไม่มีใครตั้งคำถามใดๆ ถึงข้อหาที่อดีตตำรวจเหล่านี้ถูกดำเนินคดี
เมืองเมมฟิสเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของรัฐเทนเนสซี ประชากร 65% ของเมืองนี้เป็นชาวแอฟริกัน-อเมริกัน
ทีมทนายความของครอบครัวของไทรี นิโคลส์ ที่ได้ดูคลิปวิดีโอขณะทำการจับกุมแล้วแถลงเมื่อวันพฤหัสบดีว่า เขาเสียชีวิตด้วยน้ำมือของตำรวจเมมฟิสด้วยวิธีการที่น่าขยะแขยง ข่าวในวันนี้จากเจ้าหน้าที่เมมฟิสว่า ตำรวจทั้ง 5 นายกำลังถูกดำเนินคดีอาญาจากการกระทำที่โหดเหี้ยมและทำให้ประชาชนเสียชีวิต ทำให้เรามีความหวัง ขณะที่เรายังคงเดินหน้าเรียกร้องความยุติธรรมให้กับไทรี
CR. https://www.thaipost.net/abroad-news/311774/